บทที่ 340 อับอาย
เมื่อเห็นแม่เฒ่าสวีเป็นแบบนี้ หลินชิงเหอก็ฉีกยิ้มออกมา “คุณป้าเป็นผู้จัดการ ฉันจะให้เงินเดือนคุณป้า 35 หยวน ส่วนคนอื่นจะได้ 30 หยวนต่อเดือน เงินเดือนที่ให้ไม่ได้สูงมากนัก แต่ฉันก็หวังว่าพวกลูกจ้างจะทำงานให้คุ้มค่ากับเงินเดือนที่ได้รับ ถ้าพวกเขาทำงานกันได้ดีในอนาคตฉันจะขึ้นเงินเดือนให้อย่างแน่นอนค่ะ ไม่ได้ให้เท่านี้ไปตลอด”
“ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะจ๊ะ เงินเดือนเท่านี้ไม่ได้น้อย ๆ อาจารย์ไม่ได้ปฏิบัติต่อคนอื่นแย่หรอกจ้ะ” แม่เฒ่าสวีบอก
ในยุคนี้ค่าแรงยังไม่สูงมากนักแม้จะเป็นในเมืองหลวงก็ตาม ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนในประเทศก็ยังไม่สูงมาก อย่างเช่น งานของคุณลุงหม่าที่ยกให้กับลูกชายหม่าเฉิงหมินไปก็ได้เงินเดือนแค่ 40 หยวนเท่านั้น
ตอนแรกหลินชิงเหอวางแผนไว้ว่าจะตั้งมาตรฐานของศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งนี้ให้สูง เธอจะต้องใส่ใจลูกจ้างของตนให้ดี ในปีนี้คุณป้าหม่าได้รับเงินเดือนอยู่ที่ 30 หยวนเท่านั้น
นอกจากนี้การให้เงินเดือนที่แตกต่างกันมากเกินไปสำหรับคนในชุมชนเดียวกันก็คงจะไม่เหมาะนัก
ดังนั้นจึงกำหนดไว้ที่ 30 หยวนก่อน และจะเพิ่มให้พร้อมกันทั้งหมดภายหลัง
เธอได้พูดคุยถึงเรื่องชั่วโมงในการทำงานกับคุณป้าสวีด้วย จากนั้นจึงปล่อยให้นางได้มีเวลาไปหาคน ซึ่งไม่ได้เร่งด่วนมากนัก ศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าจะเปิดอย่างเป็นทางการในวันมะรืนนี้
แม่เฒ่าสวีจึงมีเวลามากพอในการไปหาคน
หลังจากเสร็จจากเรื่องนี้แล้ว หลินชิงเหอก็ไปแวะซื้อไอศกรีมแล้วเอามากินกับสวี่เชิ่งเหม่ย หู่จือและโจวเอ้อร์นีที่ร้านเสื้อผ้า
“เชิ่งเหม่ยจ้ะ หนูได้อ่านหนังสือบ้างหรือเปล่า?” หลินชิงเหอถามสวี่เชิ่งเหม่ย
สวี่เชิ่งเหม่ยตอบอย่างกระดากอาย “คุณอาสะใภ้คะ หนูอ่านไม่รู้เรื่องเลยคะ”
หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไรต่อ พี่สาวใหญ่ไม่ได้ให้สวี่เชิ่งเหม่ยเรียนหนังสือ หล่อนจึงรู้ตัวอักษรแค่ไม่กี่คำเท่านั้น
ดังนั้น เธอจึงบอกให้สวี่เชิ่งเหม่ยคอยทำตามเอ้อร์นีเพื่อเรียนรู้และจดจำตัวอักษร วิธีนี้จะทำให้สามารถพัฒนาขึ้นได้อีกมากในอนาคต
แต่เป็นตัวสวี่เชิ่งเหม่ยเองที่ไม่ต้องการเรียนรู้ หลินชิงเหอจึงไม่พูดอะไรต่อ เธอหันไปหาหู่จือและโจวเอ้อร์นี “เธอทั้งคู่จะต้องเริ่มเรียนในภาคเรียนนี้นะ ไปเรียนที่โรงเรียนภาคค่ำด้วยกัน”
“พี่เอ้อร์นีได้ไปเรียนก็ดีครับ แต่ผมต้องไปด้วยเหรอครับ?” หู่จือพูดพร้อมกับขยี้ผมของตัวเอง
“ไปด้วยกันทั้งคู่แหละจ้ะ เอ้อร์นีจะลงเรียนด้านการบัญชี เธอก็ลงเรียนเหมือนกันไปด้วยเลย” หลินชิงเหอกล่าว
ไม่ว่าจะเป็นเป็ดหนึ่งหรือสองตัวที่จะถูกปล่อยออกไป ที่สุดแล้วก็ยังต้องถูกปล่อยออกไปอยู่ดี ดังนั้นเธอจึงให้พวกเขาไปเรียนกันทั้งคู่
“ผมไม่ฉลาดเหมือนพี่เอ้อร์นี ผมกลัวว่าจะเรียนไม่รู้เรื่องน่ะครับ” หู่จือเกาหัว
“เธออยากจะมีความก้าวหน้าขึ้นหรือเปล่า? ยังอยากจะอยู่ที่ปักกิ่งต่อไปหรือเปล่า?” หลินชิงเหอถาม “เธอคิดว่าจะสามารถอยู่ในสถานที่อย่างปักกิ่งนี้ได้ต่อไปในอนาคตด้วยระดับการศึกษาที่เธอมีอยู่ในตอนนี้น่ะเหรอ? ถ้าเธอไม่ตั้งใจเรียนให้หนักและดิ้นรนเพื่อความก้าวหน้าแล้วละก็ เธอจะอยู่ที่นี่ไม่รอด สุดท้ายก็ต้องกลับบ้านไป”
ชัดเจนว่าปักกิ่งในยุคถัดไปจะเป็นสถานที่ที่โหดร้าย เป็นเมืองที่น้ำตาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าคนอื่น แต่ก็ยังต้องพัฒนาตัวเองมากขึ้นไปอีก
หู่จือถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นผมจะไปเรียนครับ”
“ถ้าเธอไปแล้วก็ต้องเรียนให้หนัก อาจะเป็นคนออกค่าเรียนให้พวกเธอเอง ต้องเรียนกันให้ดีนะ” หลินชิงเหอสอน “ตอนนี้เธออาจจะเบื่อ แต่ต่อไปเธอจะรู้ว่ามันมีประโยชน์”
แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้ไปเป็นนักบัญชีหลังจากที่เรียนจบแล้ว แต่ก็จะกลายเป็นคนที่เฉลียวฉลาดและละเอียดรอบคอบขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีในอนาคต
สวี่เชิ่งเหม่ยเม้มปากเน้น “คุณอาสะใภ้คะ แล้วหนูควรจะเรียนอะไรดีคะ?”
หลินชิงเหอมองไปที่หล่อน “เธอยังไม่รู้ตัวหนังสือเลยแล้วจะไปเรียนได้ยังไงกันล่ะ?”
หู่จือกับโจวเอ้อร์นีนั้นแม้ว่าจะเรียนมาแค่ไม่กี่ปี แต่หลินชิงเหอก็ตั้งใจฝึกฝนพวกเขา ทำให้ตอนนี้พวกเขารู้ตัวหนังสือหลายคำแล้วและมีความรู้พื้นฐานอื่นๆ ด้วย เมื่อได้เข้าไปเรียนในชั้นพวกเขาก็จะไม่มึนงงหรือสับสนอะไรแล้ว
เธอจัดกลุ่มให้เรียนด้วยกันก็เพื่อให้พวกเขาสามารถเรียนได้รู้เรื่อง
แต่สวี่เชิ่งเหม่ยไม่รู้ตัวอักษรเลยสักตัว แล้วหล่อนจะไปโรงเรียนได้อย่างไรกัน?
“ถ้าเธอต้องการจะเรียนก็สามารถเรียนกับเอ้อร์นีได้ เมื่อไหร่ที่เธอสามารถอ่านและเขียนหนังสือได้แล้ว อาจะให้เรียนไปโรงเรียนด้วย” หลินชิงเหอกล่าว
สวี่เชิ่งเหม่ยถอนใจออกมาเบา ๆ
จริง ๆ แล้วหล่อนก็ไม่ได้อยากจะไปเรียนหรอก แต่เมื่อได้เห็นญาติผู้พี่ทั้งสองคนก้าวหน้าขึ้นก็รู้สึกแปลกแยก หล่อนไม่อยากจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังคนเดียว
ดังนั้น หล่อนจึงพยักหน้ารับ
หลินชิงเหอนิ่งเงียบไป ถ้าพวกเขาเต็มใจที่จะเรียนรู้ เธอก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้พวกเขาก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป แต่ถ้าพวกเขาไม่อยากเรียนรู้ เธอก็ไม่สามารถไปบังคับพวกเขาได้
ถ้าเป็นลูกชายทั้ง 3 คนของตัวเอง เธอจะไม่ยอมผ่อนปรนเด็ดขาด แต่หลานชายและหลานสาวเหล่านี้ถือว่าได้แยกบ้านกันไปแล้ว ไม่สามารถนับรวมเป็นครอบครัวเดียวกันได้
การเรียนการสอนจะเริ่มขึ้นในอีก 1 สัปดาห์
โจวเอ้อร์นีและหู่จือต่างรู้สึกประหม่าไม่น้อย ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง การได้เข้าเรียนในชั้นเรียนภาคค่ำที่เมืองหลวงทำให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นและวิตกกังวลอยู่บ้าง
สำหรับสวี่เชิ่งเหม่ยนั้น หลินชิงเหอดูออกว่าหล่อนไม่ชอบเรียนหนังสือเลย ในขณะที่ทั้งหู่จือและโจวเอ้อร์นีต่างตั้งใจอ่านหนังสือกันอย่างจริงจัง คนที่นั่งอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้อย่างหู่จือก็ยังพยายามที่จะนั่งอยู่กับที่เพื่อเรียนหนังสือ แต่สวี่เชิ่งเหม่ยที่หลังเลิกงาน กินข้าวเย็นและช่วยโจวเอ้อร์นีล้างถ้วยชามเสร็จแล้วเธอก็จะไปที่บ้านของคุณตาคุณยายต่อ
ไปทำไมน่ะหรือ? ก็ไปดูทีวีไงล่ะ
หลินชิงเหอก็ไม่ได้ห้ามหล่อนเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรหล่อนทำงานของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว และไม่ได้ต้องการอยากเรียนรู้สิ่งอื่นเพิ่มเติมอีก
ศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าของหลินชิงเหอเปิดทำการแล้วโดยที่ท่านพ่อท่านแม่โจวและคนอื่น ๆ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย
เธอปล่อยให้แม่เฒ่าสวีเป็นคนบริหารจัดการ ส่วนเธอกับโจวชิงชิงไป๋รับผิดชอบในเรื่องตรวจรับสินค้าในขั้นตอนสุดท้าย เนื่องจากมันเป็นศูนย์ตัดเย็บของเธอเอง หลินชิงเหอจึงไปหาเสื้อผ้าแบบใหม่บางแบบมาจากทางใต้
จากนั้นก็ให้แม่เฒ่าสวีและช่างตัดเย็บฝีมือดีอีก 9 คนตัดเย็บเสื้อผ้าตามแบบที่เอามา
โจวหยางและโจวอู่นีจะกลับบ้านเกิดกันในวันนี้ หลินชิงเหอให้เครื่องอัดเทปและเทปบันทึกเสียงวิชาภาษาอังกฤษไปด้วยหลายตลับ
“เอากลับไปที่บ้านแล้วทุกเช้าตอนที่พวกเธอท่องหนังสือกันก็เปิดฟังทวนซ้ำ ๆ นะจ้ะ” หลินชิงเหอบอก
นอกเหนือจากนี้เธอยังให้สมุดจดแบบเรียนและแบบฝึกหัดที่โจวเฉวี่ยนใช้เมื่อตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปด้วย เนื่องจากปีนี้หลินชิงเหอตั้งใจว่าจะไม่กลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้านเกิด ในช่วงเวลานี้ของปีหน้าทั้งโจวหยางกับอู่นีจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันแล้ว
เธอซื้ออาหารจัดเตรียมไว้ให้พวกเขาด้วย จากนั้นก็พาไปส่งที่สถานีรถไฟ
อีกไม่กี่วันถัดมาหลินชิงเหอก็เริ่มไปสอนหนังสือ เธอได้รับโทรศัพท์ที่ทำงานจากทางบ้านเกิดแจ้งว่าพวกเขาถึงบ้านกันเรียบร้อยแล้ว
พี่สะใภ้ใหญ่พูดทางโทรศัพท์ “เธอไม่จำเป็นต้องให้ของมีค่าอย่างเครื่องอัดเทปมาด้วยเลยจ้ะ”
“ให้ทั้งสองคนเปิดฟังบ่อย ๆ และตั้งใจเรียน ปีหน้าหลังจากที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จแล้วให้พวกเขามาเที่ยวที่ปักกิ่งได้นะคะ” หลินชิงเหอพูดด้วยรอยยิ้ม
แล้วเธอจึงรายงานเรื่องของท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวว่าสุขสบายดี จากนั้นจึงวางสายไป
ทั้งสะใภ้ใหญ่และสะใภ้สามต่างก็รู้สึกซึ้งใจในตัวหลินชิงเหอที่ช่วยขัดเกลาบ้านครอบครัวโจวรุ่นต่อไปให้
มีแต่สะใภ้รองเท่านั้นที่เมื่อเห็นเครื่องอัดเทปที่โจวหยางและโจวอู่นีเอากลับมาด้วยแล้ว หล่อนก็แสดงท่าทางจมูกไม่ใช่จมูกตาไม่ใช่ตา(1) นั่นเป็นเพราะครอบครัวของหล่อนไม่ได้รับส่วนร่วมอะไรด้วย
คืนนั้นพี่ชายรองจึงถามหล่อน “คุณเป็นอะไรไป? พี่สะใภ้ใหญ่กับน้องสะใภ้สามไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือยังไง?”
พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน พี่ชายรองรู้สึกอับอายมากจนไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
ภรรยาของเขาแสดงท่าทีแบบนี้ออกมา พี่สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามก็ไม่ได้ไปทำอะไรให้หล่อนสักหน่อย นี่จะไม่ทำให้ทุกคนต้องอึดอัดใจกันไปหมดเหรอ?
………………………………………………………………………………….
(1) โกรธมาก อารมณ์ไม่ดีจนแสดงท่าทางไม่น่ามองออกมา
สารจากผู้แปล
แม่ใจดีก็จริง แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่รับน้ำใจแม่ก็ปล่อยค่ะ ไม่มีประโยชน์ที่จะยัดเยียดน้ำใจให้กับคนที่ไม่อยากรับ
สะใภ้รอง เธอควรรู้ตัวว่าตัวเองถูกลอยแพเพราะอะไรได้แล้วนะ เรื่องนี้เธอทำตัวเองทั้งนั้น โทษใครไม่ได้หรอก
ไหหม่า (海馬)