บทที่ 342 แพงลิบลิ่ว

บทที่ 342 แพงลิบลิ่ว

บทที่ 342 แพงลิบลิ่ว

ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวต่างรู้สึกยินดีปรีดา

“มันจะได้ผลหรือเปล่าน่ะ?” ท่านแม่โจวถาม

หลินชิงเหอไม่สนใจนาง ขณะที่โจวเสี่ยวเหมยปริปากตอบแทน “ตราบใดที่เขาทำงานหนักมันก็น่าจะได้ผลแน่ล่ะค่ะ น้องชายสามของพี่สะใภ้สี่ก็ไปได้สวยไม่ใช่หรือคะ?”

หากเป็นเมื่อเดือนที่แล้ว โจวเสี่ยวเหมยยังจะมีความมั่นใจเอ่ยอะไรแบบนี้ออกมาได้งั้นหรือ?

หลังจากราว ๆ เดือนนี้เป็นต้นไปแล้ว โจวเสี่ยวเหมยก็มีพื้นฐานขึ้นมาบ้างจริง ๆ

ในวันที่สามที่พวกเขามาที่นี่ ร้านซาลาเปาของซูต้าหลินก็เปิดกิจการแล้ว แม้ธุรกิจจะไม่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายนัก แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร

เขาทำงานอย่างขยันขันแข็งและพิถีพิถันในทุกวัน ซึ่งในเดือนตุลาคม ซาลาเปาที่เขาทำก็ทำรายได้เกือบ 130 หยวนหลังหักจากรายจ่ายล่าสุดแล้ว

เงินจำนวนนี้ไม่ได้มาก แต่ก็ไม่ได้น้อยเช่นกัน เทียบเท่ากับเงินเดือนสองเดือนของซูต้าหลินตอนที่เขาอยู่ในอำเภอเลยทีเดียว

ในที่สุดหัวใจของคนทั้งคู่ก็สงบลงได้

การทำซาลาเปาเป็นเรื่องเหนื่อยยาก เพราะเขาต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อมาเตรียมแป้งและของอื่น ๆ ไว้ แต่ถึงอย่างนั้นซูต้าหลินก็ยังทำด้วยความกระตือรือร้นอันแรงกล้า

โจวเสี่ยวเหมยหลับอุตุจนกระทั่งเกือบหกโมงเช้าถึงจะมาช่วยเขา

อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย จากที่โจวเสี่ยวเหมยได้เห็น หล่อนก็บอกได้แล้วว่าธุรกิจนี้ทำรายได้ดีแค่ไหน

หล่อนจึงรู้สึกว่าหากพี่ชายสามของหล่อนมาเปิดร้านในอำเภอ เขาก็น่าจะประสบกับเรื่องนี้ไม่ต่างกัน

“ต้องขอบคุณน้าของเจ้าใหญ่แท้ ๆ” ท่านแม่โจวได้ยินดังนี้ก็รู้สึกยินดีระคนกับอับอายเล็กน้อย นางเอ่ยกับหลินชิงเหอ “พวกเขาทำธุรกิจเดียวกันแบบนี้ ฉันยังคิดอยู่เลยว่าเขาจะขโมยธุรกิจของน้าเจ้าใหญ่หรือเปล่า?”

“ถ้างั้นพี่ชายสามกับพี่สะใภ้สามต้องมีฝีมือในการขโมยหน่อยล่ะค่ะ น้องชายสามของฉันมีฝีมือทำธุรกิจเป็นอย่างดีเลยนะคะ” หลินชิงเหอตอบพลางเลิกคิ้ว

ท่านแม่โจวได้ฟังก็สะอึก

โจวเสี่ยวเหมยหัวเราะ “แม่ไม่ต้องเข้ามายุ่งเรื่องนี้หรอกค่ะ การจะซื้อร้านในอำเภอสักร้านต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก พี่สามจะมีเงินเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”

“ครั้งนี้ที่ฉันกลับไป พี่สะใภ้สี่ของเธอก็ให้เงินฉันมา 500 หยวนด้วย แล้วฉันก็ฝากไว้กับพี่ใหญ่ก่อนจะกลับมาแล้ว ถ้าพวกเขาขาดเงินทุนสำหรับธุรกิจก็ไปขอยืมจากพี่ใหญ่มาใช้ชั่วคราวได้” โจวชิงไป๋บอก

“สะใภ้สี่ช่างเอาใจใส่ผู้อื่นจริง ๆ” เป็นท่านพ่อโจวที่กล่าวพลางมองหลินชิงเหออย่างยอมรับนับถือ

สิ่งที่คนแก่คนเฒ่ากล่าวไว้เป็นความจริง ว่าการได้แต่งงานกับภรรยาผู้มีความสามารถไม่ต่างกับการได้รับโชคลาภไปสามชั่วอายุคนเลยทีเดียว ซึ่งท่านพ่อโจวก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องจริง

ท่านแม่โจวก็รู้สึกเห็นดีเห็นงามไปด้วยและมองมาที่สะใภ้คนสุดท้อง

หลินชิงเหอกระแอมเสียงแห้ง เธอเหลือบมองสามี เห็นได้ว่าเขาต้องการเพิ่มความดีความชอบให้เธอจริง ๆ

“พวกเราล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ฉันก็หวังว่าทุกคนจะใช้ชีวิตด้วยดีอยู่แล้วค่ะ อนาคตเราเองก็จะกลายเป็นคนชรา ถึงตอนนั้นมันจะเป็นโลกของคนหนุ่มสาวอย่างเจ้าใหญ่ จึงเป็นเรื่องดีกว่าถ้าทุกคนจะช่วยกันดูแลซึ่งกันและกันน่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบ

“แม่ดีใจนะที่เธอคิดแบบนี้ได้” ท่านแม่โจวพูด

“หากคุณแม่รู้สึกดีใจ งั้นฉันเองก็รู้สึกดีใจเหมือนกันค่ะ” หลินชิงเหอตอบ

ท่านแม่โจวยิ้มพลางจ้องมองเธอ จากความสัมพันธ์ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ระหว่างหลินชิงเหอกับแม่สามี ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะแทบรู้สึกขนลุกจากสายตารักใคร่ของนาง

ดังนั้นพักเรื่องนี้ไว้และไม่ทำอะไรต่อไปจะดีกว่า

“น้องเขย ธุรกิจของนายตอนนี้ค่อนข้างลงตัวแล้วล่ะ นายวางแผนว่าจะซื้อรถสามล้อแล้วให้เสี่ยวเหมยดูแลร้านขณะที่นายเอาของไปตระเวนขายไหม?” หลินชิงเหอถาม

“ครับ…คิดแล้ว…วางแผนนี้ไว้แล้วครับ” ซูต้าหลินพยักหน้า

“พี่สะใภ้สี่คะ เรามีไส้ให้เลือกน้อยเกินไปหรือเปล่าคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม

ตอนนี้พวกเขาขายซาลาเปาทั้งหมดสามไส้ มีไส้เนื้อกับเห็ด ไส้เนื้อกับผักกาดขาว และไส้เนื้อกับกะหล่ำปลี

“เรามีไส้อยู่น้อยอย่างจริง ๆ ด้วย พวกเธออยากใส่ไส้อะไรเพิ่มเติมไหม?” หลินชิงเหอตอบ

“ฉันคิดว่าจะเติมไส้หมูกับผักดองเข้าไปอีกไส้ค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยตอบ

“ลองสับแครอทให้ละเอียดแล้วใส่ลงไปในไส้ซาลาเปาสิ ซาลาเปาไส้ไข่คนก็รสชาติดีนะ” หลินชิงเหอเสนอ

“เราจะ…ลอง…ลองทำหมดเลยครับ” ซูต้าหลินพยักหน้า

“จำเป็นต้องทำซาลาเปาให้หลากไส้ขนาดนี้เลยเหรอ?” ท่านแม่โจวเอ่ย

“ต้อง…ต้องทำครับ” ซูต้าหลินบอก

ถ้าเขาต้องการให้ธุรกิจร้านซาลาเปายังดำเนินต่อไปได้อีกนาน เขาก็ต้องทำตัวเลือกสินค้าให้หลากหลายขึ้น คนบางคนชอบกินของอย่างหนึ่ง ขณะที่บางคนชอบกินของอีกอย่างหนึ่ง โดยสรุปก็คือต้องทำซาลาเปาให้มีไส้หลากหลายขึ้น เพื่อจะได้ไม่ดูจำเจ

“แม่ไม่เข้าใจอะไรหรอก เพราะฉะนั้นอย่าพูดเลยค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย จากนั้นก็หันมาถามพี่สะใภ้สี่ “พี่สะใภ้สี่ ต้าหลินอยากจะขายน้ำเต้าหู้ด้วยค่ะ พี่คิดว่าอย่างไรคะ?”

“ถ้านายจัดการไหว นี่ก็เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยม ถ้าขายน้ำเต้าหู้ด้วยก็มีรายได้เหมือนกันนะ” หลินชิงเหอเอ่ยชม

เธอรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่แนะนำโจวเสี่ยวเหมยให้พิจารณาซูต้าหลินตั้งแต่ต้น ดูตอนนี้สิ ชายคนนี้เป็นคนดีขนาดไหน?

“ถ้างานยุ่งมากเมื่อไหร่แกก็อย่าขี้เกียจเชียว ตื่นแต่เช้ามาช่วยต้าหลินซะ” ท่านแม่โจวบอกลูกสาว

“หนูต้องคอยดูแลเด็ก ๆ นี่คะ?” โจวเสี่ยวเหมยอธิบาย

“หยุดหาข้ออ้างได้แล้ว เฉิงเฉิงกับสวิ่นสวิ่นก็ไปโรงเรียน หยาหยากับเถียนเถียนก็มีฉันกับพ่อแกดูแลอยู่ แล้วจะมีอะไรอีก? แกปล่อยให้ต้าหลินทำทุกอย่างในร้านไม่ได้นะ พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมไปช่วยล่ะ” ท่านแม่โจวพูด

“ผม…จัดการ…จัดการทุกอย่างได้ครับ” ซูต้าหลินบอก

โจวเสี่ยวเหมยถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “ช่างเถอะค่ะ คราวหน้าฉันจะตื่นนอนพร้อมคุณแล้วกัน”

เมื่อปล่อยให้ต้าหลินของหล่อนต้องตื่นแต่เช้าและทำงานเพียงคนเดียวแล้ว หล่อนก็รู้สึกผิด

หลินชิงเหอยิ้ม แต่ไม่ว่ากล่าวอะไรในเรื่องนี้

เธอได้แต่เอ่ยไว้ว่า “ตอนนี้พวกเธอยังไม่ได้ซื้อร้านเป็นของตัวเองนะ เสี่ยวเหมย เธอจงขยันทำงานและเชื่อฟังคุณแม่เถอะ”

“ฉันสงสัยจริงว่าร้านค้าที่นี่ต้องใช้เงินเท่าไหร่?” ท่านแม่โจวถาม

หลินชิงเหอมองหน้าโจวชิงไป๋ แล้วชายหนุ่มก็ตอบมารดา “เจ้าของร้านซาลาเปาของต้าหลินไม่เต็มใจจะขายน่ะครับ”

เขาถามเจ้าของร้านแล้วแต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ขาดแคลนเงิน ดังนั้นจึงสามารถขอเช่าร้านได้แต่ไม่อาจขายร้านให้ได้

“ในกรณีนี้ ถ้าพวกเธอต้องการร้านค้าร้านนั้น มันก็จะแพงกว่าเช่าเยอะเลยล่ะ แน่นอนว่าหากพวกเธออยากย้ายร้านก็สามารถทำได้เหมือนกัน” หลินชิงเหอบอก

ธุรกิจก็เป็นแบบนี้ หากย้ายร้านเมื่อไหร่ก็จะเสียฐานลูกค้าไป เว้นแต่ว่าร้านใหม่จะอยู่ใกล้กันจนผู้คนที่ผ่านไปมาสามารถมองเห็นได้

ไม่อย่างนั้นแล้ว ความนิยมตั้งแต่แรกเริ่มของทางร้านก็จะได้รับผลกระทบหนัก

“ถ้างั้นต้องใช้เงินเท่าไหร่คะ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม

“ฉันเดาว่าราคาอยู่ที่ 4,000-5,000 หยวนน่ะ” โจวชิงไป๋ตอบ

ร้านเกี๊ยวของเขาเป็นร้านค้าสองชั้น ภรรยาของเขาจ่ายเงินซื้อมันไป 3,000 หยวน เนื่องจากเจ้าของร้านอยากจะขาย และมันก็เป็นราคาของเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วในแต่ละวัน ร้านซาลาเปาของซูต้าหลินไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้มีราคาถูกอยู่ดี โดยเฉพาะในเมื่อเจ้าของร้านไม่จำเป็นต้องขายมัน

ปกติแล้วราคาร้านสามารถขยับเพิ่มได้อีก แต่ก็ไม่สามารถเพิ่มได้มากนัก และไม่จำเป็นต้องปล่อยให้คนอื่นมาขูดรีดด้วย หากต้องเริ่มใหม่ก็จะเป็นเรื่องใหญ่

เมื่อราคา 4,000-5,000 หยวนออกจากปากชายหนุ่ม ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมยต่างพากันอึ้งไป

ไม่ต้องพูดถึงท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวเลย

“ร้านขนาดเท่าเล้าไก่เนี่ยนะราคา 4,000 ถึง 5,000 หยวน?” ท่านแม่โจวถึงกับตกตะลึงไปกับราคาแพงหูฉี่นี้

………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ผู้แปลเคยช่วยแม่ทำซาลาเปาแล้ว มันใช้เวลาเตรียมนานจริง ๆ ค่ะ นานตรงกว่าจะนวดแป้งจนได้ที่กับตรงต้องเตรียมไส้นี่ล่ะค่ะ ไม่แปลกเลยที่ต้าหลินจะต้องตื่นกลางดึกมาเตรียมส่วนผสมไว้ล่วงหน้า

เมืองหลวงอะไร ๆ ก็ต้องแพงล่ะค่ะท่านแม่โจว แลกกับโอกาสและรายได้ที่มีมากกว่าชนบท

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset