บทที่ 338 สมบูรณ์แบบในทุกด้าน

บทที่ 338 สมบูรณ์แบบในทุกด้าน

บทที่ 338 สมบูรณ์แบบในทุกด้าน

โจวหยางและโจวอู่นียังไม่กลับมาจนกระทั่งเลยเวลา 19.00 นาฬิกาไปแล้ว ซึ่งทั้งคู่ไปที่เทียนเหมินกันมา

เมื่อกลับมาพวกเขาถึงได้รู้ว่าคุณปู่คุณย่าและครอบครัวของคุณอามาถึงที่นี่กันแล้ว

“คุณปู่คุณย่าโชคดีกันจังเลยค่ะ ต่อไปนี้จะได้มาอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว” โจวอู่นีพูดอย่างอิจฉา

ตั้งแต่หล่อนกับโจวหยางมาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยรู้สึกเบื่อที่จะไปเทียนเหมินที่เคยอ่านเจอในหนังสือเลย ทุกวันพวกเขาจะเอาหนังสือไปอ่านกันที่จตุรัสเทียนเหมินเพื่อท่องจำตำรา

ผลการเรียนของทั้งคู่ไม่ค่อยดีมากนักแต่ก็ไม่ได้แย่เช่นกัน เมื่อได้โจวเฉวี่ยนที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นคนช่วยติวหนังสือให้ มันก็ช่วยให้พวกเขาเรียนง่ายขึ้น

เนื่องจากทั้งคู่ลงเรียนทางด้านศิลปศาสตร์ จึงเป็นเรื่องปกติที่จำเป็นต้องท่องจำให้ได้มาก ๆ

พวกเขาได้รับความรู้ในจุดที่สำคัญ ๆ มามากมาย ซึ่งโดยพื้นฐานก็สามารถจดจำได้ทั้งหมดแล้ว

ท่านแม่โจวดีใจมากเมื่อได้เจอหลาน ๆ และกล่าวว่า “ตอนที่พวกเราออกเดินทางมา พ่อกับแม่ของหลานบอกมาว่าให้พวกหลานตั้งใจเรียนให้มาก ๆ ถ้าต่อไปได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว บางทีอาจจะได้รับมอบหมายให้มาทำงานที่ปักกิ่งก็ได้นะจ๊ะ?”

เรื่องนี้นับว่ามีโอกาสน้อยมาก โจวอู่นีกับโจวหยางจึงไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนัก

ตอนที่ทั้งสองคนกลับมาถึงนั้นอาหารเย็นใกล้จะเสร็จแล้ว จากนั้นทั้งครอบครัวจึงเริ่มกินอาหารเย็นร่วมกัน

อาหารมื้อนี้จบลงตอนเวลาประมาณ 20.00 นาฬิกา

“เสี่ยวเหมย เธอเอาเสื้อผ้าของเธอกับของคุณแม่มาด้วยหรือเปล่า?” หลินชิงเหอเอ่ย

“เอามาค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยพยักหน้า

หลินชิงเหอจึงพาโจวเสี่ยวเหมยและท่านแม่โจวไปที่โรงอาบน้ำ

ส่วนพวกผู้ชาย ซูต้าหลินกับท่านพ่อโจวก็ตามโจวชิงไป๋ไปที่โรงอาบน้ำของผู้ชาย

ตอนนี้มันกลายเป็นกิจวัตรไปแล้วว่าทุกครั้งหลังจากที่กลับมาจากการเดินทาง พวกเขาจะต้องไปที่โรงอาบน้ำเพื่ออาบน้ำและขัดหลัง ถ้าไม่ทำแบบนี้พวกเขาก็จะรู้สึกไม่สบายตัว

โรงอาบน้ำปิดเวลา 21.00 น. ดังนั้นจึงมีเวลาไม่มากนักแต่ก็ดีกว่าไม่ได้มาอาบเลย หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วก็รู้สึกสดชื่นสบายไปทั้งตัว

เมื่อไปส่งคุณพ่อกับคุณแม่และครอบครัวซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมยกลับแล้ว หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็พากันกลับบ้าน

ทั้งสองคนที่วิ่งวุ่นกันมาตลอดการเดินทางจึงรู้สึกเหนื่อยล้ามาก

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ทั้งคู่ก็ไม่สนใจลูก ๆ แต่ตรงกลับเข้าห้องไปนอนพักผ่อนกันทันที

โจวเฉวี่ยนและโจวกุยหลายมีหน้าที่ไปเปิดร้านในตอนเช้า เมื่อถึงเวลาโจวเฉวี่ยนก็จะไปเรียนและให้โจวกุยหลายเป็นคนดูแลร้าน

โจวเฉวี่ยนไปเรียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งเปิดภาคเรียนเร็ว

แต่โจวหยางและโจวอู่นีก็ช่วยพวกเขาได้ไม่น้อยเลย

หลินชิงเหอนอนหลับไปจนถึง 9 โมงเช้า ตอนที่เธอตื่นขึ้นมา โจวชิงไป๋ไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้ว เธอเป็นคนเดียวที่ยังนอนหลับอยู่

เธอไปแปรงฟันก่อน เสร็จแล้วจึงไปล้างแอปเปิลเพื่อจะเอามากิน ในตอนนั้นเองที่โจวชิงไป๋เปิดประตูเดินกลับเข้ามา

“กินอาหารเช้าครับ” โจวชิงไป๋ส่งเกี๊ยวที่เขาเอามาให้

“ถ้าฉันหิวก็ยังมีอาหารอยู่ในมิติ แต่ฉันไม่รู้สึกอยากอาหารเลยค่ะ” หลินชิงเหอกล่าวและยังคงแทะแอปเปิลต่อ

โจวชิงไป๋จึงบอก “กินเสร็จแล้วคุณก็ไปนอนต่อนะครับ”

หลินชิงเหอกินแอปเปิลหมดก็กินเกี๊ยวไปอีก 2-3 ชิ้นแล้วกินต่อไม่ไหว โจวชิงไป๋จึงกินส่วนที่เหลือต่อจนหมดแทน

“คุณไปไหนมาคะ?” หลินชิงเหอถาม “ทำไมไม่นอนให้มากกว่านี้?”

“พาต้าหลินไปเดินสำรวจดูรอบ ๆ มาน่ะครับ” โจวชิงไป๋ตอบ

ซูต้าหลินรู้สึกวิตกในการเริ่มต้นธุรกิจ และแม้ว่าเขาจะเพิ่งเดินทางมาถึงก็ตาม แต่การเริ่มต้นอาชีพใหม่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้ ดังนั้นโจวชิงไป๋จึงตื่นแต่เช้าเพื่อพาซูต้าหลินและท่านพ่อโจว ซึ่งตื่นขึ้นตั้งแต่เช้าเช่นกันไปเดินเล่นที่ตลาด

พวกเขาไปซื้ออุปกรณ์พวกหม้อและซึ้งนึ่งใบใหญ่สำหรับทำธุรกิจ

ส่วนที่เหลือเป็นความรับผิดชอบของซูต้าหลินเอง ท่านพ่อโจวก็อยู่ที่นั่นด้วยเพื่อคอยช่วยเขา โจวชิงไป๋จึงกลับออกมาก่อนคนเดียว

หลินชิงเหอเอนตัวพิงอย่างเกียจคร้านลงในอ้อมแขนของโจวชิงไป๋และเอ่ยว่า “ต่อไปในอนาคตทางนี้จะคึกคักมากทีเดียวนะคะ”

“อือ” โจวชิงไป๋ลูบผมของภรรยา

“ไปกันเถอะค่ะ ได้เวลาไปส่งพัดลมกับทีวีให้แล้ว” หลินชิงเหอพูด

ทั้งคู่ออกมาจ้างรถสามล้อสำหรับขนของไป พวกเขาย้ายพัดลมและทีวีออกมาจากมิติเพื่อเอาไปไว้ที่บ้าน

“นี่…นี่คือทีวีเหรอ?” โจวเสี่ยวเหมยรู้สึกประหลาดใจ

“ทีวี?” ท่านแม่โจวก็ตกตะลึงด้วยเช่นกัน

“ค่ะ ชิงไป๋กับฉันซื้อมันมาจากทางใต้และให้คนส่งมาให้ที่นี่ พัดลมนี้ก็สำหรับให้คุณแม่ไว้ใช้เหมือนกันค่ะ” หลินชิงเหอพูด

โจวชิงไป๋เดินเข้าไปข้างในเพื่อติดตั้งทีวีให้ ซึ่งซูเฉิง ซูสวิ่นและน้องสาวทั้ง 2 คน ซูหย่ากับซูเถียนต่างพากันมามุงดู

หลินชิงเหอเสียบปลั๊กพัดลม จากนั้นใบพัดก็เริ่มหมุน

“อุ๊ยตายแล้ว” ท่านแม่โจวรู้สึกประหลาดใจมาก “นี่คือพัดลมหรือ? มันเย็นจริง ๆ ด้วย”

“ใช่ค่ะ เสี่ยวเหมย เธอซื้อไว้สักเครื่องก็ได้นะ กลางคืนจะได้หลับสบายยิ่งขึ้น” หลินชิงเหอบอกกับโจวเสี่ยวเหมย

“ลืมไปได้เลยค่ะ รอให้ต้าหลินทำอะไรให้มั่นคงก่อน” โจวเสี่ยวเหมยเองก็อยากได้ไว้สักตัวแต่พัดลมมีราคาสูง

ธุรกิจยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเลย โจวเสี่ยวเหมยยังไม่กล้าใช้เงินหรอก

“ทีวีกับพัดลมนี่ต้องใช้เงินไปทั้งหมดเท่าไหร่น่ะ?” ท่านแม่โจวมีสีหน้าทุกข์ใจ

“ร้านเสื้อผ้าของฉันกำลังไปได้ดีเลยค่ะ ที่สำคัญในเมื่อคุณพ่อคุณแม่มาอยู่ที่นี่ฉันก็ควรจะแสดงความกตัญญูให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็น” หลินชิงเหอกล่าวกับนาง

ท่านแม่โจวได้รู้เรื่องที่เธอเปิดร้านเสื้อผ้าแล้วตั้งแต่เมื่อครั้งที่โจวลิ่วนีกลับไปและได้เล่าให้ฟัง

ตามคำที่โจวลิ่วนีได้พูดออกมาคือ ‘อาสะใภ้สี่เปิดร้านขายเสื้อผ้าด้วยค่ะ ธุรกิจไปได้ดีมาก ๆ เลย พี่เอ้อร์นีกับคนอื่นไปทำงานอยู่ที่ร้านเสื้อผ้า ไม่ได้ทำที่ร้านเกี๊ยวกันหรอกนะคะ ที่ร้านเกี๊ยวก็จ้างคนอื่นไว้อีกคน อาสะใภ้สี่จ้างคนข้างนอกแทนที่จะจ้างหนู อย่างนี้ไม่ใช่ว่าดูถูกครอบครัวสาขารองของเราหรือคะ!’

ในเวลานั้นท่านแม่โจวคว้าไม้กวาดมาไล่ตีหล่อนออกไป จากนั้นนางก็ตรงไปอาละวาดใส่สะใภ้รอง “เลี้ยงลูกสาวมาจนเป็นแบบนี้ได้เธอนี่ช่างมีความสามารถเสียจริง หล่อนถึงกับกล้ามาหาฉันเพื่อสร้างความร้าวฉาน ถ้าต่อไปยังมีนิสัยแบบนี้อีก จะต้องมีวันที่เธอได้อับอายขายขี้หน้าเขาแน่!”

ขนาดหล่อนอายุขนาดนี้แล้วยังจะถูกแม่สามีด่าทอให้ต้องอับอายอีก

แต่หล่อนก็ไม่คิดว่าลูกสาวของหล่อนเป็นฝ่ายผิดอยู่ดี หล่อนจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าโจวเอ้อร์นีและคนอื่นอยู่ที่ร้านเกี๊ยวเพราะเท่ากับว่ามีคนทำงานที่นั่นมากพอแล้ว

แต่พวกเขาไม่ได้ทำงานอยู่ที่ร้านเกี๊ยวเลย ทุกคนไปทำงานที่ร้านเสื้อผ้ากันและร้านเกี๊ยวก็จ้างแม่เฒ่าคนหนึ่งมาล้างจานให้ที่ร้าน

เธอไม่ยอมให้ลูกสาวหล่อนเป็นคนทำงานนี้ แต่กลับยอมที่จะจ้างคนข้างนอกให้มาทำแทน ถ้าอย่างนั้นลูกสาวหล่อนพูดผิดที่ตรงไหนกัน?

นี่ยังไม่ใช่การดูถูกครอบครัวสาขารองอีกหรือ?

โจวเสี่ยวเหมยที่เพิ่งมารู้เรื่องหลังจากที่มาถึงที่นี่แล้วยังอดที่จะเอ่ยปากออกมาไม่ได้ว่า “พี่สะใภ้สี่ปิดบังเรื่องนี้ได้ดีเกินไปแล้วนะคะ”

“ร้านเพิ่งจะเปิดปีนี้เอง พี่ไม่ได้จะปิดบังอะไรเลย” หลินชิงเหอหัวเราะ

“ธุรกิจนี่ทำดีมากจริง ๆ เหรอจ๊ะ?” ท่านแม่โจวถามย้ำอีกครั้ง

“ก็ดีอยู่นะคะ” หลินชิงเหอตอบ

“ไม่รู้ว่าพี่สี่ของฉันทำบุญมาด้วยอะไร เขาถึงสามารถแต่งงานกับผู้หญิงอย่างพี่ได้ ไม่มีเรื่องอะไรเลยที่พี่สะใภ้จะไม่รู้” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ยขึ้นอย่างนับถือ

หลินชิงเหอพูดยิ้ม ๆ “เดี๋ยวฉันจะแวะไปดูที่ร้านสักหน่อย เธอก็อยู่ทำธุระของเธอไปแล้วกันนะ”

เมื่อเธอเดินออกไปที่ร้านแล้ว โจวเสี่ยวเหมยก็พูดขึ้นว่า “ชีวิตแบบพี่สะใภ้สี่เป็นสิ่งที่หนูใฝ่ฝันถึงเลยค่ะ”

ท่านแม่โจวกล่าวว่า “พี่สะใภ้สี่ของแกเป็นคนสมบูรณ์แบบในทุก ๆ ด้านจริงๆ แค่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายมากเกินไปเท่านั้น”

โจวเสี่ยวเหมยถึงกับกลอกตา “แม่ ไม่เอาน่า อย่ามาทำเป็นไม่พอใจเลยค่ะในเมื่อแม่ได้ในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว”

……………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ชีวิตของสองผู้เฒ่ากำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วค่ะ ส่วนคนที่ยังไม่หลุดพ้นจากโคลนตมก็อยู่อย่างจน ๆ ในบ้านหลังเก่าไปแล้วกันนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset