บทที่ 288 ต้องการค่าชดเชย

บทที่ 288 ต้องการค่าชดเชย
โดย

บทที่ 288 ต้องการค่าชดเชย

ก่อนที่จางเหมยเหอจะแต่งงานไม่กี่วัน คุณป้าหม่าก็เป็นคนมาเล่าเรื่องให้หลินชิงเหอฟัง

“หล่อนเป็นแบบนั้นก็ยังมีคนที่อยากได้หล่อนอีกเหรอคะ?” หลินชิงเหอเอ่ยดูถูกอย่างไม่ยั้งปาก

“ในโลกนี้มีแต่ผู้ชายเท่านั้นแหละจ้ะที่ไม่สามารถแต่งภรรยาได้ ไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่สามารถแต่งออกไปได้” คุณป้าหม่าตอบอย่างดื้อดึง

เรื่องนี้เป็นความจริง ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะน่าเกลียดไปบ้าง แต่ตราบใดที่หล่อนสามารถดูแลครอบครัวได้ ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลในการแต่งงานกับหล่อน ผู้ชายจำนวนมากทีเดียวล้วนกระเหี้ยนกระหือรือต้องการหล่อน

“เกรงว่าเรื่องที่หล่อนมีลูกไม่ได้นี่จะเป็นความจริงนะคะ” หลินชิงเหอเปรยขึ้น

เธอเดาว่าต้นเหตุอาการป่วยคงจะเริ่มมาตั้งแต่ครั้งนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วหล่อนก็คงจะมีลูกตอนแต่งงานกับหนุ่มชนบทคนนั้นไปแล้วน่ะสิถูกไหม?

“นั่นก็แน่ล่ะจ้ะ ป้าได้ยินมาว่าชายคนนั้นเป็นพ่อม่ายลูกติดมีลูกชายกับลูกสาวอย่างละคน ถ้าหล่อนได้แต่งงานแล้ว หล่อนก็เป็นแม่คนได้โดยไม่ต้องคลอดลูก” คุณป้าหม่าเอ่ย

“งั้นหล่อนก็ได้ประโยชน์ใหญ่หลวงเลยล่ะค่ะ ตราบใดที่หล่อนหยุดทำตัวเหลวแหลกต่อและเลี้ยงดูเด็ก ๆ อย่างดี เด็กพวกนั้นก็คงจดจำความดีของหล่อนได้” หลินชิงเหอตอบ

ตอนนี้หล่อนแต่งงานออกไปแล้ว เธอจะไม่เหยียบผู้หญิงคนอื่นซ้ำยามที่หล่อนล้ม โดยเฉพาะตอนที่เธอเห็นว่าต่างฝ่ายต่างอยู่ห่างไกลออกไปและมีโอกาสน้อยนิดนักที่จะมาเจอกัน

“คงประหลาดพิลึกถ้าหล่อนสามารถอยู่ได้อย่างสงบสุขล่ะ” คุณป้าหม่าแค่นเสียง

หลินชิงเหอนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนถามขึ้น “หรือว่ามีเรื่องอื่นเกิดขึ้นกันคะ?”

“เธอคงไม่รู้สินะ เรื่องนี้ป้าเพิ่งจะได้ยินมาเมื่อสองวันนี้แหละ” คุณป้าหม่าบอกเธอ

กลายเป็นว่าก่อนหน้าการแท้งลูกของจางเหมยเหอครั้งล่าสุด หล่อนได้แท้งลูกมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้ แต่ตอนนั้นไม่มีใครจะกล้าเสนอหน้าเข้าไปยุ่ง

นี่คือความจริงที่เปิดเผยล่าสุด

เป็นเพราะภาวะมีบุตรยากของหล่อนนี่เอง ทำให้หล่อนแท้งลูกสองคนที่เกิดจากผู้ชายต่างคนกันติด ๆ กลายเป็นบาปติดตัวทำให้หล่อนไม่อาจตั้งครรภ์ได้

และด้วยนิสัยนั้นของหล่อนเอง ทำให้หล่อนไม่อาจนั่งเฉยอยู่ได้ หลังแต่งงานไปแล้วหล่อนจะอยู่อย่างสงบสุขงั้นเหรอ?

คุณป้าหม่ารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เลย

หลินชิงเหอส่ายหน้า เธอไม่สนใจเรื่องนี้

ทันทีที่กลับบ้านนี่เอง เธอก็เจอกับจางเหมยเหลียนพอดี

“ต้องขอโทษคุณป้าด้วยนะคะ พี่สาวของฉันแต่งงานไปแล้ว หล่อนไม่มีวันได้แสดงการกระทำขายขี้หน้าแบบนั้นให้คุณป้าได้เห็นอีกแล้วค่ะ” จางเหมยเหลียนเอ่ยกับหลินชิงเหอ

หลินชิงเหอเหลือบมองเธอ “ถ้านับตามอายุแล้ว ฉันนี่สิต้องเรียกแม่ของเธอว่าคุณป้า ฉันรับไม่ได้ที่ให้เธอเรียกฉันว่าป้าหรอกนะ แต่ถึงอย่างนั้นก็นะ…เหมารวมเรื่องทั้งหมดไม่ได้หรอก ตอนนี้หล่อนแต่งงานไปแล้ว อดีตผ่านไปแล้วก็แล้วกันไปละกัน”

เธอไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวตระกูลจางทั้งนั้น

หลังพูดจบเธอก็เดินเข้าบ้าน

จางเหมยเหลียนอยากพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายปิดประตูใส่หน้า จึงทำได้เพียงขบฟันกรอด หล่อนหาโอกาสเป็นฝ่ายคืนดีก่อนแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะไม่ไว้หน้ากันแบบนี้!

หลินชิงเหอเข้ามาในบ้านและอ่านหนังสือต่อ เธอผู้เป็นอาจารย์ภาษาอังกฤษคนแรกของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ตั้งแต่มีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยครั้งแรกจะปล่อยเวลาผ่านไปง่าย ๆ ได้อย่างไรล่ะ?

เธอต้องหมั่นเติมเต็มความรู้ให้แน่นอยู่ตลอดเวลา

ไม่นานนักเจ้ารองกับเจ้าสามก็กลับมา

หลินชิงเหอจึงวางหนังสือลงชั่วคราวและเอ่ยขึ้น “เอาผลคะแนนสอบครั้งนี้มาให้ม้าดูหน่อยสิ”

เจ้ารองยื่นกระดาษผลสอบให้ นับตั้งแต่ที่เขามาที่เมืองหลวง เขาก็ขยันเรียนอย่างหนัก นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมผลการสอบของเขาจึงดีมาก ต่อให้เขาเป็นนักเรียนที่ย้ายมาใหม่ก็ตาม คะแนนสอบของเขาก็ยังติดอันดับหนึ่งในสามของชั้นและอยู่ในสิบอันดับแรกของชั้นปี

ในเมืองหลวงมีการแข่งขันสูงมากจริง ๆ

คราวนี้เจ้ารองมีอันดับที่ดีขึ้น คราวที่แล้วเขาอยู่อันดับที่ 10 ของชั้นปี แต่คราวนี้เลื่อนมาเป็นอันดับ 8 ติดที่เขาทำโจทย์ผิดไป 1 ข้อ ไม่อย่างนั้นเขาคงอยู่สูงกว่านี้สองอันดับ

แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลกับสองอันดับก่อนหน้าเลย

เทียบกับเจ้ารองที่ไต่ขึ้นมาอยู่ใน 10 อันดับแรก เจ้าสามดูจะเอื่อยเฉื่อยเป็นปลาเค็มมากกว่า

ปีนี้เขาอยู่ใน 50 อันดับแรก ไม่ก้าวหน้าหรือถอยลง ซึ่งในชั้นปีนั้นมีทั้งหมด 9 ห้องเรียน ดังนั้นอันดับใน 50 คนแรกจึงนับว่าไม่เลวนัก

แต่ต้องบอกว่ามันเยี่ยมมากแล้ว…ที่เขาอยู่อันดับที่ 50 พอดี

“ม้า ผมทิ้งลูกบอลไว้ให้เพื่อนที่บ้านเก่าเล่นไปแล้ว ม้าซื้อให้ใหม่อีกลูกนะครับ” เจ้าสามเอ่ย

เดิมทีเขามีเพื่อนเล่นอยู่ที่บ้านเกิดอยู่ หลังจากที่เขาเห็นว่าจะต้องย้ายบ้านในช่วงปีใหม่ เขาก็ได้ให้ลูกบอลไว้กับพวกเขา ถือว่าเป็นของที่ระลึกอย่างหนึ่ง

“ได้สิ ถ้าเกิดว่าลูกขึ้นมาอยู่ใน 30 อันดับแรกของชั้นปีได้ ม้าจะซื้อให้” หลินชิงเหอพยักหน้า

“ 30 อันดับแรก?” ดวงตาของเจ้าสามเบิกกว้าง “ม้าสัญญานะครับ?”

“ม้าไม่เคยรักษาสัญญาตอนไหนบ้างล่ะ?” หลินชิงเหอถาม “คราวหน้าก็จงขยันเรียนและขยับอันดับให้ได้ ม้าถึงจะซื้อให้”

“ตกลงครับ!” เจ้าสามพยักหน้า

จากนั้นหลินชิงเหอก็หันไปหาเจ้ารอง “ลูกเองก็อย่าเอาแต่เรียนอย่างเดียว พรุ่งนี้ลูกน่าจะซื้อลูกบาสไปเล่นบาสเก็ตบอลหลังเลิกเรียนก่อนกลับมาบ้านนะ”

เจ้ารองเห็นด้วยอย่างมีความสุข

เมื่อใดที่พวกเขาทำคะแนนสอบได้ดีเยี่ยม หลินชิงเหอก็จะใจกว้างมาก เหตุผลนอกจากนี้คือเด็กผู้ชายอย่างพวกเขาต้องเล่นบาสเก็ตบอลบ้าง

แม่และลูกชายทั้งสองไม่ได้มากินอาหารเย็นที่ร้านเกี๊ยวจนกระทั่งถึงหนึ่งทุ่มจึงจะมา

แกงเย็นนี้เป็นแกงกระดูกหมูหัวไชเท้า และยังมีอาหารผัดสองจานและหมั่นโถวนึ่งหนึ่งหม้อ ในที่สุดอาหารเย็นก็พร้อมรับประทาน

ต้องบอกว่านอกจากการทำอาหารในอพาร์ทเมนต์ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ทำอาหารอีกเลยหลังจากที่ร้านเกี๊ยวเปิด

ที่บ้านจึงไม่มีคราบมันและควันอาหาร ซึ่งทำให้หลินชิงเหอพอใจมาก

“น้ำแกงวันนี้เป็นยังไงบ้าง?” โจวชิงไป๋ถาม

“อร่อยค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

“ไม่ใช่ว่าป๊าเป็นคนทำนะ?” ทั้งเจ้ารองกับเจ้าสามมองพ่อของพวกเขาอย่างประหลาดใจ

“ไม่ต้องสงสัยหรอก ป๊าเป็นคนทำน่ะ” โจวข่ายยืนยัน

หลินชิงเหอได้ยินดังนี้ก็มองโจวชิงไป๋ด้วยความประหลาดใจ ชิงไป๋ของเธอเป็นคนตุ๋นแกงกระดูกหมูหัวไชเท้างั้นเหรอ?

ชายคนนี้เหมือนจะรู้จักทำเป็นแค่เกี๊ยวนี่นา ส่วนอาหารอย่างอื่นเขาทำไม่เป็นเลย เหมือนเป็นความสามารถที่เขาไม่มีอยู่แล้ว

แต่ตอนนี้ไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถตุ๋นแกงได้?

“เรื่องเล็กน่ะ” โจวชิงไป๋ยกยิ้มเล็กน้อยและดื่มน้ำแกงกระดูกหมูหัวไชเท้าอย่างใจเย็น

“หรือว่าป๊าผมปลดทักษะใหม่ได้เพราะทำเกี๊ยวจนเชี่ยวชาญทุกอย่างแล้ว?” เจ้ารองถาม

“ม้าว่าเป็นไปได้นะ ในอนาคตดูท่าป๊าจะเป็นพ่อครัวได้เลยแหละ” หลินชิงเหอพยักหน้า

“งั้นม้าก็โชคดีแล้วล่ะครับ” เจ้าสามเอ่ย

“ใช่แล้วล่ะ ม้าได้มาแต่งงานกับป๊าถือว่ายิ่งกว่าโชคดีที่เลือกคนถูกเลย” หลินชิงเหอเหลือบมองโจวชิงไป๋ เธอไม่ตระหนี่ที่จะให้อาหารสุนัขกับลูกชายทั้งสามแต่อย่างใด

โจวชิงไป๋สบกลับด้วยรอยยิ้มในดวงตา

เป็นเรื่องจริงที่นับตั้งแต่วันนั้น โจวชิงไป๋ก็เหมือนจะบรรลุวิชาและเริ่มทำทุกอย่างเอง

เมื่อกลับถึงบ้านและเตรียมเข้านอนแล้ว หลินชิงเหอก็กระซิบกับเขาบนเตียง “คุณรู้ไหมคะว่าแรกเริ่มต้องทำอย่างไรบ้าง? คุณอยากให้ฉันทำให้คุณก่อนไหมคะ?”

“ผมไม่รู้หรอกว่าต้องเริ่มยังไงก่อน ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นต้องทำอะไรบ้างด้วย รู้แค่ว่าต้องใส่เกลือ” โจวชิงไป๋เอ่ยอย่างใสซื่อ

เขาเคยช่วยภรรยาทำครัวอยู่ แต่ลืมไปหมดแล้ว

ไม่นานมานี้เขาก็เหมือนกับจะบรรลุวิชา ว่าการใส่เกลือในระดับที่พอเหมาะจะทำให้อาหารจานผัดไม่ติดหม้อ

ลูกค้าต่างชมว่าเกี๊ยวของเขาอร่อย ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะมีแต่คนบอกต่อกันหลายคนว่ามันอร่อย

“ฉันไม่สนหรอกค่ะ ฉันอยากให้คุณจ่ายค่าชดเชยให้ฉัน” หลินชิงเหอออกคำสั่งอย่างไร้ยางอาย

“อยากให้ผมชดใช้ยังไงเหรอ?” ดวงตาของโจวชิงไป๋เข้มขึ้น

จากนั้นหลินชิงเหอก็ได้รับค่าชดเชยสมใจอยาก และดูจะมากเกินไปหน่อยด้วยซ้ำจนแข้งขายังคงไร้เรี่ยวแรงเล็กน้อยตอนออกไปสอนหนังสือในวันต่อมา

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ตัวปัญหาไปแล้วหนึ่ง เหลืออีกหนึ่ง แม่ต้องระวังลูกชายคนโตของแม่ให้ดี ๆ เลยนะคะ

ขออนุญาตเกลียดการเรียกร้องค่าชดเชยของแม่ได้ไหมคะ ชดเชยท่าไหนถึงได้แข้งขาอ่อนแรงในวันรุ่งขึ้น ๕๕๕

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset