บทที่ 285 อยากด่าใครบางคน

บทที่ 285 อยากด่าใครบางคน
โดย

บทที่ 285 อยากด่าใครบางคน

ขณะที่หลินชิงเหอยังไม่รู้เรื่องของสองศรีพี่น้องคู่นี้ พวกหล่อนก็ได้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปมาแล้ว

คุณป้าจางถึงกับตะโกนบอกให้หยุด

จากนั้นสะใภ้ตระกูลจางก็เอ่ยขึ้น “พวกเธอไล่จับกันเองเถอะ ถ้าทำสำเร็จต่างคนต่างก็มีชีวิตของตัวเอง ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกัน”

ซึ่งนี่ก็คือการหว่านแหจับปลาใหญ่

ทั้งพ่อและลูกชายคนโตแห่งตระกูลโจวต่างเป็นผู้ชายดีที่ควรจับไว้

หากโจวชิงไป๋กับโจวข่ายรู้เรื่องนี้ ในคืนนั้นพวกเขาคงอยากรีบเก็บของหนีทันที

ครอบครัวนี้เป็นเป็นหนึ่งในครอบครัวที่น่ากลัวเลยทีเดียว

คนหนึ่งก็หมายตาเด็กหนุ่มที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ส่วนอีกคนหนึ่งก็หมายจะจับชายที่แต่งงานแล้ว มีอะไรที่พิลึกยิ่งกว่านี้อีก?

ทุกคนในชุมชนพากันพูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋รู้เรื่องจากคุณป้าหม่า แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ เพราะในปีนี้มีคนผันตัวมาเป็นเถ้าแก่มากกว่าปีก่อนจริง ๆ

และชิงไป๋ของเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น

ในวันที่สองของการเปิดร้าน โจวชิงไป๋ก็มีรายได้ราว 2 หยวนหรือประมาณนั้น ต้องบอกว่ากิจการอยู่ในช่วงคงตัวมากแล้ว เพราะถึงจะได้เงินไม่มาก แต่หลินชิงเหอก็ไม่ได้เข้ามาก้าวก่าย เธอปล่อยให้โจวชิงไป๋ได้อุทิศตัวเพื่องานนี้อย่างเต็มกำลัง

ร้านค้าแห่งนี้เปิดตั้งแต่สิ้นเดือนมกราคม และเมื่อถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ โจวชิงไป๋ก็ยื่นเงินให้เธอ 60 หยวน

หลินชิงเหออึ้งไปและเอ่ยขึ้น “ให้ฉันหมดเลยเหรอคะ? เรายังต้องสั่งซื้อของเข้าร้านอยู่ไม่ใช่เหรอ?”

“ผมกันส่วนนั้นไว้แล้วล่ะ” โจวชิงไป๋ตอบ

เดือนนี้เขาได้กำไรไปเกือบ 70 หยวน ซึ่งเขาให้ภรรยาเก็บไว้ 60 หยวน ขณะที่เก็บส่วนที่เหลือไว้กับตัวเองเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของทางร้าน

“มากินแค่ไม่กี่คนแต่ได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอคะ?” หลินชิงเหอรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก

ชิงไป๋ของเธอดำเนินกิจการอย่างซื่อสัตย์ เขาได้เงิน 5 เหมาต่อเกี๊ยว 1 ชาม ออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้าและอยู่เฝ้าร้านจนถึงสามทุ่ม

จากที่หลินชิงเหอเห็น เธอเห็นว่าเขายุ่งมากจริง ๆ แต่เมื่อเห็นว่าเขามีความสุขในการทำงาน เธอก็ไม่เคยว่ากล่าวอะไร

เธอคิดว่าในเดือนนี้จะได้กำไรราว 3 หยวนเสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้มาถึงสองเท่าตัว

“เดือนหน้ากิจการเราจะดีขึ้นนะครับ” โจวชิงไป๋บอก

ตอนนี้เขาเริ่มจับทางได้แล้ว และอีกไม่นานก็จะมีกุยช่ายขายในตลาด

“ถึงการทำธุรกิจจะได้กำไรเยอะมาก แต่คุณยังต้องใส่ใจกับการพักผ่อนด้วยนะคะ ถ้าเจ้าใหญ่ไปหาตอนกลางวัน คุณก็ขึ้นไปพักที่ชั้นสองได้ ให้เขาจัดการขายเกี๊ยวแทน” หลินชิงเหอเอ่ยเตือน

“ครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า

ลูกชายคนโตช่วยเขาได้ หลังจากผ่านช่วงบ่ายอันเร่งด่วน เขาคงขึ้นไปนอนพักได้ตอนบ่ายโมง

ทันทีที่เขาตื่น ลูกชายคนโตก็จะกลับไปเรียนอีกครั้ง ต่อให้โจวชิงไป๋จะมีสุขภาพแข็งแรงดี แต่เขาก็มีอายุ 30 กว่าแล้วและยังตื่นแต่เช้า ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องดูแลสุขภาพของตัวเอง

หลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผล ในตลาดก็เริ่มมีกุยช่ายออกวางขาย

โจวชิงไป๋ออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้าครึ่งและไปถึงตลาดตอนหกโมงเช้าพอดี

เขาซื้อกุยช่ายเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุที่เขาซื้อเป็นจำนวนมากนี่เองจึงได้ราคาถูกลง โดยเฉพาะตั้งแต่ที่เขาบอกว่าจะมาซื้อทุกวัน ยิ่งกว่านั้นเขาก็ซื้อไปเป็นจำนวนมาก หากได้ซื้อในราคาขายส่งจะได้ราคาที่ถูกกว่า

เป็นการแก้ปัญหาทั้งสองฝ่ายถูกไหม?

หลังซื้อกุยช่ายแล้ว โจวชิงไป๋ก็เติมเกี๊ยวหมูกับกุยช่ายกับเกี๊ยวไข่กับกุยช่ายในเมนูอาหารธรรมดา ๆ ของเขา

หากเป็นวิธีของเขาแล้ว มันไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากมากนักหรอก

เขาไม่จำเป็นต้องทำเกี๊ยวมากมายหลายชนิด แต่ภรรยาบอกว่าการมีเกี๊ยวหลากไส้ให้เลือกจะดึงดูดลูกค้าได้ อย่าไปกลัวปัญหาเลย

ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวปัญหา

ทันทีที่ร้านเปิด เขาก็มุ่งหน้าไปทำงาน ตอนนี้ยังเป็นแค่หกโมงครึ่ง แต่ก็มีลูกค้าทยอยเข้าร้านแล้ว

เป็นเพราะเขาเติมกุยช่ายลงไปล่าสุดในเมนู คนส่วนใหญ่จึงสั่งเกี๊ยวกุยช่ายกับหมูเป็นหลัก และสั่งเกี๊ยวไข่กับกุยช่ายรองลงมา

กลับกัน น้อยคนนักที่จะสั่งเกี๊ยวหมูกับกะหล่ำปลีและเกี๊ยวหมูกับผักดอง

โจวชิงไป๋ทำเกี๊ยวอย่างแคล่วคล่องว่องไว นับตั้งแต่เวลาที่เขาเปิดร้าน เขาก็ยุ่งมือเป็นระวิงจนกระทั่งถึงแปดโมงจึงได้มีเวลาหย่อนก้นลงนั่งและกินเกี๊ยวหมูกับกุยช่าย

ต้องบอกว่ามันหอมมากจริง ๆ โดยเฉพาะหลังฤดูหนาว กุยช่ายนี้จะอร่อยมากเป็นพิเศษ

เมื่อหลินชิงเหอมาถึงในตอนกลางวัน เธอก็ถามขึ้นว่า “กินขนมกุยช่ายไหมคะ?”

“ครับ”

โจวชิงไป๋รู้สึกว่ามันเป็นทางเลือกที่ดี

ดังนั้นทั้งครอบครัวจึงกินขนมกุยช่ายที่ร้าน โดยหลินชิงเหอเป็นคนทำขนมกุยช่ายหอมอร่อย 3 ชิ้น

ลูกค้าเห็นแล้วก็เอ่ยทัก “ทำไมในเมนูไม่มีขนมกุยช่ายเลยล่ะ?”

“ยังไม่มีหรอกค่ะ เพราะนี่เป็นอาหารที่เราทำกินกันเอง” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม

“ทำไมคุณไม่ขายมันล่ะ?” ลูกค้าถาม

“ม้าผมเป็นคนทำครับ ปกติจะต้องออกไปทำงาน แล้วป๊าผมก็เป็นคนเฝ้าร้าน เขาทำเป็นแค่เกี๊ยวอย่างเดียวน่ะครับ” เจ้าสามอธิบาย

นับตั้งแต่ที่พวกเขามาถึงเมืองหลวง พวกเขาก็เปลี่ยนสรรพนามในการเรียก พวกเขาทั้งหมดเริ่มเรียกพ่อกับแม่ว่าป๊ากับม้าแทน

ลูกค้าคนนั้นหัวเราะ “ทำไมไม่ให้พ่อของหนูเรียนล่ะ?”

“เขาตามไม่ทันหรอกครับ รอจนกว่าพวกเราจะปิดเทอมก่อนดีกว่า พวกเราสามพี่น้องจะได้มาดูและเรียนรู้ จากนั้นเราก็จะใส่เมนูนี้ลงไป” เจ้าสามเอ่ยอย่างมั่นใจ

ใช่แล้วล่ะ เขาคุยเรื่องนี้กับพี่รองแล้ว ว่าเมื่อใดที่ถึงปิดเทอมฤดูร้อนพวกเขาจะมาช่วยงาน

หลินชิงเหอปล่อยให้พวกเขาทำตามใจชอบ ช่วงวันหยุดฤดูร้อนเธอกับชิงไป๋วางแผนว่าจะไปเยือนทางใต้ ในเมื่อเจ้าหัวผักกาดน้อยพวกนี้อยากจะเล่นในร้านแทนก็ปล่อยให้พวกเขาเล่นไป

มันเป็นแค่อาหารทำกินกันภายในบ้าน ทักษะการทำอาหารของพวกเขาไม่ได้ยอดเยี่ยมนักแต่ก็ไม่ได้แย่ แค่ฝีมือระดับกลางก็เพียงพอที่จะทำให้อาหารในร้านหลากหลายขึ้นในช่วงวันหยุดฤดูร้อนแล้ว

หลังกินขนมกุยช่ายในตอนกลางวันแล้ว หลินชิงเหอก็พาลูกชายคนเล็กทั้งสองกลับบ้าน และทิ้งภาระของร้านให้ลูกชายคนโตกับพ่อต่อไป

“ม้า ผมเกือบลืมบอกแน่ะ เมื่อวานนี้ผมเห็นผู้หญิงข้างบ้านด้วยล่ะ หล่อนพยายามจะคุยกับป๊าตอนที่ป๊ากลับมาด้วย” เจ้ารองเอ่ยทันทีที่กลับถึงบ้าน

“แล้วป๊ามีปฏิกิริยายังไงบ้าง?” ในเมื่อเด็ก ๆ เปลี่ยนสรรพนามเรียกพวกเขาแบบนี้แล้ว หลินชิงเหอก็เปลี่ยนตามพวกเขาบ้าง

“ป๊าจะทำอะไรเหรอ เขาก็เมินหล่อนและกลับเข้าบ้านน่ะสิครับ” เจ้ารองตอบ

หลินชิงเหอพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“แล้วก็มีผู้หญิงคนที่อ่อนกว่าด้วย ผมคิดว่าหล่อนทำตัวนอบน้อมกับพี่ใหญ่มากเลย” เจ้ารองพูดต่อ

“หล่อนกำลังจะจับพี่ใหญ่ของลูกน่ะสิ คราวที่แล้วแทบจะทำให้พี่ใหญ่ของลูกตกใจเลย” หลินชิงเหอบอก

ไม่ใช่ว่าหลินชิงเหอไม่รู้ว่าครอบครัวบ้านจางห้องข้าง ๆ เป็นคนอย่างไรบ้าง

ยิ่งให้ความสนใจกับคนพวกนี้ พวกเขาก็จะได้ใจเข้าหาใหญ่ หลินชิงเหอจึงทำตัวปิดตาข้างเดียวมาโดยตลอด และเป็นเช่นนี้ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ล้ำเส้น

แต่จางเหมยเหอจากตระกูลจางยิ่งเชื่อว่าระหว่างเธอกับโจวชิงไป๋มีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่หลังลองทดสอบไม่กี่ครั้ง

จางเหมยเหอจึงมาหาโจวชิงไป๋ที่ร้าน

โจวชิงไป๋ย่นคิ้วในทันที

เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงแบบนี้ในชีวิตอันเถรตรงของเขาเลย ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่อยากจะรู้สึกด่าใครบางคน

“พี่โจว พี่ไม่รู้สึกถึงความรู้สึกของฉันที่มีต่อพี่เลยเหรอคะ? อาจารย์หลินเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยปักกิ่ง หล่อนดูถูกคุณอยู่ตลอด ในวันธรรมดาฉันก็เห็นว่าหล่อนไม่แม้แต่จะคุยกับคุณเลย ฉันเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจเหลือเกินค่ะว่าทำไมคนอย่างคุณถึงถูกกระทำแบบนี้?” จางเหมยเหอเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เกี๊ยวไส้หมูกับกุยช่ายน่าจะอร่อยนะคะ เดี๋ยวว่าง ๆ จะลองทำดูค่ะ

จางเหมยเหอ หล่อนไม่รู้จริงอย่าสาระแนค่ะ ระวังแม่ฟาดจนหน้ายับกลับไปนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset