บทที่ 339 ศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าขนาดย่อม

บทที่ 339 ศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าขนาดย่อม

บทที่ 339 ศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าขนาดย่อม

โจวเสี่ยวเหมยรู้สึกว่าการที่แม่ของหล่อนมีลูกสะใภ้อย่างพี่สะใภ้สี่ได้นับว่าเป็นเรื่องที่ประเสริฐแล้ว

บอกตามตรงเลยว่าถ้าหล่อนมีพ่อแม่สามีก็อาจจะไม่ได้เคารพนับถือและกตัญญูต่อพวกเขาเหมือนอย่างที่พี่สะใภ้สี่ทำ

เรื่องพวกนี้เห็นได้ตั้งแต่ตอนที่พวกเขายังอยู่ที่บ้านเกิดแล้ว

ที่นั่นยังมีพี่ชายอยู่อีก 3 คน แต่พี่สะใภ้สี่ก็ยังให้พ่อกับแม่ไปกินข้าวร่วมกับครอบครัวของเธอที่บ้านด้วย

ตอนนี้ยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจน เธอเต็มใจที่จะพาผู้เฒ่าทั้งสองมาใช้ชีวิตที่สุขสบายในปักกิ่งและยังหาบ้านที่ดีแบบนี้มาให้อยู่อีก

นอกจากนั้นยังมีทีวีและพัดลมให้ด้วย เพราะงั้นมันจะมีอะไรดีได้มากกว่านี้อีก?

โจวเสี่ยวเหมยคิดว่าถ้าเธอมีพ่อแม่สามีก็คงไม่สามารถจะทำเช่นนี้ให้ได้

ท่านแม่โจวพูด “ฉันไม่ได้ว่าสะใภ้สี่ไม่ดีซะหน่อย แค่ต้องรู้จักใช้เงินทองอย่างประหยัดให้มากกว่านี้”

นางเป็นคนที่ใช้จ่ายเงินอย่างประหยัดมาชั่วชีวิต จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีความคิดบางอย่างขัดแย้งกัน

ฉะนั้นหลินชิงเหอจึงให้ในสิ่งที่ควรให้และเคารพนับถือนางอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งหมดที่ทำนี้ก็เป็นเพราะเห็นแก่หน้าของโจวชิงไป๋ ส่วนเรื่องอื่นเธอจะไม่สนใจฟังท่านแม่โจวที่เป็นแม่สามีเลย บางครั้งเมื่อหมดความอดทนเธอก็จะแสดงออกมาให้เห็นต่อหน้าทันที ไม่เก็บงำความคิดไว้แต่อย่างใด

แต่ถ้าเป็นเรื่องของการแสดงความกตัญญูแล้ว ไม่มีใครสามารถมาตำหนิเธอในเรื่องนี้ได้เลย

โจวเสี่ยวเหมยพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “พี่สะใภ้สี่ก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนี้นี่ค่ะ แต่ก่อนแม่ชอบพูดว่าหล่อนไม่รู้วิธีใช้ชีวิต แล้วดูตอนนี้สิคะ มีพี่ชายของหนูคนไหนบ้างที่มีชีวิตที่ดีกว่าพี่สี่? ที่พี่สี่มีชีวิตที่ดีอย่างนี้ก็เป็นเพราะความสามารถของพี่สะใภ้สี่ หรือไม่จริงคะ?”

โจวเสี่ยวเหมยนั้นเคารพนับถือพี่สะใภ้สี่ของหล่อนมาโดยตลอด

ก่อนหน้านี้หล่อนก็ยังไม่ได้นับถืออะไรนัก แค่คิดว่าเธอดูสวยดีและเป็นคนแต่งตัวเป็น ถ้าได้ออกไปข้างนอกด้วยกันแล้วหล่อนก็จะพลอยได้หน้าไปด้วย

แต่ก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าหล่อนเริ่มรู้สึกเลื่อมใสพี่สะใภ้สี่มากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่

ที่จำได้แม่นยำที่สุดก็เป็นตอนที่เธอแสดงความคิดเห็นจนนำมาสู่การตัดสินใจแยกทางจากคนที่หล่อนกำลังคบหาอยู่ในตอนนั้น

ในตอนนั้นหล่อนก็ยังลังเลใจอยู่ ถ้าหล่อนไม่ฟังคำพูดของพี่สะใภ้สี่แล้วละก็ 9 ใน 10 ส่วนหล่อนคงจะได้แต่งงานเข้าครอบครัวนั้นไปแล้ว

ต่อมาเมื่อได้เห็นด้วยตาของตัวเองว่าเพื่อนร่วมงานสาวที่เลือกคนรักเก่าของหล่อนต้องมีชีวิตเช่นไร หล่อนก็รู้สึกขอบคุณที่ตอนนั้นตัวเองเชื่อในคำพูดของพี่สะใภ้สี่!

หลังจากนั้นพี่สะใภ้สี่ก็เห็นชอบด้วยเรื่องที่หล่อนมาคบกับต้าหลิน

ต้าหลินพูดติดอ่างแค่นิดหน่อย แต่นอกเหนือจากนี้แล้วก็เป็นคนที่ไม่มีข้อบกพร่องอื่นเลย และตอนนี้หล่อนก็มีลูก 4 คนแล้ว โจวเสี่ยวเหมยรู้สึกว่าตนเองมีความสุขมาก

ในขณะเดียวกันหล่อนก็รู้สึกเลื่อมใสและซาบซึ้งใจในตัวหลินชิงเหอ

โจวชิงไป๋ติดตั้งเครื่องรับสัญญาณทีวีเสร็จและภาพออกอากาศก็ปรากฏขึ้น ทันทีที่เห็นคนอยู่ในจอทีวี หลานชายและหลานสาวต่างก็ดีใจกันมาก

“แม่ครับ ติดตั้งทีวีไว้เรียบร้อยแล้ว จากนี้แม่ก็มาเปิดดูได้เลยนะครับ” โจวชิงไป๋บอก

“แพงเกินไป แล้วไหนจะค่าไฟอีก” ท่านแม่โจวบ่นงึมงำ ๆ

“เราจะเป็นคนจ่ายค่าไฟให้เองค่ะ แล้วหนูจะให้ต้าหลินไปจ่ายที่สำนักงานการไฟฟ้าให้” โจวเสี่ยวเหมยกล่าว

โจวชิงไป๋ไม่ได้พูดอะไร เขารู้นิสัยแม่ของตัวเองดี ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรกับนางมากนัก

หลังจากอธิบายสิ่งที่ควรระวังให้น้องสาวฟังเสร็จแล้วเขาก็ไปที่ร้านเกี๊ยว

หลินชิงเหอกำลังสอนวิชาภาษาอังกฤษให้กับโจวหยางและโจวอู่นีอยู่ อีกไม่กี่วันทั้งสองคนจะกลับบ้านกันแล้ว

เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจริง ๆ

แต่กล่าวได้ว่าลูกพี่ลูกน้องคู่นี้ได้รับความรู้มากมายจากการเดินทางมาที่นี่

พวกเขามีมุมมองกว้างไกลขึ้นและการเรียนก็ก้าวหน้าขึ้นด้วย ทั้งหลินชิงเหอและโจวเฉวี่ยนต่างก็พุ่งเป้าสอนไปในส่วนที่สำคัญ ๆ ให้

เมื่อได้รับคำแนะนำจากอาจารย์มหาวิทยาลัยปักกิ่ง แม้แต่ก้อนหินที่ดื้อรั้นยังต้องเปิดใจรับ

หลินชิงเหอปล่อยให้พวกเขาอ่านหนังสือต่อกันเอง และถามขึ้นว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหรือคะ?”

“ครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า

“คุณแม่คงจะพูดกับคุณอีกแน่ ๆ เลยว่าต้องประหยัดอย่าใช้เงินเปลือง” หลินชิงเหอกล่าว

โจวชิงไป๋ส่ายหน้า “เปล่าครับ แม่ผมก็มีนิสัยแบบนี้แหละ อย่าถือสาท่านเลย”

หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไร แม่สามีแบบท่านแม่โจวเป็นคนที่มีปัญหาได้ทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก

วันนี้โจวเสี่ยวเหมยเปิดเตาทำอาหาร หลินชิงเหอให้หู่จือเอาไก่ย่างไปให้เพิ่มอีกอย่าง และทั้งหมดก็แค่นี้เท่านั้น

ส่วนพวกเธอกินข้าวกันอยู่ทางนี้

หลังจากกินเสร็จ โจวกุยหลายก็ถามขึ้น “ม้าบอกไว้ไม่ใช่หรือครับว่าจะซื้อของดี ๆ กลับมาให้พวกเราด้วย”

“ก็ใช่ ม้ากะว่าจะซื้อกล้องถ่ายรูปกลับมาให้ลูก แต่เงินเอาไปใช้ซื้อทีวีกับพัดลมให้คุณย่าของลูกหมดแล้ว” หลินชิงเหอกล่าว

“ทางคุณปู่คุณย่ามีทีวีด้วยหรือครับ” โจวหยางกับโจวอู่นีที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำการบ้านพูดขึ้นมาทันที

“อือ เพิ่งส่งมาถึงน่ะจ้ะ อาก็เลยส่งไปให้คุณปู่คุณย่าแล้ว” หลินชิงเหอพูด

“ทีวีกับพัดลมไม่ใช่ของหายากอะไร ครอบครัวเรายังขาดกล้องถ่ายรูปอยู่ต่างหากครับตอนนี้” โจวกุยหลายเริ่มกังวลขึ้นมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น

“ปีหน้าแล้วกันนะ” หลินชิงเหอบอก “ปีนี้ คอยช่วยงานป๊าของลูกให้ดีแล้วปีหน้าม้าจะซื้อให้ ม้าจะซื้อแบบที่นำเข้ามาให้เลย ไม่ใช่ถูก ๆ เลยนะ”

“สัญญานะครับ?” โจวกุยหลายรีบพูดขึ้นทันที

“สัญญาตามนั้น” หลินชิงเหอพยักหน้า

โจวหยางและโจวอู่นีมองอย่างอิจฉา คุณอาสะใภ้สี่รวยเหลือเกิน นอกจากซื้อทีวีให้คุณปู่กับคุณย่าแล้วยังจะซื้อกล้องถ่ายรูปอีกด้วย ที่สำคัญยังเป็นของที่นำเข้ามาอีก

ในตอนบ่ายหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋มาที่โกดังเก็บของและเอาจักรเย็บผ้าออกมา

จักรเย็บผ้า 10 ตัวต้องการคนงาน 10 คน ช่วงเย็นหลินชิงเหอจึงแวะไปหาแม่เฒ่าสวีพร้อมด้วยลูกอมอีกหนึ่งถุง

“ต้องเอาลูกอมมาให้ทำไมกัน?” แม่เฒ่าสวีเอ่ยเมื่อเห็น

“คุณป้าคะ ฉันมีเรื่องมาขอร้องให้ช่วยน่ะค่ะ” หลินชิงเหอบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกมา ไม่ต้องเอาลูกอมมาให้หรอกจ้ะ” แม่เฒ่าสวีตอบ

หลินชิงเหอยิ้มพร้อมกับบอกนางไปว่าเธอกำลังจะเปิดศูนย์ตัดเย็บขนาดเล็กเพื่อผลิตเสื้อผ้า

แม่เฒ่าสวีรู้สึกประหลาดใจมาก “อาจารย์หลินคิดจะเปิดโรงงานของตัวเองหรือจ๊ะ?”

“แค่ศูนย์ตัดเย็บเล็ก ๆ เท่านั้น ยังไม่ใช่โรงงานค่ะ” หลินชิงเหออธิบายด้วยรอยยิ้ม

“แล้วอาจารย์หลินวางแผนจะทำอะไรต่อหรือ?” แม่เฒ่าสวีถาม

“ตอนนี้ฉันซื้อจักรเย็บผ้ามาแล้วค่ะ แต่ยังขาดคนที่มีฝีมือแบบคุณป้าอยู่ คราวก่อนฉันได้ยินคุณป้าเล่าว่ามีคนงานถูกให้ออกจากงานกันหลายคนเหมือนคุณป้า ฉันอยากรู้ว่าตอนนี้พวกเขาหางานทำกันได้หรือยังคะ” หลินชิงเหอพูด

“งานไม่ได้หาได้ง่าย ๆ หรอกจ้ะ พวกเขาไม่มีอะไรทำอยู่แต่ในบ้านจนตัวจะเป็นขนกันไปหมดแล้ว” คุณป้าสวีตอบออกมาทันที

“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะทำได้นะคะ คงต้องรบกวนคุณป้าด้วย ฉันต้องการคนงานทั้งหมด 10 คนรวมคุณป้าด้วย พวกเขาต้องมีสุขภาพดี มือเท้าใช้การได้ปกติ จะต้องไม่เป็นคนเกียจคร้านและต้องอยู่ภายใต้ระบบการบริหารจัดการด้วย” หลินชิงเหอแจงรายละเอียด

“แน่นอนจ้ะ ฉันจะไม่เอาพวกที่ขี้เกียจมาทำงานอย่างแน่นอน” แม่เฒ่าสวีบอกออกมาทันที

“ดีค่ะ เรื่องนี้ต้องรบกวนคุณป้าสวีให้ช่วยด้วยนะคะ” หลินชิงเหอพยักหน้า “อีกเรื่องหนึ่ง ฉันจะให้ตำแหน่งงานกับคุณป้าอีกตำแหน่งด้วยค่ะ คุณป้าจะเป็นผู้จัดการศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าเล็ก ๆ แห่งนี้ของฉันและต้องคอยช่วยฉันดูแลจัดการเรื่องคนงาน และเสื้อผ้าที่ตัดเย็บออกมาแล้วก็มีหน้าที่ต้องคอยตรวจสอบด้วยตัวเอง ซึ่งคุณป้าจะได้เงินเดือนมากกว่าคนอื่น 5 หยวน คุณป้าคิดว่ายังไงคะ?”

คุณป้าสวีจะรู้สึกอะไรได้อีกนอกเสียจากจะรู้สึกดีใจอย่างมาก “ไม่มีปัญหาจ้ะ อาจารย์หลินปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะ รับรองว่าจะไม่ทำให้คุณต้องผิดหวังเลย”

………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

แม่กำลังจะเปิดศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าเองแล้วให้แม่เฒ่าวัยเกษียณทั้งหลายมาทำงานแล้วค่ะ ทั้งสวย รวย และน้ำใจงามแบบนี้ยังจะมีใครสู้แม่ได้อีก

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset