บทที่ 321 มาทางไหนกลับไปทางนั้น

บทที่ 321 มาทางไหนกลับไปทางนั้น

บทที่ 321 มาทางไหนกลับไปทางนั้น

โจวลิ่วนีชะงักพร้อมกับทำหน้ามุ่ย “พี่ใหญ่ ไม่ใช่ว่าพอตอนนี้พี่ประสบความสำเร็จแล้วเลยไม่นับว่าหนูเป็นน้องสาวของพี่หรอกนะคะ? หนูอุตส่าห์มาตั้งไกล!”

“พวกเราขอให้เธอมาเหรอ?” โจวข่ายไม่ใช่คนที่จะถูกบีบคั้นได้ง่าย ๆ เขาเหลือบมองไปที่หล่อนและพูดว่า “เธอมาที่นี่เองหรือว่าลุงรองกับป้าสะใภ้รองรู้เรื่องด้วย?”

“ไม่รู้ค่ะ หนูมาที่นี่เอง” โจวลิ่วนีตอบ หล่อนน่าจะสัมผัสได้ว่าญาติผู้พี่ของเธอคนนี้ไม่ใช่คนที่คุยด้วยง่ายนัก ดังนั้นหล่อนจึงเอ่ยว่า “อาสี่กับอาสะใภ้สี่อยู่ที่ไหนคะ?”

“อยู่ที่ร้าน” โจวข่ายบอก “ฉันกำลังจะกลับแล้ว เธอรออยู่ที่นี่ก่อน”

เขาเอากล่องข้าวไปที่บ้านเฒ่าหวังและจากนั้นจึงมาพาโจวลิ่วนีไปที่ร้าน

“เมืองหลวงคึกคักมากเลยนะคะ อยู่ที่นี่ต้องมีชีวิตที่ดีมากเลย พี่ใหญ่คะ ต่อไปหนูอยู่ที่นี่ด้วยได้ไหม?” โจวลิ่วนีเอ่ยปากถาม

“ฉันไม่ได้เป็นคนตัดสินใจในเรื่องนี้” โจวข่ายกล่าว

หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรให้คุยกันมากนัก เขาพาหล่อนมาที่ร้านเกี๊ยว

หลินชิงเหอกลับไปพักผ่อนที่อะพาร์ตเมนต์ โจวชิงไป๋อยู่ที่ร้านเกี๊ยว ส่วนโจวเฉวี่ยนและโจวกุยหลายกลับไปทำการบ้านแล้วเช่นกัน

“ลิ่วนี?” โจวชิงไป๋มองไปที่โจวลิ่วนี “ทำไมหนูถึงมาอยู่ที่นี่?” เขามองไปทางด้านหลังของโจวลิ่วนีโดยคิดว่าจะมีคนอื่นตามมาด้วย

แต่ไม่มีใครเลย

“ลิ่วนีมาที่นี่ตามลำพังครับ” โจวข่ายบอก

เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้นแล้วคิ้วของโจวชิงไป๋ก็แทบจะชนกัน

โจวลิ่วนีส่งสายตาลอกแลก “อาสี่คะ หลายวันมานี้หนูไม่ค่อยได้กินอะไรมากนัก อาหาอะไรให้หนูกินหน่อยได้ไหมคะ?”

โจวชิงไป๋ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาไปทำเกี๊ยวมาให้หล่อนกินชามหนึ่ง

โจวลิ่วนีกินเกี๊ยวในชามเข้าไปอย่างหิวโหย

คุณป้าหม่าที่ล้างจานชามเสร็จแล้วตอนนี้ถามโจวข่ายขึ้นว่า “เสี่ยวข่าย มีอะไรหรือ?”

“ญาติผู้น้องของบ้านคุณลุงรองของผมครับ หล่อนหนีมาเมืองหลวงคนเดียวตามลำพังโดยที่ไม่ได้บอกคนในครอบครัวไว้เลยครับ” โจวข่ายเล่า

คุณป้าหม่าขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เด็กคนนี้ช่างใจกล้าเกินไปแล้ว ต้องเดินทางมาไกลขนาดนี้หนูขึ้นรถไฟมาตามลำพังหรือ? หนูไม่กลัวเลยหรือจ๊ะว่าจะไปผิดที่?”

“ไม่กลัวค่ะ หนูถามผู้หญิงคนที่ขายตั๋วบนสถานีรถไฟแล้วค่ะ” โจวลิ่วนีตอบนางด้วยสำเนียงจีนกลางอันอ่อนหัดของหล่อน

“ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเธอเป็นเด็กฉลาด” คุณป้าหม่าพูด

คิ้วของโจวชิงไป๋ยังคงขมวดกันเป็นปมอยู่ แต่เพราะเขาต้องไปต้อนรับลูกค้าคนอื่นจึงยังไม่มีเวลาได้ถามอะไรกับหลานสาวคนนี้

ดังนั้นเมื่อโจวลิ่วนีกินเสร็จ เขาจึงบอกลูกชายคนโตว่า “พาน้องไปหาม้าของลูกด้วย”

“ลิ่วนี ต้องกันไปแล้ว” โจวข่ายพูด

โจวลิ่วนีไม่อยากจะไปเจอคุณอาสะใภ้สี่คนนี้ของหล่อนเลย คุณอาสะใภ้สี่คนนี้เป็นคนมีฤทธิ์เดชที่หล่อนต้องคิดคำนวณให้ดี หล่อนอยากอยู่กับคุณอาสี่มากกว่า

“พี่ใหญ่ อีกสักพักหนูค่อยไปหาอาสะใภ้สี่นะคะ ให้หนูช่วยล้างจานก่อน” โจวลิ่วนีพูด

“ไม่จำเป็นหรอกจ้ะ ฉันมีหน้าที่ล้างจานและทำความสะอาดโต๊ะที่ร้านเกี๊ยวนี้” คุณป้าหม่าหัวเราะ

โจวลิ่วนีอุทานออกมาอย่างแปลกใจว่า “ทำไมคุณป้าเป็นคนทำล่ะคะ? แล้วพี่เอ้อร์นีกับพี่เชิ่งเหม่ยล่ะ?”

“พวกหล่อนอยู่ที่อีกร้านหนึ่ง เอาล่ะ ไปหาคุณอาสะใภ้สี่ของหนูได้แล้ว” คุณป้าหม่าโบกมือ

นางไม่อยากจะสนใจกับโจวลิ่วนี ตั้งแต่เด็กสาวเดินเข้ามาในร้าน สายตาของหล่อนมองสอดส่องไปรอบ ๆ ไม่หยุด มันไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงเลยที่จะพูดว่าหล่อนมีพฤติกรรมที่มีเลศนัยไม่น่าไว้ใจ

คุณป้าหม่าไม่ชอบเด็กสาวแบบนี้ เมื่อเทียบกับโจวเอ้อร์นีที่เรียบร้อย คล่องแคล่วและเข้ากับคนได้ง่ายแล้ว ตอนที่ได้เจอกันนางยังมีเรื่องที่อยากจะพูดคุยด้วยมากกว่า นางจึงไม่สนใจที่จะคุยกับเด็กประเภทนี้

หลังจากที่โจวข่ายพาโจวลิ่วนีออกไปแล้ว คุณป้าหม่าพูดกับโจวชิงไป๋ว่า “เด็กสาวคนนี้กล้ามากเกินไปแล้วถึงกับมาที่นี่ด้วยตัวเอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบไหว?”

ซึ่งสิ่งที่คุณป้าหม่ากล่าวออกมาคือสิ่งแรกที่หลินชิงเหอคิดเมื่อได้เห็นโจวลิ่วนี

หลินชิงเหอไม่ใช่โจวชิงไป๋ เธอแสดงท่าทีใจดีและอ่อนโยนออกมา เมื่อเห็นโจวลิ่วนีเธอก็ส่งยิ้มให้ “อาไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริง ๆ ว่าหนูจะมีความสามารถมากถึงขนาดนี้ อาไม่อนุญาตให้หนูมาด้วย หนูก็มาด้วยตัวเองได้”

แม้ว่าเธอกำลังยิ้มอยู่ แต่สายตาของเธอกลับเย็นชา

ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมา พี่รองกับพี่สะใภ้รองจะโทษใคร? เมื่อคนอื่นเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเขาเหล่านั้นจะกล่าวโทษใคร?

นี่คือที่เรียกว่า นั่งอยู่ที่บ้านเฉย ๆ หายนะยังมาเยือนจากสวรรค์!

“อาสะใภ้สี่คะ อย่าโกรธเลยนะคะ หนูรู้ว่าหนูผิด หนูแค่อยากจะมาช่วยน่ะค่ะ” โจวลิ่วนีทำตัวให้ดูน่าสงสาร

“หนูจะช่วยอะไรได้? นี่อาจะต้องพูดออกมาตรง ๆ เลยเหรอ? อาจะไม่รู้เลยหรือไงว่าหนูมีนิสัยอย่างไร?” หลินชิงเหอกล่าวออกมาอย่างเย็นชา

“อาสะใภ้สี่…”

หลินชิงเหอไม่ต้องการจะทนฟังหล่อนพูดอีกต่อไป และเอ่ยออกมาตรง ๆ ว่า “ไม่มีกระเป๋าสัมภาระมาด้วยใช่ไหม? ในเมื่อไม่มีกระเป๋าหนูก็กลับไปวันนี้ได้เลย เจ้าใหญ่ แม่จะไปที่มหาวิทยาลัยยื่นใบลาหยุดเรียนให้ลูกหนึ่งอาทิตย์ ลูกพาหล่อนกลับไปตอนนี้เลย และไปส่งหล่อนให้ถึงมือลุงรองของลูกด้วยตัวเอง บอกพวกเขาว่าให้คอยเฝ้าลูกสาวของตัวเองให้ดี ระหว่างนั้นก็เตือนป้าสะใภ้รองของลูกด้วย บอกหล่อนว่าให้ดูแลลูกสาวของหล่อนให้ดี ต่อไปในวันหน้าไม่ต้องมาหาม้ากับป๊าของลูกเกี่ยวกับเรื่องของเซี่ยเซี่ยอีก!”

โจวลิ่วนีน้ำตาไหลออกมา “อาสะใภ้สี่ อาต้องดูถูกหนูแบบนี้เลยหรือคะ? หนูไปทำอะไรให้อาไม่พอใจคะ? อาไม่ยอมให้หนูมา แต่พี่เอ้อร์นีกับคนอื่นกลับให้มาได้ หนูก็เป็นหลานสาวแท้ ๆ ทางสายเลือดของอาสี่นะคะ!”

“ไม่ต้องลำบากเสแสร้งหรอก ขนาดน้ำตาแม่แท้ๆ ของอาเองอายังไม่ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ หนูมาร้องไห้ต่อหน้าอาแล้วคิดว่ามันจะได้ผลเหรอ?” หลินชิงเหอพูดด้วยสีหน้าเยือกเย็น

ครั้งนี้เธอโกรธจัดจริง ๆ!

ผลพวงที่ตามมาจากความโกรธของเธอคือเธอจะกลายเป็นคนไร้ความรู้สึก ไม่ว่าใครจะเข้ามาพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ โจวลิ่วนีได้มาแตะขีดจำกัดความอดทนของเธอเข้าแล้ว

หล่อนแอบหนีออกจากบ้านเอง หล่อนต้องการจะทำอะไรกันแน่? คิดว่าเธอไม่กล้าไล่หล่อนกลับไปอย่างนั้นหรือ? แถมยังไปตามหาเธอถึงที่มหาวิทยาลัยด้วย นี่คือพยายามจะผูกมัดเธอไว้กับหลักจริยธรรมอย่างนั้นหรือ?

หลินชิงเหอไม่ใช่คนใจอ่อน เธอแค่ให้โจวข่ายไปส่งโจวลิ่วนีกลับไปในวันเดียวกัน

โจวลิ่วนีร้องไห้ขึ้นรถไฟกลับไป

สวี่เชิ่งเหม่ยกับหู่จือถึงกับตกตะลึงเมื่อพวกเขาได้ฟังเรื่องนี้ พวกเขาไม่ยังทันได้เจอลิ่วนีเลยและหล่อนก็กลับไปทางเดียวกับที่หล่อนมา

“ลิ่วนีก๋ากั่นเกินไปจริง ๆ ถึงกับกล้าแล่นมาไกลถึงที่นี่และยังเสี่ยงทำเรื่องให้อาสี่กับอาสะใภ้สี่ไม่พอใจอีก!” เมื่อโจวเอ้อร์นีได้ฟัง หล่อนก็รู้สึกโมโหมากเช่นกัน

“อารองของเธออาจจะไม่รู้เรื่องด้วย แต่เรื่องที่ว่าอาสะใภ้รองของเธอจะรู้ด้วยหรือไม่ยังเป็นเรื่องที่ต้องคุยกัน ค่าเดินทางมาไม่ใช่ถูก ๆ” หลินชิงเหอพูดอย่างเฉยเมย

“น้าสะใภ้คะ ส่งลิ่วนีกลับไปอย่างนั้นจะดูไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่าคะ?” สวี่เชิ่งเหม่ยพูดเสียงเบา

“บางทีหนูอาจจะคิดว่าน้าสะใภ้สี่คนนี้เป็นคนใจร้ายที่ส่งหล่อนกลับไปทันทีที่หล่อนมาถึงโดยไม่ยอมให้หล่อนได้พักค้างคืนก่อน แต่นี่เป็นนิสัยของน้า ถึงแม้ว่าจะเป็นคุณตากับคุณยายของเธอจะมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าน้า น้าก็ยังจะตอบออกไปตรง ๆ แบบนี้” หลินชิงเหอกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“เธอไม่ได้โตมากับลิ่วนี เธอไม่เข้าใจหรอกว่าลิ่วนีเป็นคนอย่างไร หล่อนไม่เคยหยุดก่อเรื่อง แทนที่หล่อนจะมาช่วย หล่อนจะมาสร้างปัญหาให้มากกว่า” โจวเอ้อร์นีอธิบายให้หู่จือและสวี่เชิ่งเหม่ยฟัง

ญาติผู้น้องสองคนนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าโจวลิ่วนีญาติของพวกเขาเป็นคนนิสัยอย่างไร? มีแต่หล่อนที่โตมากับโจวลิ่วนี

หล่อนเห็นด้วยกับวิธีการของคุณอาสะใภ้สี่ ถ้าคุณอาสะใภ้ไม่ให้บทเรียนที่ต้องจดจำไปอีกนานกับหล่อนในครั้งนี้แล้ว ในอนาคตจะต้องมีปัญหาเกิดขึ้นอีกแน่

………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

สะใจมากค่ะแม่ /ตบเข่าฉาด/ มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยจ้ะหนู คิดว่าแม่จะหลอกง่ายเหมือนแม่ตัวเองสินะ ยังเร็วไปร้อยปีค่ะลิ่วนี

อ่านแล้วก็น่าโมโห สะใภ้รองต้องมีเอี่ยวกับเรื่องนี้แน่ ๆ ค่ะ รอดูตอนต่อไปนะคะ กำลังหมั่นไส้เลย /หักข้อนิ้วกรอบแกรบ/

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset