บทที่ 301 ประสบความสำเร็จและมั่งคั่ง

บทที่ 301 ประสบความสำเร็จและมั่งคั่ง

บทที่ 301 ประสบความสำเร็จและมั่งคั่ง

เมื่อคนทั้งคู่มาถึงบ้าน พวกเขาก็ได้รับความสนใจจากคนอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก

พวกเขาเป็นครอบครัวแรกที่ย้ายออกจากหมู่บ้าน ซึ่งอย่าว่าแต่ช่วงยุค 80 ในตอนนี้เลย ในยุค 90 ก็ถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะเห็น

ช่างเป็นศูนย์รวมความเคารพนับถือโดยแท้

ไม่นานนักบรรดาญาติและสหายหลายคนก็มาที่บ้าน

หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋จึงร่วมสรวลเสเฮฮาไปกับพวกเขา

หลังพูดคุยกันเป็นเวลานาน เพื่อนบ้านก็พากันกลับ ขณะที่สะใภ้ใหญ่กับคนอื่น ๆ ยังไม่กลับไป

“เหมือนปีก่อน ๆ ล่ะค่ะที่ฉันต้องซื้อเป็ดย่างมาฝากครอบครัวละตัว พี่สะใภ้คะ เอามันกลับไปกินเถอะค่ะ” หลินชิงเหอหยิบห่อเป็ดย่างออกจากย่ามและเอ่ยขึ้น

“ไม่จำเป็นต้องซื้อกลับมาฝากทุกปีหรอกจ้ะ” สะใภ้ใหญ่เอ่ยด้วยความกระดากนิดหน่อย

“แค่เป็ดย่างตัวเดียวเองค่ะ” หลินชิงเหอยังคงยืนกรานจะให้หล่อน

ทั้งสะใภ้รองกับสะใภ้สามต่างก็ได้กันคนละ 1 ตัว

“ปีนี้พี่เห็นน้องชายสี่มีเนื้อมีหนังมากขึ้นนะ กิจการร้านเกี๊ยวในเมืองหลวงดำเนินไปด้วยดีหรือจ๊ะ?” สะใภ้รองถาม

“กิจการถือว่าค่อนข้างดีเลยค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

“โอ้ เยี่ยมไปเลย คุณแม่ที่อยู่บ้านคอยเป็นกังวลอยู่เรื่อยเลยล่ะ” สะใภ้รองอุทาน

“ทำไมปีนี้เด็ก ๆ ไม่ได้กลับมาด้วยล่ะจ๊ะ?” สะใภ้สามถาม

“เรามีพ่อทูนหัวอยู่ที่นั่นแล้ว เจ้าลูกลิงทะโมนทั้งสามก็เลยขออยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนกับคุณตาทูนหัวน่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบ

“พี่เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ สองคนมีคุณตาทูนหัวในเมืองหลวง พวกเขาเลยไม่ต้องการคุณปู่แท้ ๆ ในชนบทแล้วเหรอคะ?” โจวลิ่วนีเอ่ยพลางหรี่ตา

“ยัยหนู พูดอะไรน่ะ?” สะใภ้ใหญ่อุทานขึ้นในทันที

“ตอนนี้ลิ่วนีโตขึ้นแล้วปากคอเราะร้ายขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะคะ พอผู้ใหญ่พูดก็พูดขัดตลอดเลย” สะใภ้สามหัวเราะ

สะใภ้รองรู้สึกอับอายเหลือแสนจนต้องถลึงมองลูกสาว “ถ้าลูกไม่รู้จักพูดจาดี ๆ ก็หุบปากเงียบไปซะ!”

โจวลิ่วนีไม่สะทกสะท้านและยังยิ้ม “หนูพูดเล่นน่ะค่ะ”

“นี่ไม่ตลกนะหนู สิ่งที่สำคัญสุดสำหรับคนเราก็คือการไม่ลืมกำพืดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นอาหรืออาชิงไป๋ เราต่างสอนเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ในเรื่องนี้ บ้านในเมืองหลวงเป็นบ้านของคุณตาทูนหัวของเจ้าใหญ่ เขารู้ว่าทางมหาวิทยาลัยขาดแคลนบ้านพักและไม่สามารถจัดหาให้อาได้ แถมยังรู้ว่าอาจะพาอาชิงไป๋ไปที่นั่นอีก เขาก็เลยถ่ายโอนบ้านของเขาให้กับทางมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับร้านเกี๊ยว เขาก็เป็นคนช่วยหาทำเลร้านให้ ปีนี้เราเลยสานสัมพันธ์เป็นพ่อทูนหัวลูกบูญธรรมกัน เขาก็อยู่ของเขา เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ อยากจะอยู่ด้วย อาชิงไป๋กับอาก็ไม่มีปัญหา” หลินชิงเหออธิบายด้วยรอยยิ้ม

คำพูดเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นคำอธิบายถึงต้นกำเนิดของความสัมพันธ์เช่นนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือทางนี้ยังมีคนหลายคนในครอบครัว แต่เฒ่าหวังไม่มีใครเลย การที่เด็กชายทั้งสามคนอยู่ที่นั่นจึงถือว่าเป็นที่เข้าใจได้อยู่

ไม่ใช่ว่าคนทั้งคู่กลับมาหรือ?

“อยู่นั่นก็ถูกแล้ว” ท่านพ่อโจวพยักหน้า

“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง กับพี่สะใภ้สามกลับไปเตรียมอาหารเย็นเถอะค่ะ เราเองก็ต้องเตรียมอาหารเย็นด้วย ดังนั้นฉันจะไม่รั้งพวกพี่ไว้นะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ตกลงจ้ะ” สะใภ้ใหญ่พยักหน้าและจากไป

สะใภ้รองเรียกตัวโจวลิ่วนีกลับ ส่วนสะใภ้สามก็พาอู่นีกลับ

“คุณแม่คะ ยัยหนูลิ่วนีตอนนี้ชักจะปากคอเราะร้ายขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะคะ คำพูดของหล่อนทนฟังไม่ได้เลยค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยกับท่านแม่โจวอย่างไม่เกรงใจในทันทีที่สะใภ้ทั้งสามกลับไปแล้ว

แม้เธอในฐานะคุณอาสะใภ้สี่จะไม่สนใจพวกหล่อนนัก แต่เธอก็นำของขวัญกลับมาให้ทุกปี ซึ่งเธอพยายามอย่างเป็นที่สุดที่จะช่วยเหลือผู้อื่น

ในสายตาของโจวลิ่วนี นี่เป็นสิ่งที่เธอควรทำแล้ว

“อย่าไปสนใจคำพูดลิ่วนีนักเลย” ท่านแม่โจวพูด นางไม่กังวลในเรื่องของหลานสาวเลย จากนั้นก็หันมาถามโจวชิงไป๋ “ชิงไป๋ กิจการร้านเกี๊ยวเป็นอย่างไรบ้างล่ะฮึ?”

ตอนนี้ท่านแม่โจวไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจังกับคำตอบที่ให้ต่อหน้าคนอื่น ๆ

“ดีมากครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า

หลินชิงเหอเริ่มเตรียมอาหารเย็น เป็นอาหารอย่างง่าย ๆ ก็ใช้ได้

ท่านแม่โจวไม่เชื่อจึงเอ่ยขึ้น “ไม่บอกความจริงกับแม่เหรอ? ปีนี้แม่กับพ่อเก็บเงินไว้เยอะเลยนะ หลังปีใหม่ก็เอาไปที่เมืองหลวงไปซื้อเครื่องเขียนให้เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ สิ”

โจวชิงไป๋ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

หลินชิงเหอที่ง่วนอยู่ในครัวก็ได้ยินเรื่องนี้เหมือนกัน

นี่คือสาเหตุว่าทำไมบางทีแม่สามีก็ยุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นหลินชิงเหอก็ยังคงไม่เอ่ยอะไร

เพราะคู่รักชราคู่นี้คือส่วนหนึ่งของครอบครัวเธอ เป็นส่วนหนึ่งของสามีและลูกชายทั้งสาม เธอเองก็อยู่ร่วมชายคาเดียวกับพวกเขาด้วย

ดังนั้นตราบใดที่นางไม่ได้ตัดสินใจแทนเธอและไม่เข้ามายุ่งกับชีวิตความเป็นไปของเธอ เธอก็ไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมอะไร

เธอเลยเอ่ยออกมา “กิจการร้านเกี๊ยวของชิงไป๋ไปได้สวยมากค่ะ เงินที่เขาได้แต่ละเดือนไม่ได้น้อยกว่าเงินเดือนของฉันเลย ปีนี้คุณพ่อคุณแม่เตรียมตัวไว้นะคะ หลังปีใหม่พวกคุณย้ายไปเมืองหลวงกับเรากันนะคะ?”

บ้านที่มีสวนในตัวไม่อาจถูกปล่อยไว้ให้ร้างหรอก มีคนอยู่ในนั้นจะดีกว่า

“ย้ายไปเมืองหลวงปีหน้าน่ะเหรอ?” ท่านแม่โจวถึงกับตื่นเต้น

“ที่นั่นไม่มั่นคงหรอก ช่างมันเสียเถอะ” ท่านพ่อโจวบอก

เขารู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถช่วยอะไรลูกชายคนเล็กได้เลย ดังนั้นอย่าไปเพื่อเป็นภาระจะดีกว่า อีกอย่างหนึ่งพวกเขาพูดสำเนียงแบบคนเมืองหลวงไม่เป็นด้วย

“คุณพ่อแกกังวลว่าถ้าไปถึงนั่นแล้วจะพูดภาษาถิ่นที่นั่นไม่ได้น่ะ” ท่านแม่โจวบอก

“สำเนียงที่นี่ของเราค่อนข้างใกล้เคียงกับสำเนียงคนเมืองหลวงน่ะค่ะ ยังพอฟังรู้เรื่องอยู่บ้าง” หลินชิงเหอเอ่ยเมื่อได้ยินดังนี้

แม้ว่าคนที่นี่จะพูดสำเนียงท้องถิ่นชัดเจน แต่คนจากเมืองหลวงก็ยังเข้าใจพวกเขาได้อยู่ 50 ถึง 60 เปอร์เซ็นต์

“ถ้าไปถึงที่นั่น แค่เรียนรู้สำเนียงของคนทางนั้นไว้บ้างก็พอแล้วค่ะ เราดูบ้านที่มีสวนให้คุณพ่อคุณแม่แล้ว และจะวางแผนเช่าหลังปีใหม่นี้ ค่าเช่าก็แค่ 5 หยวนต่อเดือน แถมยังมีพื้นที่กว้างขวางมากอีกด้วยนะคะ เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วเกิดคุณพ่อคุณแม่ชอบขึ้นมาก็ให้ชิงไป๋เริ่มทำสวนผักให้ก็ได้ จากนั้นก็ซ่อมเล้าไก่ให้ได้เลี้ยงไก่ ถ้าเกิดว่างไม่มีอะไรทำก็ออกไปเดินเล่นรอบ ๆ ได้ แต่ถ้าไม่รู้ทางก็มาเรียกหลานชายสามคนก็ได้ค่ะ ยังมีอะไรให้ต้องกังวลอีกล่ะคะ?” หลินชิงเหอพรรณาเป็นเชิงโน้มน้าว

เมื่อท่านแม่โจวได้ฟังแล้ว นางก็เกิดมีใจคล้อยตาม

“ค่าเช่า 5 หยวนต่อเดือนเลยเหรอ?” ท่านพ่อโจวย่นคิ้ว เพราะว่ามันแพงเกินไป

“5 หยวนถือว่าไม่เยอะหรอกค่ะ ร้านเกี๊ยวของชิงไป๋ก็ยังมีรายได้ ดังนั้นค่าเช่าบ้านไม่ใช่ปัญหาหรอก สิ่งสำคัญก็คือคุณพ่อคุณแม่ทั้งสองคนน่ะค่ะ” หลินชิงเหอบอก

“ไปอยู่ที่นั่นเถอะครับ” โจวชิงไป๋เอ่ยขึ้นเช่นกัน

“งั้นปีหน้าเราค่อยคุยกันนะ” ท่านพ่อโจวบอก

ท่านแม่โจวรู้สึกอยากไปอยู่อย่างมาก แต่นางไม่อาจแย้งท่านพ่อโจวได้ตรง ๆ จึงเอ่ยแบบอ้อม ๆ “ในครอบครัวเรายังมีเป็ดไก่อยู่หลายตัวนะ ให้เราขายพวกมันบางส่วนไปเหรอ?”

“ชิงไป๋ พรุ่งนี้คุณจับพวกมันบางตัวไปที่อำเภอแล้วขายหน่อยสิคะ” หลินชิงเหอหันไปทางโจวชิงไป๋

เป็นเรื่องดีกว่าที่จะพาพ่อเฒ่าแม่เฒ่าคู่นี้ไปอยู่เมืองหลวง หากพวกเขาไม่สบายขึ้นมาก็มีหนทางรักษามากกว่า

“พรุ่งนี้คุณน้าของเจ้าใหญ่จะมารับไก่ไปขาย ชิงไป๋ แกก็ไปกับเขาด้วยนะ” ท่านแม่โจวบอกหลังได้ยินดังนี้

“น้องชายสามของฉันมารับไก่ไปเหรอคะ? หมายความว่าอย่างไร?” หลินชิงเหอวางอาหารบนโต๊ะและเอ่ยถามอยางงงงวย

“เธอยังไม่รู้ ว่าน้าของเจ้าสามประสบความสำเร็จและมั่งคั่งไปแล้ว” ท่านแม่โจวเอ่ยด้วยรอยยิ้มเมื่อรู้ว่าเธอไม่รู้เรื่องของน้องชายสามตระกูลหลินเลย

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เอ็นดูท่านพ่อท่านแม่โจวจังค่ะ อย่าห่วงเลยนะคะ แม่น่ะหาเงินมาได้มากกว่าที่ท่านคิด

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset