บทที่ 280 อิจฉา

บทที่ 280 อิจฉา
โดย

บทที่ 280 อิจฉา

งานเลี้ยงอาหารเย็นวันสิ้นปีของครอบครัวถูกจัดในวันที่ 31 ธันวาคม 1979

ซึ่งความจริงแล้วครอบครัวสาขาอีกสามครอบครัวก็สนใจอยากมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยเหมือนกัน

แต่หลินชิงเหอก็ปฏิเสธไป เธอบอกให้ทุกคนแยกกันกินอาหารของตัวเอง เพราะปีนี้เจ้าใหญ่ไม่ได้กลับมาที่บ้าน เมื่อมากันไม่ครบคนแล้วก็ให้พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปได้

ส่วนเรื่องที่โจวชิงไป๋กับเด็ก ๆ จะย้ายไปอยู่เมืองหลวงหลังปีใหม่นี้ เธอยังไม่ได้บอกใคร

และในวันสิ้นปีที่หลินชิงเหอมายังบ้านตระกูลโจวเพื่อคุยกับพี่สะใภ้ทั้งสาม เธอก็ได้พูดถึงเรื่องนี้

พี่สะใภ้ทั้งสามต่างตกตะลึงไป

“หา? หลังปีใหม่นี้ น้องชายสี่จะย้ายเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับเจ้ารองและเจ้าสามเหรอ? เกิดอะไรขึ้นกับบ้านของเธอที่นี่กัน?” สะใภ้ใหญ่เอ่ยด้วยอาการงุนงง

“คุณพ่อคุณแม่จะอยู่ที่นี่แทนน่ะค่ะ แต่ในอนาคตพวกท่านก็จะย้ายไปอยู่กับเราด้วย” หลินชิงเหอตอบ

ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวไม่คัดค้านอะไร ว่าตามความจริงแล้วพวกเขาจะได้อาศัยอยู่ในบ้านที่กว้างขวางขึ้น และในสวนหลังบ้านยังมีเป็ดไก่มากมายด้วย

“ถ้าพวกเราย้ายไปแล้ว พี่ช่วยดูแลคุณพ่อกับคุณแม่ให้ฉันด้วยนะคะ ทั้งคู่อายุมากแล้ว ควรหยุดทำงานในทุ่งนาได้แล้วค่ะ” หลินชิงเหอพูดต่อ

สำหรับการดูแลผู้สูงอายุ เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น

ต่อให้มีการแยกครอบครัวไปแล้ว แต่คนในบ้านตระกูลโจวก็ไม่ขัดแข้งขัดขาแย่งกันดูแลท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวที่แก่ชราเลย

ช่างต่างจากครอบครัวบ้านอื่นที่มักจะทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อย ๆ

“ไม่มีปัญหาจ้ะ แล้วเรื่องที่น้องชายสี่กับเด็ก ๆ ย้ายไปเมืองหลวงนี่ เธอทำอย่างไรกับเรื่องที่อยู่อาศัยกับทะเบียนบ้านเหรอ?” สะใภ้สามเอ่ย

“ปีนี้ฉันได้ทำงานในมหาวิทยาลัยปักกิ่งในตำแหน่งอาจารย์ภาษาอังกฤษแล้วค่ะ ทางมหาวิทยาลัยจัดหาที่พักที่เหมาะจะอยู่อาศัยให้แล้ว ส่วนเรื่องทะเบียนบ้านก็ยิ่งไม่ต้องห่วง ทางคณะของฉันจะช่วยในเรื่องนี้ ดังนั้นไม่มีปัญหาเลยค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยให้ความมั่นใจด้วยรอยยิ้ม

ชิงไป๋ของเธอรวบรวมเอกสารสำคัญทั้งหมดที่ต้องใช้ในการย้ายที่อยู่ในทะเบียนบ้านมาแล้ว ทำให้ครอบครัวของพวกเขาสามารถอาศัยอยู่ได้ในทันทีที่ถึงเมืองหลวง

ได้ยินดังนี้แล้ว สะใภ้ใหญ่ สะใภ้รอง และสะใภ้สามก็อึ้งไป

สะใภ้สี่ช่างเก่งกาจเกินไปแล้ว!

เธอจัดการทั้งเรื่องงาน ทะเบียนบ้าน และเรื่องอื่น ๆ หมดเรียบร้อยแล้วเหรอ?

“แล้วงานของน้องชายสี่ล่ะ? เขาได้งานแล้วเหรอ?” สะใภ้รองถาม

“ฉันเช่าร้านค้าร้านหนึ่งให้ชิงไป๋ไปอยู่น่ะค่ะ ถึงตอนนั้นเขาคงเป็นเถ้าแก่ขายเกี๊ยวได้” หลินชิงเหอตอบ

“เป็นเถ้าแก่? น้องชายสี่ยอมด้วยเหรอจ๊ะ?” สะใภ้สามอุทานอย่างประหลาดใจ

“ทำไมเขาถึงจะไม่ยอมล่ะคะ? เราเองก็ต้องพึ่งพามือของเขาในการหาเงินด้วย อย่าคิดมากเลยค่ะ การเป็นเจ้านายตัวเองไม่ใช่สิ่งน่าอายหรอก มีแค่เวลาไม่มีจะกินแล้วต้องไปขโมยชาวบ้านเขากินนี่แหละค่ะถึงเรียกว่าน่าอาย” หลินชิงเหอบอก

“ชิงเหอ เธอได้ยินข่าวอะไรจากเมืองหลวงบ้างไหมจ๊ะ? ในอนาคตจะมีคนโดนจับหรือเปล่า?” สะใภ้ใหญ่ถาม

“ฉันได้ยินคุณแม่บอกว่าพี่เลี้ยงไก่ไว้เยอะเลยเหรอคะ?” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม

“พี่เลี้ยงมากกว่าหนึ่งโหลแล้วล่ะ” สะใภ้ใหญ่พยักหน้า

“รอจนถึงฤดูใบไม้ผลิหน้านะคะ แล้วพี่ค่อยจับมาสองตัวแล้วหาที่ปล่อยขาย” หลินชิงเหอพูด “ถ้ามีใครมาสอบสวน พี่ก็บอกไปว่ามีคนในครอบครัวกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นหลังคลอดแล้วก็ไปที่บ้านของเสี่ยวเหมย แต่ถ้าไม่มีใครตรวจสอบ พี่ก็ลองเอาไปขายที่หน้าทางเข้าโรงพยาบาลดู”

สะใภ้ใหญ่ได้ยินก็มีท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย “แล้ว…ถ้าเกิดว่าพี่โดนจับจะทำอย่างไรล่ะ?”

“คนที่อยู่ในกรมเป็นสหายในกองทัพของชิงไป๋ ถ้าเกิดท่าไม่ดี พี่ก็อ้างชื่อชิงไป๋ได้ค่ะ” หลินชิงเหอปลอบ

หลังจากวันนี้ไปก็จะเข้าสู่ยุค 80 ปี 1980! อันเป็นปีหน้าฟ้าใหม่ สายลมวสันต์จะพัดบนพื้นโลกและมวลผกาแห่งฤดูใบไม้ผลิจะเบ่งบาน จะไม่มีการต้องขอดูจดหมายแนะนำตัวเวลาเข้าเมืองอีกต่อไป ไม่มีใครสนใจในเรื่องนี้เลย

การจับไก่สองตัวไปขายนับว่าเป็นอาชญากรรมตรงไหนกัน?

“ในอนาคตอะไร ๆ จะดีขึ้นเรื่อย ๆ คนหลายคนในเมืองหลวงก็กำลังตั้งตนเป็นเถ้าแก่กันแล้วค่ะ” หลินชิงเหอบอก

“คนหลายคนในเมืองหลวงจะเป็นเถ้าแก่กันเหรอ?” สะใภ้ใหญ่เอ่ยแทรกในทันที

ขณะที่สะใภ้รองกับสะใภ้สามจ้องมองหลินชิงเหอ

“ถ้าไม่ใช่แล้วพี่คิดว่าฉันจะปล่อยให้ชิงไป๋ได้เป็นเถ้าแก่เหรอคะ?” หลินชิงเหอมองพวกหล่อน

หลินชิงเหอไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เธอบอกทุกอย่างที่ควรจะบอกไปหมดแล้ว ส่วนเรื่องที่พวกหล่อนอยากจะลิ้มรสอิสรภาพอันหอมหวานหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกหล่อน

ทุกอย่างในเมืองล้วนต้องใช้เงินซื้อ และพืชผักทั้งหลายก็ขายได้ราคาไม่มากนักในชนบทถูกไหม? แต่ถ้าขนมันไปขายในเมืองก็จะมีคนเต็มใจซื้อ

ถึงอย่างนั้นหลินชิงเหอก็ไม่เอ่ยยกธุรกิจนี้ขึ้นมา เธอบอกพวกหล่อนไปแล้วว่าทำแบบนี้ไม่มีปัญหา หากพวกหล่อนไม่อยากทำ เธอก็ไม่อาจบังคับให้พวกหล่อนทำได้

“เจ้ารองกับเจ้าสามจะย้ายไปเรียนหนังสือที่นั่นแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาจะปรับตัวได้หรือเปล่าน่ะสิ?” สะใภ้สามเอ่ยขึ้น

“เจ้ารองจะได้อยู่ภาคเรียนที่สองของชั้นมัธยมปลายปีแรกในภาคการศึกษาหน้าเท่านั้น เพราะมันยังเร็วเกินไปสำหรับเขา ส่วนเจ้าสามบางทีอาจได้เรียนทันช่วงที่มีการปฏิรูประบบการศึกษาพอดีค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ

เธอลืมไปว่าช่วงที่ระดับชั้นมัธยมต้นกับชั้นมัธยมปลายเริ่มใช้ระบบ 3 ปี มันจะอยู่ราวกลางยุค 80 พอดี

ภาคการศึกษานี้ เจ้าสามจะเพิ่งได้เริ่มเรียนภาคการศึกษาที่สองของระดับมัธยมต้นปีแรกเท่านั้น ซึ่งนับว่าเร็วเกินไป

อีกด้านหนึ่งเธอก็คอยจับตาดูเจ้ารอง เมื่อบวกเรื่องที่พวกเขาต้องย้ายทะเบียนบ้านแล้ว เขาก็จะถูกหักคะแนนไปบ้าง แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่สอบตก

จากนั้นสะใภ้สามก็พูดถึงผลการสอบของอู่นี “หล่อนเรียนไม่ดีขึ้นเลย ตอนนี้เจ้ารองไปแล้ว หล่อนก็จะไม่มีคนให้ถามแล้ว”

“มีครูอีกมากมายในโรงเรียนนะคะ ตราบใดที่หล่อนขยันเรียน หล่อนก็ยังแก้ไขความผิดพลาดด้วยความขยันหมั่นเพียรได้” หลินชิงเหอบอก

โจวหยางกับอู่นีไม่ได้มาเรียนพิเศษกับเธออีก หากพวกเขาไม่เข้าใจบทเรียน พวกเขาก็สามารถมาถามและทบทวนสิ่งที่ยังไม่เข้าใจอีกเล็กน้อยได้ เพราะการเรียนพิเศษเสร็จสิ้นไปแล้ว

หลินชิงเหอเองก็ต้องเรียนหนังสือเหมือนกัน

ถึงอย่างนั้นหลินชิงเหอก็ต้องยอมรับว่าผลการเรียนของเด็กทั้งสองพัฒนาให้ดีกว่านี้ได้ยากจริง ๆ เธอสอนวิธีการเรียนไปแล้ว อย่างน้อยผลการเรียนของพวกเขาก็ยังคงอยู่ในระดับกลาง ๆ ได้

แต่ผลการเรียนของพวกเขาก็นับว่าเพียงพอที่จะเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมปลาย ซึ่งจะมีการจัดสอบเข้าขึ้นในปีหน้า

การได้เข้าโรงเรียนมัธยมปลายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพวกเขา กล่าวโดยทั่วไปก็คือ ตราบใดที่พวกเขาขยันเรียนอย่างหนักและไม่ท้อถอย พวกเขาก็จะทำคะแนนได้ไม่เลว

“จะว่าไปแล้ว พี่ก็ไม่รู้ว่าน้องสาวคนเล็กจะมีพื้นที่บ้านพอให้อู่นีกับหยางหยางไปอยู่ตอนเข้าโรงเรียนมัธยมปลายหรือเปล่านี่สิ?” สะใภ้สามถาม

หลินชิงเหอจึงตอบแทนโจวเสี่ยวเหมย “ตอนนี้บ้านนั้นมีเด็กอยู่ 4 คนแล้ว พวกเขายังเด็กแล้วก็ส่งเสียงดัง หากสองคนนี้ไปอยู่ที่นั่นถูกรบกวนการเรียนแล้วจะเป็นอย่างไรคะ? โรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ฉันคิดว่าจะดีกว่าไหมคะหากหาที่อยู่อาศัยใกล้ ๆ โรงเรียนให้พวกเขาอยู่ แล้วให้คุณอาต้าหลินเชิญไปกินอาหารสักครั้งก็ไม่มีปัญหา”

สะใภ้ใหญ่ไม่ได้คิดจะให้หยางหยางไปอยู่ที่บ้านของเสี่ยวเหมย แต่เป็นสะใภ้สามที่อยากให้ลูกสาวของหล่อนไปอยู่ที่นั่น เมื่อหล่อนฟังคำพูดของหลินชิงเหอแล้ว หล่อนก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล

หลินชิงเหอเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและมาคุยกับสะใภ้รองแทน “ปีนี้เซี่ยเซี่ยตัวสูงขึ้นและดูมีกำลังวังชามากขึ้นนะคะ แสดงว่าเขาอยู่ทางนั้นสุขสบายดีใช่ไหมคะ?”

“เด็กตัวเหม็นคนนั้นกลับมาบอกว่าอาหารที่นั่นรสชาติยอดเยี่ยมมาก กินแล้วอิ่มท้องทุกมื้อเลยจ้ะ” สะใภ้รองเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

“ตอนนี้เขากำลังโตค่ะ อย่าให้เขากินจนอาจารย์ของเขาจนเลย” หลินชิงเหอตบมุก

“คงไม่กินจนอาจารย์เลี้ยงไม่ไหวหรอกจ้ะ ธุรกิจที่นั่นกำลังไปได้ด้วยดี ส่วนเซี่ยเซี่ยก็ยังคงทำงานเป็นเด็กฝึกงานอยู่” สะใภ้รองเอ่ยด้วยความอยากให้ลูกชายของหล่อนได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเสียที

“ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปดีกว่าค่ะ กฎที่นั่นเป็นเหมือนกันทุกที่” หลินชิงเหอตอบ

ขณะที่หลินชิงเหอคุยกับสะใภ้ทั้งสามที่นี่ โจวชิงไป๋ก็มาคุยกับพี่ชายทั้งสามเหมือนกัน

หลังได้ยินว่าน้องชายคนเล็กได้ย้ายทะเบียนบ้านและกลายเป็นพลเมืองของเมืองหลวงหลังปีใหม่นี้แล้ว พี่ชายทั้งสามคนต่างก็ข่มความรู้สึกอิจฉาไว้ในใจ

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แม่ค่อย ๆ เผยแผนออกมาแล้วล่ะค่ะ ขอให้ครอบครัวนี้โชคดีที่เมืองหลวงนะคะ

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset