บทที่ 337 ช่างพูด

บทที่ 337 ช่างพูด

บทที่ 337 ช่างพูด

อาหารกล่องบนรถไฟมี 3 แบบ

มีแบบธรรมดา แบบที่มีไข่ลวก และแบบพิเศษที่มีน่องไก่

แต่ละแบบจะมีราคาต่างกัน

หลินชิงเหอเลือกแบบพิเศษให้กับทุกคน แต่สำหรับของตัวเองเธอเลือกแบบที่มีไข่ลวกซึ่งก็กินไปได้แค่ไม่กี่คำเท่านั้น แม้แต่ไข่ลวกเธอก็ยกให้โจวชิงไป๋กิน ในมิติของเธอก็ยังมีไข่ต้มอยู่ เธอสามารถกินของจากในนั้นได้

“พี่สะใภ้สี่ทำไมกินน้อยจังเลยคะ?” โจวเสี่ยวเหมยนั้นเจริญอาหารมาก หล่อนไม่เคยกินอาหารกล่องบนรถไฟมาก่อนและรู้สึกว่ามันอร่อยดีจึงกินเรียบหมดทุกอย่าง

“พี่ไม่ค่อยอยากอาหารน่ะจ้ะ” หลินชิงเหอตอบ

“เธอต้องกินให้มากกว่านี้จะได้รองท้องเอาไว้จนถึงเมืองหลวง” เนื่องจากอาหารบนรถไฟนั้นสดใหม่และอร่อยจึงถูกใจท่านแม่โจวมาก

นางเมารถมาตลอดทางที่นั่งอยู่บนรถโดยสาร แต่ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันชินแล้ว” หลินชิงเหอพูด

“พี่สะใภ้สี่ พอไปถึงเมืองหลวงแล้วเราจะจ่ายเงินให้นะคะ”

“เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังเถอะ” หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไรต่อ

หลังจากกินเสร็จ เธอก็หยิบแอปเปิล 2-3 ผลออกมาจากกระเป๋า และแบ่งให้ทุกคนคนละครึ่งผล

“พี่สะใภ้สี่คะ พี่ซื้อแอปเปิลพวกนี้มาตอนไหนคะ?” โจวเสี่ยวเหมยสงสัย

“รถไฟแวะจอดตอนเธอยังหลับอยู่ พี่เห็นมีคนแก่มาขายอยู่ด้านนอกก็เลยวิ่งออกไปซื้อมาน่ะ” หลินชิงเหอบอก

เมื่อบอกไปอย่างนั้นแล้วเธอจึงหยิบแอปเปิลออกมาจากกระเป๋าอีก 5-6 ผล รวมทั้งมะเขือเทศและแตงกวาด้วย ส่วนแตงโมและมะม่วงเธอเก็บไว้ไม่ได้เอาออกมา

“ถ้าเธออยากจะกินก็เอาไปกินได้เลยนะ หลังจากการเดินทางครั้งนี้ เธอก็จะมีประสบการณ์แล้วล่ะ ระหว่างเดินทางควรจะกินของพวกนี้ดีกว่า ยิ่งเป็นของที่รสไม่จัดมากก็จะยิ่งดี” หลินชิงเหอแนะนำ

“อืม” โจวเสี่ยวเหมยพยักหน้า หล่อนหยิบแตงกวาไปแล้วแบ่งครึ่งหนึ่งไปให้ท่านแม่โจว

“ให้ต้าหลินเถอะ แม่กินไม่ไหวแล้ว” ท่านแม่โจวโบกมือ อาหารกลางวันไม่ได้กล่องเล็ก ๆ เลย จึงเป็นธรรมดาที่คนสูงอายุจะรู้สึกอิ่มมาก

แต่มันก็อร่อยมากจริง ๆ

“คุณพ่อกินไหมครับ?” ซูต้าหลินถามท่านพ่อโจว

“ฉันเอามะเขือเทศ” ท่านพ่อโจวหยิบมะเขือเทศไปกิน

โจวชิงไป๋ก็กินมะเขือเทศเป็นของว่างหลังอาหารด้วยเหมือนกัน

อาหารมื้อถัดไปก็ยังคงเป็นอาหารกล่องซึ่งถึงแม้รสชาติของมันจะอร่อย แต่หลังจากที่ต้องกินมันถึง 3 มื้อต่อวัน พวกเขาก็ไม่รู้สึกว่ามันมีอะไรพิเศษที่ตรงไหนอีกแล้ว

ฉะนั้นเมื่อทั้งครอบครัวได้ลงจากรถไฟที่เมืองหลวงแล้วจึงเป็นความโล่งใจอย่างแท้จริง

หลังจากมาถึงสถานีรถไฟที่ปักกิ่ง พวกเขาก็ออกมาขึ้นรถ

ต้องเปลี่ยนรถประจำทางอีก 2-3 ต่อเพื่อไปที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง

ไม่ว่าจะเป็นที่ร้านค้าหรือที่บ้านก็อยู่ในละแวกเดียวกันหมด

หลังจากที่ต่อรถมาตลอดทาง พวกเขาก็ไม่ได้มุ่งหน้าไปที่ร้านเกี๊ยวเนื่องจากมันไม่ได้เป็นทางผ่าน แต่ตรงไปที่บ้านกันก่อนเพื่อเก็บกระเป๋าสัมภาระ

ในที่สุดก็ถึงเวลาได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาจริง ๆ เสียที พวกเขาถึงบ้านแล้ว!

“พี่สี่กับพี่สะใภ้สี่เช่าบ้านไว้หลังใหญ่จริง ๆ นี่…เดือนละเท่าไหร่คะ?” โจวเสี่ยวเหมยมองไปรอบ ๆ บ้านด้วยสายตาเป็นประกาย

มันเป็นอย่างที่พี่สะใภ้สี่บอกเอาไว้เลย มีห้องอยู่หลายห้อง ที่สำคัญคือมีสวนอยู่ทั้งทางด้านหน้าและด้านหลังของบ้าน ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว

“แต่แรกบ้านนี้ก็ตั้งใจเช่าเอาไว้ให้คุณพ่อกับคุณแม่อยู่แล้ว เรื่องของเธอเป็นแค่เรื่องรองลงมา ต่อไปเธอก็ไปจ่ายค่าเช่าร้านกันเอง ไม่ต้องมากังวลเกี่ยวกับบ้านหลังนี้หรอกจ้ะ” หลินชิงเหอกล่าว

“ทำ…ทำอย่างนี้…ไม่ได้นะครับ” ซูต้าหลินสั่นหน้า

“เงินแค่ไม่กี่หยวนเองค่ะ น้องเขยไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับพี่ก็ได้นะคะ” หลินชิงเหอบอกยิ้ม ๆ “ถึงพวกเธอจะไม่ได้มาอยู่ที่นี่ เราก็ต้องเช่าบ้านหลังนี้ให้คุณพ่อคุณแม่และก็ต้องจ่ายค่าเช่าในราคาเท่านี้อยู่แล้ว”

หลังจากพูดจบเธอก็หันไปหาท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจว “คุณพ่อคุณแม่ลองเดินดูรอบ ๆ สิคะว่าชอบไหม? จะปลูกพวกแตง ผักหรือจะเลี้ยงไก่ไว้ในสวนก็ได้นะคะ กว่าจะหาบ้านที่ดีอย่างนี้ได้ใช้เวลาอยู่นานเลยละค่ะ”

ถึงอย่างไรเงิน 7,000 หยวนก็ไม่ได้สูญเปล่า

“ดีมาก ๆ” ท่านพ่อโจวพูดพร้อมกับผงกศีรษะ

“สวนของที่นี่ดีมากเลย น่ากลัวว่าค่าเช่าคงจะต้องแพงมากเลยใช่ไหม?” ท่านแม่โจวถาม

“อยู่ให้สบายเถอะนะคะ ปล่อยชิงไป๋กับฉันเป็นคนต้องกังวลในเรื่องนี้แทนแล้วกันค่ะ” หลินชิงเหอกล่าว “เดี๋ยวจัดของกันไปก่อนนะคะ ใกล้ได้เวลาที่ร้านเสื้อผ้าจะปิดร้านแล้ว ฉันจะให้หู่จือ เอ้อร์นีและคนอื่นไปซื้อของมาให้ วันนี้เราจะยังไม่ทำอาหารกันที่นี่แต่จะไปกินข้าวกันที่ร้านเกี๊ยวแทน”

ทางบ้านนี้ก็ปล่อยให้ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวและคนที่เหลือทำความคุ้นเคยกันไปก่อน ส่วนหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋พาซูต้าหลินไปที่ร้านซาลาเปา

เมื่อพวกเขามาถึงสี่แยก เธอก็ส่งกุญแจให้โจวชิงไป๋แล้วบอกให้เขาเป็นคนพาซูต้าหลินไปที่นั่น ส่วนเธอมาที่ร้านเกี๊ยว

เฒ่าหวัง คุณป้าหม่า โจวเฉวี่ยนและโจวกุยหลายต่างก็อยู่กันที่ร้านเกี๊ยว

“ม้า กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” โจวกุยหลายกำลังคุยเล่นอยู่กับคุณป้าหม่าตอนที่เธอมาถึง ดวงตาของเขาเป็นประกายอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าแม่ของเขากลับมาแล้ว

“เพิ่งกลับมาถึงน่ะจ้ะ” หลินชิงเหอตอบกลับอย่างยิ้มแย้ม “คุณปู่หวังคะ วันนี้มากินข้าวเย็นที่นี่ด้วยกันนะคะ คุณพ่อคุณแม่กับครอบครัวของน้องสามีฉันมาอยู่ที่นี่แล้ว คืนนี้พวกเราเลยจะมากินข้าวเย็นกันที่นี่น่ะค่ะ”

“ตกลง” เฒ่าหวังพยักหน้ารับคำ

“เจ้ารอง ไปบอกพี่เอ้อร์นีกับคนอื่นว่าวันนี้ให้ปิดร้านกันได้เลย แล้วให้พวกเขาเอาเงินไปซื้อของ ให้ซื้อไก่เป็น ๆ มาด้วย แล้วก็ไปร้านอาหารซื้อไก่ย่างกับเป็ดย่างมาด้วย” หลินชิงเหอสั่งการ

“ได้เลยครับ” โจวเฉวี่ยนไปที่ร้านเสื้อผ้าเพื่อบอกพวกเขา ขณะที่อยู่ที่นั่นเขาก็ตรวจบัญชีของร้านเสื้อผ้าวันนี้

เขาเป็นคนจัดการเรื่องนี้ทั้งหมด

เรื่องไปซื้อของถูกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสองสาว ส่วนหู่จือมาที่ร้านเกี๊ยวก่อน

“คุณตาคุณยายมาที่บ้านคุณน้าสะใภ้แล้วเหรอครับ?” หู่จือถาม

“อืม เธอจะไปหาพวกท่านก่อนก็ได้นะจ้ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

หู่จือเคยไปช่วยทำความสะอาดเก็บกวาดลานบ้านมาก่อนจึงรู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน เด็กหนุ่มผู้มีพลังเหลือเฟือจึงมุ่งหน้าไปที่นั่นด้วยตัวเอง

ปีนี้หู่จือตัวสูงขึ้นและยังแข็งแรงขึ้นอีกด้วย

เมื่อมาถึงที่บ้าน พอท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวได้เห็นเขามาก็ดีใจกันมาก

“ตั้งแต่มาทำงานกับน้าสะใภ้ที่นี่แล้วเป็นยังไงบ้าง?” ท่านแม่โจวถามขึ้นอย่างร่าเริง

“คุณยายไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมสบายดี ดูสิครับว่าปีนี้ผมสูงขึ้นอีกตั้งเยอะแล้วผมก็แข็งแรงขึ้นด้วยครับ” หู่จือยิ้ม

“ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว” ท่านแม่โจวเอ่ยขึ้นอย่างมีความสุข

“คุณน้าสะใภ้บอกว่าให้พวกคุณยายพักผ่อนกันอยู่ที่นี่ก่อนครับ พี่เอ้อร์นีกับคนอื่นกำลังไปซื้อไก่มาให้ คืนนี้คุณน้าสะใภ้จะทำอาหารให้เอง ตอนนี้เริ่มทำไปแล้วละครับ อีกเดี๋ยวพวกเราค่อยตามไปที่นั่นกัน”

“พี่สะใภ้สี่เองก็เหนื่อยมากเหมือนกันตอนที่เดินทางมาถึง จะปล่อยให้เป็นคนทำอาหารเย็นอยู่คนเดียวได้ยังไงกันคะ? หนูจะไปช่วย” โจวเสี่ยวเหมยพูดขึ้นในทันที

“ไม่ต้องหรอก เธอพักไปก่อนเถอะ ฉันจะกลับไปช่วยเอง” โจวชิงไป๋ที่กลับมาจากร้านพร้อมกับซูต้าหลินบอก

โจวชิงไป๋ตรงกลับไปที่ร้านเกี๊ยว หลินชิงเหอกำลังต้มน้ำเตรียมตัวถอนขนไก่ เมื่อโจวชิงไป๋มาถึงจึงเป็นคนทำหน้าที่นี้แทน “ไปพักก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมทำเอง”

“ที่รักครับ ไปพักเถอะครับ เดี๋ยวผมทำเอง” เจ้าเด็กตัวแสบโจวกุยหลายแกล้งพูดเลียนแบบพ่อของเขา

“จากที่ม้าเห็น ไม่โดนไม้เรียวสามวันลูกก็ปีนขึ้นไปอยู่บนหลังคาแล้ว(1)!” หลินชิงเหอเอ็ดออกมาอย่างขำ ๆ

โจวกุยหลายฉีกยิ้ม “ป๊าของผมรักม้ามากจริง ๆ นะครับ ม้า”

“อย่าพูดมาก ไปหยิบอาหารมา” หลินชิงเหอโบกมือไล่

…………………………………………………………………………………………….

(1) หมายถึงทำตัวก่อกวนหรือซุกซน

สารจากผู้แปล

ครอบครัวใหญ่ได้มาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วมันต้องฉลอง!

เจ้าสามเดี๋ยวนี้กวนนะคะ ระวังแม่เล่นงานกลับไม่รู้ด้วย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset