บทที่ 302 ร้านสะดวกซื้อ

บทที่ 302 ร้านสะดวกซื้อ

บทที่ 302 ร้านสะดวกซื้อ

จากนั้นหลินชิงเหอก็ได้ยินท่านแม่โจวพูดถึงเรื่องนี้ในทันที

ปีนี้ไม่ใช่ว่าระบบธุรกิจในครัวเรือนได้เข้ามาแทนที่หรอกหรือ? ทุกคนต่างทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองและไม่ได้ทำงานด้วยกันอีกต่อไป

น้องชายสามตระกูลหลินทำงานในหลายพื้นที่ปลูก สำหรับคนขยันทำงานอย่างเขาแล้วเขาก็ทำได้มาก แต่เขากลับลดปริมาณลงเหลือครึ่งหนึ่ง

เขาทำงานในที่นาเพียงครึ่งหนึ่งจากจำนวนเดิมที่วางแผนเอาไว้

ในเมื่อที่ดินถูกจัดสรรและปลูกข้าวสาลีฤดูหนาวไปแล้ว น้องชายสามตระกูลหลินจึงได้ทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปกับธุรกิจของเขา

ในตอนแรกเขาเก็บไข่จากบ้านอื่นไปขายและรับเงินน้อยนิดเป็นค่าคนกลาง แต่หลังจากฤดูหนาวมาเยือน เขาก็หยุดรับไข่ไปขาย

ทำไมน่ะเหรอ? เพราะมันมีหิมะน่ะสิ ซึ่งลื่นได้ง่ายมาก หากเกิดความสูญเสียขึ้นเขาจะกลายเป็นคนต้องรับผิดชอบ

เมื่อไม่ได้รับไข่ไปขายแล้ว น้องชายสามตระกูลหลินจึงเปลี่ยนเป็นรับไก่เป็น ๆ ไปขายแทน

เขาขนตาชั่งและขี่จักรยานที่ซื้อมาจากพี่สาวปั่นตระเวนไปทั่วทั้งชนบท และได้กำไรดีมาก

ไก่ตัวหนึ่งมีราคาประมาณ 1 หยวน เขาสามารถทำกำไรได้เกือบ 2 เหมาหากขนมันเข้าไปในเมือง

เป็นเพราะเรื่องนี้เอง น้องชายสามตระกูลหลินจึงมีแรงกระตุ้น

เมื่อถึงตอนเย็นเขาก็สามารถจับไก่ไปได้อย่างมาก 10 ตัว จำนวนน้อยที่สุดคือ 5 หรือ 6 ตัว เมื่อขนไก่พวกนี้เข้าเมืองแล้ว เขาก็จะได้เงิน

ไม่ใช่แค่นั้น ปีนี้เขายังซื้อถั่วเหลืองกับถั่วเขียวจำนวนมากจากชาวบ้านด้วย เขาเก็บมันเพื่อจะมาเพาะเป็นถั่วงอก

การเพาะถั่วงอกทำกำไรอย่างมาก ไม่มีใครเชื่อในเรื่องนี้แน่ ถั่วงอกจำนวนน้อยนิดที่รวบรวมได้ใน 1 เดือนสามารถทำเงินได้เกือบ 50 ถีง 60 หยวนทีเดียว

แถมยังมีรายได้จากการขายไก่ด้วย

ต้องบอกว่าตั้งแต่ต้นฤดูหนาวปีนี้ น้องชายสามตระกูลหลินนับว่ามีโชคจริง ๆ

แน่นอนว่าหลินชิงเหอไม่รู้เรื่องพวกนี้ วันต่อมาเธอก็พบกับน้องชาย

ในครั้งนี้หลินชิงเหอรู้ว่าการทำธุรกิจแบบนั้นจะทำเงินได้มาก แต่ดูน้องชายสามตระกูลหลินสิ คนอื่นมองก็ไม่มีทางบอกได้เลยว่าเขาค้าขายทำกำไรได้

เขาสวมเสื้อกันหนาวตัวเก่าคร่ำคร่า

เขามาหาในทันทีที่รวบรวมไก่ได้ ซึ่งวันนี้เขารวบรวมไก่ได้เป็นจำนวนมาก ไก่สองสุ่มคิดเป็นไก่นับสิบ ๆ ตัว

“พี่สาว พี่เขย” น้องชายสามตระกูลหลินรู้สึกยินดีปรีดาที่ได้เจอ

“นายใส่เสื้อกันหนาวตัวนี้มากี่ปีแล้วเนี่ย? ยังไม่ซื้อตัวใหม่มาใส่อีกเหรอ?” หลินชิงเหออดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นน้องชายเป็นแบบนี้

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมใส่แค่นี้ก็กันหนาวพอแล้ว ไม่ต้องใส่อะไรให้มากมายหรอกครับ” น้องชายสามตระกูลหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“นายจะแข็งตายพอดีน่ะสิ” หลินชิงเหอบอกเขา

เธอเทน้ำอุ่นถังหนึ่งและยื่นผ้าเช็ดตัวให้เขาล้างหน้า น้องชายสามตระกูลหลินรู้ว่าพี่สาวเป็นห่วงจึงยอมเชื่อฟัง

หลังล้างหน้าเสร็จหลินชิงเหอก็หยิบครีมทาหน้าให้เขาทาบำรุงและเอ่ยขึ้น “พี่ซื้อครีมทาหน้ามาเยอะเลย นายเอากระปุกนี้กลับไปแล้วกัน ทุกวันเวลานายออกไปข้างนอกก็ทาซะนะ นายอ่อนอายุกว่าพี่แค่ปีเดียวแต่กลับดูแก่กว่าพี่เขยอีก”

น้องชายสามตระกูลหลินทำเพียงอมยิ้ม

“เอาล่ะ นายพาพี่เขยไปขายเป็ดกับไก่ก่อน หลังจากกลับมาแล้วก็มากินอาหารกลางวันที่นี่ พี่แบ่งเป็ดย่างไว้ให้นายแล้วตัวหนึ่ง นายก็เอากลับไปให้หลานสาวของพี่กินด้วยล่ะ” หลินชิงเหอพูด

“ครับ” น้องชายสามตระกูลหลินตอบและออกจากบ้านไปกับพี่เขย

คราวนี้เป็นวันที่ยี่สิบหก ใกล้จะถึงวันปีใหม่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นไก่กับเป็ดของโจวชิงไป๋หรือไก่และถั่วงอกของน้องชายสามตระกูลหลิน ทุกอย่างก็ถูกขายหมดไวมาก

ทั้งสองกลับมาที่บ้านในตอนเที่ยง

หลินชิงเหอ ท่านพ่อโจว และท่านแม่โจวกินข้าวกันเสร็จแล้ว เธอจึงปรุงบะหมี่น้ำไก่ให้พวกเขากินก่อนจะมานั่งคุยกัน

“พี่ครับ ฝีมือทำอาหารของพี่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน” น้องชายสามตระกูลหลินเอ่ยอย่างพอใจหลังกินจนพุงกาง

“ให้เมียนายใส่ใจกับการทำอาหารอีกหน่อยแล้วหล่อนก็จะทำอาหารอร่อย ๆ ให้นายกินได้เอง” หลินชิงเหอตอบ

หลังทำความสะอาดโต๊ะเสร็จ เธอก็ให้โจวชิงไป๋เป็นคนล้างจานชาม ส่วนเธอนั่งลงและถามต่อ “ทีนี้นายคิดออกหรือยังล่ะ?”

น้องชายสามตระกูลหลินยิ้มและเอ่ยตอบ “ผมแค่ลองดูเท่านั้น แต่ก็ไม่คิดว่าปีนี้คนในเมืองจะไม่สนใจกับอะไรพวกนั้นแล้ว”

“ตอนนี้นายรู้สึกอย่างไรล่ะ?” หลินชิงเหอยิ้ม

“ยอดเยี่ยมไปเลยครับ” น้องชายสามตระกูลหลินมีท่าทางจริงจังขึ้นมาและบอกแผนของตัวเอง “พี่ครับ ผมวางแผนที่จะทำต่อในปีหน้า ในอนาคตผมเองก็วางแผนจะรับผักผลไม้จากภูเขาในหมู่บ้านของเราไปขาย พี่คิดว่ามันจะได้ผลไหมครับ?”

“มันก็ได้ผลอยู่ล่ะ แต่ว่าจะเหนื่อยเกินไปน่ะสิ” หลินชิงเหอบอก

มันใช้เวลาราวสองชั่วโมงจากที่นี่ไปถึงตัวอำเภอ ต่อให้ขี่จักรยานก็ตาม แถมยังพ่วงตะกร้าผักผลไม้อีกด้วย นับว่าเหนื่อยจนแทบหมดแรง

“ผมไม่กลัวเหนื่อยหรอกครับ” น้องชายสามตระกูลหลินส่ายหน้า

จะไปกลัวอะไรกับการต้องเหนื่อยยาก? สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือการไม่ได้เงินหลังทุ่มเทแรงกายลงไป เหมือนกับเมื่อก่อนที่ใช้แรงงานแทบตายแต่ได้เงินกลับมาเท่าไหร่กัน?

“ขี่จักรยานไปกลับจากอำเภอแบบนี้ นายคิดที่จะเปิดร้านสะดวกซื้อในหมู่บ้านบ้างไหม?” หลินชิงเหอไม่ได้ห้ามเขา ครั้งหน้าที่เธอลงไปทางใต้ เธอก็จะดูว่าที่นั่นมีมอเตอร์ไซค์ขายไหม หากมีก็จะได้ซื้อกลับมาให้น้องชายสักคัน

เดินทางไปกลับจากหมู่บ้านไปอำเภอด้วยจักรยานตลอดแบบนี้มันเหนื่อยเกินไป

“ร้านสะดวกซื้อเหรอครับ?” น้องชายสามตระกูลหลินเอ่ยด้วยความประหลาดใจ

“ไปที่อำเภอหาแหล่งซื้อของสิ อย่างเช่น ขนมผงบ๊วยยี่ห้อถังเชิ่งโร่ว และก็พวกลูกอมอะไรนั่น ตอนนี้เด็ก ๆ ชอบกินนะ นายก็ขนพวกมันกลับมาขาย แล้วยังมีซีอิ๊วกับน้ำส้มสายชู นายก็หาแหล่งซื้อสักที่ ซื้อในปริมาณเยอะ ๆ แล้วพวกเขาก็จะเต็มใจให้นายต่อราคา ในอำเภอก็มีแหล่งสินค้าอยู่ ซึ่งนายก็จะได้รับส่วนต่างจากการขายนี้ไป” หลินชิงเหอแนะนำ

“เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ” โจวชิงไป๋พยักหน้า

นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มธุรกิจ เขาก็ได้ตระหนักเช่นกันว่าไม่ควรประมาทส่วนต่างเล็กน้อยเหล่านี้ มันกลายเป็นส่วนต่างมหาศาลทีเดียวหากคิดในปริมาณมาก ๆ

ทำน้อยเพื่อได้มาก ผลก็คือคน ๆ หนึ่งจะได้เงินจำนวนมากภายในเดือนเดียว

น้องชายสามตระกูลหลินฟังแล้วก็รู้สึกคล้อยตามเล็กน้อย

การที่เขาเดินทางไปกลับระหว่างหมู่บ้านกับตัวอำเภออยู่แล้วนับว่าเป็นเรื่องสะดวกมากสำหรับเขา

“ขายของพวกนี้ในหมู่บ้านจะไม่ใช่เรื่องน่าอายเกินไปเหรอครับ?” น้องชายสามตระกูลหลินเอ่ยพลางเกาศีรษะ

“นายอาจรู้สึกอับอายแต่เมียนายไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ที่ทำก็เพียงต้องจัดการการขนส่งให้ดี ๆ แล้วให้เมียนายทำส่วนที่เหลือไป” หลินชิงเหอไม่สนใจ

น้องสะใภ้ของเธอไม่ใช่ลูกพลับอ่อน(คนอ่อนหัด)หรอก หล่อนทำเรื่องนี้ได้แน่นอน

“งั้นก็ได้ครับ ถ้ากลับไปแล้วผมจะไปพูดกับหล่อน” น้องชายสามตระกูลหลินพยักหน้า

“ถุงเท้าสองคู่นี้พี่ซื้อให้พี่เขยแต่ว่าเขายังไม่ได้ใส่ ทุกคู่ล้วนเป็นของใหม่ นายเอากลับไปใส่สิ…แล้วพุทราจีนห่อนี้ก็เป็นของหลานสาวฉัน…ส่วนลูกกวาดนมถุงนี้นายก็เอากลับไปด้วย…แล้วพี่เองก็ซื้อนมมอลต์สกัดให้นายโดยเฉพาะ…อย่าลืมครีมทาหน้ากระปุกนี้ล่ะ อย่าใช้อย่างประหยัดด้วย…แล้วก็เอาผ้าเช็ดตัวผืนนี้กลับไปที่บ้านนะ…ส่วนนี่ก็เป็ดย่างที่พี่ให้แต่ละครอบครัว ครอบครัวนายก็ได้ไป 1 ตัว” หลังหลินชิงเหอจัดของเหล่านี้แล้ว เธอก็บอกให้น้องชายนำกลับไปบ้าน

น้องชายสามตระกูลหลินอดไม่ได้ต้องเอ่ยออกมา “พี่”

“เอากลับไปซะ ไม่ต้องพูดจาไร้สาระอะไรแล้ว” หลินชิงเหอโบกมือและเอ่ยต่อ “วันที่หนึ่งนายอยากมาที่นี่ไหม?”

“อยากครับ” น้องชายสามตระกูลหลินพยักหน้า

“ตกลง งั้นนายมาที่นี่แล้วพี่จะทำอาหารดี ๆ ให้กินนะ” หลินชิงเหอบอกเป็นเชิงรับรู้

น้องชายสามตระกูลหลินจึงแบกของเหล่านั้นกลับไปที่บ้าน

“พี่สาวสามกับพี่เขยสามกลับมาแล้วเหรอคะ?” เมื่อเห็นของเหล่านี้ สะใภ้สามตระกูลหลินก็รู้ว่าใครเป็นคนให้มาจึงเอ่ยถาม

“พวกเขากลับมาแล้วล่ะ” น้องชายสามตระกูลหลินพยักหน้า

“ฉันไปทำอาหารให้คุณกินก่อนนะคะ” สะใภ้สามตระกูลหลินเอ่ยก่อนจะค้นวัตถุดิบอาหารในครัว

สุดท้ายแล้ว หัวใจของหล่อนก็ยังรู้สึกเจ็บปวดไปกับสามี

“ไม่เป็นไรหรอก พี่ผมทำบะหมี่น้ำไก่ให้กินแล้ว ตอนนี้ผมอิ่มมาก คุณเก็บของพวกนี้เข้าที่ก่อนเถอะ แล้วผมจะบอกคุณในเรื่องบางอย่าง”

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

น้องชายแม่จะเปิดร้านแล้วค่ะ ขอให้กิจการรุ่งเรืองนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset