บทที่ 313 สวี่เชิ่งเหม่ย

บทที่ 313 สวี่เชิ่งเหม่ย

บทที่ 313 สวี่เชิ่งเหม่ย

เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะไปอยู่ที่นั่น ร้านค้าจึงเรื่องจำเป็นโดยที่ไม่ต้องเอ่ยถึง

“พี่จะมองหาร้านค้าให้เธอ ถ้ามีที่ไหนเหมาะพี่จะจัดการให้ ถ้าต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าไปก่อนสักสองหรือสามเดือนก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ในความเห็นของพี่ ทางที่ดีที่สุดคือซื้อร้านมาเลย” หลินชิงเหอกล่าว

“พี่สะใภ้สี่คะ พี่ซื้อร้านเป็นของตัวเองหรือว่าเช่าคะ?” โจวเสี่ยวเหมยกระซิบถาม

หลินชิงเหอยิ้มยิงฟันพลางมองไปที่หล่อนและซูต้าหลิน “พี่จะบอกเธอไว้ แต่เธออย่าไปบอกเรื่องนี้กับใครนะ ร้านนั้นพี่ชายเธอกับพี่ใช้เงินทั้งหมดที่เรามีซื้อมันมาน่ะ”

“พี่ซื้อมันจริง ๆ หรือคะ?” โจวเสี่ยวเหมยอุทานออกมา

ซูต้าหลินไม่ได้แปลกใจนัก พวกเขาย้ายทะเบียนบ้านไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ต่อไปพวกเขาจะอาศัยอยู่ที่นั่น จึงจำเป็นที่จะซื้อร้านค้าที่นั่นไว้เพื่อจะได้ทำธุรกิจในอนาคต

“อือ” หลินชิงเหอพยักหน้า

“เท่าไหร่คะ?” โจวเสี่ยวเหมยอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา

“ประมาณ 3,000 หยวน” หลินชิงเหอตอบ

“แพงขนาดนั้นเลย?” โจวเสี่ยวเหมยตกตะลึง ในช่วง 2-3 ปีมานี้ หล่อนและซูต้าหลินรวบรวมเงินเก็บไว้ได้เพียงเล็กน้อย สำหรับครอบครัวที่เก็บเงินได้ประมาณ 3,000 หยวนนั้นถือว่าเป็นความสำเร็จที่ค่อนข้างมากแล้ว พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าร้านค้าที่เมืองหลวงจะราคาสูงมากถึงขนาดนี้

“ร้านค้าของเรามีสองชั้น ด้านบนชั้นสองสามารถใช้เป็นพื้นที่อยู่อาศัยได้ด้วย เธอสามารถเช่าร้านที่เล็กกว่านี้ก็ได้ ร้านขายซาลาเปาไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่ใหญ่มากเกินไปนัก เพราะคนซื้อสามารถเดินกินไปบนถนนได้” หลินชิงเหอกล่าว “แต่พี่ยังคิดว่าใหญ่หน่อยจะดีกว่า ถ้าไม่ใช่ร้านแบบที่มีสองส่วน ราคาจะลดลงไปอยู่ที่ 2,000 หยวน”

“งั้นเช่าไปก่อนแล้วกันค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยสั่นหัว

หลินชิงเหอไม่ได้ชักจูงพวกเขาต่อ เพราะในตอนที่ได้เห็นประโยชน์ พวกเขาจะเกิดความต้องการซื้อร้านไปเอง

“อ๋ออีกเรื่องหนึ่ง น้องสามของฉันจะซื้อร้านค้าในเมือง เธอมีอะไรแนะนำบ้างไหม?” หลินชิงเหอถาม

ทั้งคู่อาศัยอยู่ในเมือง ดังนั้นพวกเขาน่าจะคุ้นเคยดี

“น้องเขยจะเปิดร้านค้าในเมืองหรือคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถามอย่างแปลกใจ

“ใช่ เขาวางแผนไว้ว่าจะเปิดร้านในปีนี้” หลินชิงเหอพยักหน้า “ถ้าเธอไม่ได้จะไปอยู่ที่เมืองหลวง ฉันก็อยากจะแนะนำอย่างนั้นนะ”

“แต่ว่าเขาจะขายอะไรเหรอคะ?” โจวเสี่ยวเหมยอดพูดออกมาไม่ได้

“ก็พวกของในหมู่บ้านที่สามารถกินได้ ของพวกนี้ทำไมจะเอามาขายไม่ได้ละ?” หลินชิงเหอกล่าว

“ผม…ผมจะไปหา…คุณป้าของผมและถาม…ถามให้นะครับ” ซูต้าหลินเอ่ยปาก

จริง ๆ เขาเองก็รู้อะไรไม่มากนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คุณป้าของเขาจะต้องรู้แน่ ข้อมูลข่าวสารของนางค่อนข้างจะทันสมัยทีเดียว

“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนน้องเขยด้วยนะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

“พี่สะใภ้สี่ การเปิดร้านค้าตอนนี้มันดีขนาดนั้นเลยหรือคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม

“ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไงนะ ทั้งนี้ทั้งนั้นมันจะเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นที่นิยมมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้” หลินชิงเหอตอบกลับ

ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ร้านแผงลอยเป็นที่นิยมมาก ๆ หลังจากนั้นช่วงกลางของยุค 1980 การทำธุรกิจเป็นของตัวเองก็กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ซึ่งสามารถทำต่อเนื่องไปจนถึงช่วงทศวรรษ 1990 ได้ ในตอนนี้พวกเขาเปิดร้านค้าและดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยดี เมื่อถึงเวลานั้นร้านค้าของพวกเขาก็จะกลายเป็นที่ได้รับการยอมรับไปแล้ว แล้วธุรกิจจะแย่ได้หรือ?

เมื่อถึงเวลาประมาณ 11 โมงเช้า พี่สาวใหญ่ พี่เขยใหญ่ พี่สาวรองและพี่เขยรองก็มาถึง

พี่สาวใหญ่พาลูกสาววัย 17 ปีของหล่อนชื่อสวี่เชิ่งเหม่ยมาด้วย หล่อนมีหน้าตาที่น่ารักทีเดียว

ติดที่ว่าหล่อนดูเป็นคนขี้กลัว หล่อนไม่กล้ามองไปที่คนอื่นเวลาพูด สายตาของเธอมักจะมองไปรอบ ๆ และคอยหลบสายตา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แต่ทำไมเด็กสาวที่โตขนาดนี้แล้วถึงต้องกลัวกับการมาที่บ้านญาติตัวเองด้วย?

“เชิ่งเหม่ย มานี่สิจ๊ะ มาเอาขนมไปกิน” อย่างไรก็ดีนี่ไม่ใช่ลูกสาวของเธอ หลินชิงเหอแค่ต้อนรับหล่อนเท่านั้นไม่กล้าที่จะพูดอะไรมากเกินไป เธอส่งขนมหวานสองชิ้นไปหล่อนให้กิน

“ขอบคุณค่ะ คุณอา” สวี่เชิ่งเหม่ยพูดอย่างขัดเขิน

“ชิงเหอจ๊ะ พี่ได้ยินว่าร้านขายเกี๊ยวของชิงไป๋กำลังไปได้ดี เด็กสาวของครอบครัวพี่เป็นคนคล่องแคล่ว พี่กำลังคิดอยู่ว่าในเมื่อหล่อนไม่มีอะไรทำที่บ้าน ถ้าให้พาหล่อนไปช่วยเธอที่เมืองหลวงด้วยจะว่ายังไงจ๊ะ?” พี่สาวใหญ่พูดขึ้น “เธอไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้างให้หล่อน แค่ยอมให้เด็กคนนี้ไปช่วยงานที่นั่นก็พอ”

หลินชิงเหอเหลือบมองไปที่สวี่เชิ่งเหม่ย ใบหน้าของสวี่เชิ่งเหม่ยแดงขึ้นและไม่ได้พูดอธิบายอะไรออกมา

แต่เป็นเรื่องจริงที่ร้านของหลินชิงเหอมีตำแหน่งว่างอยู่หนึ่งตำแหน่ง ร้านเสื้อผ้าจะต้องมีคนคอยดูร้านสองคน มันไม่เพียงพอที่จะพึ่งพาคนเพียงคนเดียว

ตอนแรกหลินชิงเหอวางแผนไว้ว่าจะไปหาพนักงานสักคนที่เมืองหลวง ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นหลานสาวของเธอ ดังนั้นเธอจึงเต็มใจที่จะสนับสนุนหล่อนอยู่แล้ว

“เชิ่งเหม่ยค่อนข้างจะขี้อาย ฉันกังวลว่าหล่อนจะไม่สามารถบริการลูกค้าได้น่ะค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยยิ้ม ๆ

“ถ้าหล่อนต้อนรับลูกค้าไม่ได้ก็ไม่สำคัญหรอกจ้ะ แค่ให้หล่อนล้างจานเหมือนเอ้อร์นีก็ได้” พี่สาวใหญ่ตอบ

เห็นได้ชัดว่าหล่อนได้ยินเรื่องนี้มาจากพี่สะใภ้ใหญ่ที่บ้านตระกูลโจวแล้ว

พอพี่สะใภ้ใหญ่สังเกตเห็นว่าพี่สาวใหญ่พาสวี่เชิ่งเหม่ยมาด้วย หล่อนจะไม่รู้จุดประสงค์ของพี่สาวใหญ่ได้อย่างไร? หล่อนย่อมเอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นธรรมดา

หลินชิงเหอไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการขายเสื้อผ้า แม้พวกเขาคิดกันไปว่าจะได้ไปทำงานที่ร้านขายเกี๊ยวก็ตาม

ถึงกระนั้นหลินชิงเหอก็ไม่มีความจำเป็นต้องพูด เมื่อไปถึงเมืองหลวงแล้ว พวกเขาก็จะรู้เอง

“เชิ่งเหม่ยรู้หนังสือไหมคะ?” หลินชิงเหอถามต่อ

“ไม่…ไม่ค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยหน้าแดงยิ่งกว่าเดิมเล็กน้อย

ไม่ใช่แม่ทุกคนจะเป็นเหมือนพี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้สามที่เต็มใจจะให้ลูกสาวของพวกหล่อนได้ไปโรงเรียน

แน่นอนว่าภายใต้การพูดชี้นำที่เกินจริงของเธอ ทั้งน้องสามและน้องสะใภ้สามหลินก็เต็มใจให้ลูกสาวของพวกเขาได้เล่าเรียนด้วย แม้จะเป็นเวลาไม่กี่ปี อย่างน้อยก็ดีกว่าการไม่รู้หนังสือ

“ในเมื่อไม่รู้ อย่างนั้นเงินเดือนจะได้น้อยกว่าของเอ้อร์นีนะจ๊ะ อย่าแปลกใจล่ะ เอ้อร์นีเป็นเด็กรู้หนังสือ หล่อนต้องจดบันทึกใบเสร็จและคำนวณของต่าง ๆ ดังนั้นงานของหล่อนจะมากกว่าของเธอ” หลินชิงเหอบอกออกมาตรง ๆ

“หล่อนไม่ว่าอะไรหรอก เธอเต็มใจพาหล่อนไปที่นั่นด้วยก็ดีมากแล้ว ไม่มีค่าจ้างก็ไม่เป็นไร” พี่สาวใหญ่รีบพูดขัดขึ้นมา

หลินชิงเหอยิ้มและกล่าวว่า “ไม่มีค่าจ้างแล้วทำงานทำไมคะ? ยังไงฉันต้องให้เงินเดือนกับเชิ่งเหม่ยอยู่แล้ว แต่เชิ่งเหม่ยจ๊ะ หนูจะต้องกล้าแสดงออกให้มากกว่านี้นะ ตอนนี้หนูเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นคนสวยแล้วต้องใจกว้างกว่านี้ด้วย”

สวี่ชิ่งเหม่ยเม้มปาก หล่อนเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “คุณอา ฉัน…ฉันจะตั้งใจทำให้เต็มที่ค่ะ”

หลินชิงเหอพยักหน้าให้ “ถ้าเธอไม่เข้าใจตรงไหนก็มาถามฉันได้นะจ๊ะ”

จากนั้นพี่สาวรองก็เอ่ยปากด้วยความกระดากอายเล็กน้อยว่า “ชิงเหอจ๊ะ เธอต้องการเด็กผู้ชายช่วยงานที่นั่นด้วยไหม?”

เมื่อได้ยินอย่างนี้ หลินชิงเหอหัวเราะขึ้นและตอบว่า “ฉันต้องการค่ะ พี่วางแผนจะแนะนำใครให้ฉันหรือคะ พี่สาวรอง?”

หลินชิงเหอเต็มใจที่จะสนับสนุนและพาหลานชายหลานสาวของเธอไปที่นั่นตราบเท่าที่พวกเขาเป็นเด็กดี

เมื่อพวกเขาก้าวออกไป ตราบใดที่พวกเขาไม่เลือกเส้นทางที่คดโกง พวกเขาก็จะไม่เจอเรื่องแย่

“เธอคิดว่าหู่จือของฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่สาวรองไม่ได้คาดว่าเธอจะตกลง ดังนั้นหล่อนจึงรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว

พี่สาวรองไม่ได้วางแผนจะทำอย่างนี้มาก่อนและไม่รู้ว่ามีพนักงานอยู่ไม่เพียงพอ หล่อนรู้สึกว่าพวกเด็กผู้ชายนั้นชักช้างุ่มง่าม เขาจะทำอะไรได้?

ดังนั้นหล่อนจึงไม่ได้พาเขามาที่นี่ด้วย

อย่างไรก็ตามในตอนนี้หัวใจของหล่อนตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย

หู่จือที่หล่อนเอ่ยถึงเป็นลูกชายสามของหล่อน เขาอยู่อันดับสามของครอบครัว ลูกคนโตสุดเป็นลูกชาย คนที่สองเป็นลูกสาว และหู่จือคนนี้เป็นคนที่สาม ปีนี้เขาอายุ 17 ปี เกิดปีเดียวกันกับสวี่เชิ่งเหม่ย อ่อนเดือนกว่าสวี่เชิ่งเหม่ยเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset