บทที่ 345 ตกงาน

บทที่ 345 ตกงาน

บทที่ 345 ตกงาน

ต้องบอกว่าบุคคลนั้นเพียงคนเดียวก็สามารถทำให้ทั้งชุมชนปั่นป่วนเดือนร้อนกันไปหมด

ถึงจะเป็นแบบนี้ จางเหมยเหอก็ยังกล้าไปหาหลี่ซุ่ยเฟิ่งสะใภ้ใหญ่ของแม่เฒ่าสวี่

หล่อนบอกว่าอยากสมัครทำงานในกะกลางคืนประมาณนี้ แต่หลี่ซุ่ยเฟิ่งไม่อนุญาต เรื่องแบบนี้จะยอมกันได้อย่างไร?

เพราะคนที่ทำงานกะกลางคืนส่วนหนึ่งมีเด็กหนุ่ม ๆ อยู่ด้วย

ใครจะรู้ล่ะว่าหล่อนจะทำมิดีมิร้ายกับพวกเขาหรือเปล่า

ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องอธิบาย

หลินชิงเหอไม่ใช่แม่พระที่จะเปลี่ยนแปลงใครได้ จางเหมยเหอเป็นของหล่อนแบบนี้ เธอคงไม่มีวันเห็นใจหล่อนหรอก ดังนั้นเมื่อหลี่ซุ่ยเฟิ่งนำเรื่องนี้มาบอก เธอจึงไม่ได้ขัดอะไร

แถมยังมีจางเหมยเหลียนที่จ้องตะครุบลูกชายคนโตของเธออยู่ หล่อนอาศัยอยู่ในอีกชุมชนหนึ่งและได้งานทำแล้ว ได้ยินว่าหล่อนทำงานอยู่ในแผนกโลจิสติกส์ และแว่ว ๆ ว่าเปลี่ยนแฟนหนุ่มมาแล้วสองคน

ชายหนุ่มทั้งคู่ตามไปที่หอพักของหล่อนในตอนกลางคืน เมื่อถึงรุ่งเช้าพวกเขาก็ออกจากห้องของหล่อนไป

อย่าคิดว่าในยุคที่เทคโนโลยีข่าวสารไม่ค่อยพัฒนาอย่างในยุคนี้จะสามารถปิดบังความลับจากโลกภายนอกได้

หากไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ ดังนั้นก็ไม่ควรทำตั้งแต่แรก

ไม่อย่างนั้นแล้ว ต่อให้อยู่ห่างจากชุมชนเป็นหลายสิบลี้ก็ตาม ผู้คนก็ยังคงจับกลิ่นได้อยู่

ความจริงแล้วหลินชิงเหอไม่สนใจเรื่องพวกนี้นัก เธอไม่ชอบเข้าไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นหรอก

แต่ก็ช่วยไม่ได้ จางเหมยเหลียนช่างไม่ระวังตัวอะไรเลย

หล่อนคิดว่าไม่มีใครรู้เรื่องราวของหล่อน เมื่อได้พบกับหลินชิงเหอเป็นบางครั้งบางคราว หล่อนจึงยิ้มหวานให้

ทำไมหล่อนถึงยังมีสีหน้าท่าทางแบบนั้นต่อหน้าเธออีกล่ะ? ไม่ใช่เพราะยังหวังจับลูกชายคนโตของเธอไม่ปล่อยหรอกหรือ?

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลินชิงเหอถึงไม่มีความประทับใจที่ดีกับหล่อน ไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่จะต้องรู้ว่าหล่อนมีแฟนหรือไม่มี มันเป็นสิทธิ์ของหล่อนที่จะรักใครก็ได้

แต่การที่ยังแสดงการกระทำที่เธอดูถูกอย่างเปิดเผยกับเธอ แถมยังมาเสนอหน้าทวงบุญคุณราวกับว่าเธอไปรังแกหล่อนแบบนี้ มันชักจะมากเกินไปแล้ว

ดังนั้นในทุกครั้งที่เห็นจางเหมยเหลียน หลินชิงเหอก็จะมีสีหน้าเรียบเฉย

ในวันนั้นหลินชิงเหอมาที่ร้านเกี๊ยว แล้วก็เห็นคุณป้าหม่ากำลังล้างจานด้วยสีหน้าทุกข์ตรม

“คุณป้าหม่า เกิดอะไรขึ้นคะ? คุณป้าสบายดีไหม?” หลินชิงเหอถาม

“จ้ะ ป้าสบายดี” คุณป้าหม่ายิ้ม

“ถ้าคุณป้ารู้สึกไม่สบาย บอกชิงไป๋ขอหยุดงานได้นะคะ” หลินชิงเหอพูด

คุณป้าหม่ายิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นนางก็ล้างจานต่อ

หลินชิงเหอหันไปทางโจวชิงไป๋ ชายหนุ่มไม่สนใจอะไรมากนักและบอกกับเธอว่า “บุรุษไปรษณีย์เพิ่งมาส่งจดหมายฉบับใหม่ให้คุณน่ะ”

หลินชิงเหอได้ยินดังนี้ก็นึกขึ้นมาได้ เธอรีบไปหยิบจดหมายอย่างรวดเร็ว “ลี่ลี่ต้องคลอดลูกแล้วแน่ ๆ เลยค่ะ”

แล้วก็เป็นดังคาด หวังลี่ให้กำเนิดบุตรแล้ว และหล่อนได้ลูกสาว

คนที่หล่อนคลอดก่อนหน้านี้เป็นลูกชาย มาคราวนี้กลายเป็นลูกสาว

หลังหลินชิงเหออ่านจดหมายจบ เธอก็ยิ้มให้โจวชิงไป๋ “คราวนี้คุณได้ลูกสาวอุปถัมภ์แล้วนะคะ”

โจวชิงไป๋ยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินดังนั้น “เราควรส่งของขวัญอะไรไปให้ดีล่ะ?”

“ของอย่างอื่นไม่จำเป็นหรอกค่ะ แค่ส่งเสื้อผ้าตัวเล็ก ๆ ไปให้ 2-3 ชุดก็พอแล้ว” หลินชิงเหอตอบ

จากนั้นเธอก็ขอให้แม่เฒ่าสวี่ตัดเย็บชุดฤดูหนาวสำหรับเด็กเล็กให้บางชุด เพราะอีกไม่นานอากาศก็จะเย็นลงแล้ว ซึ่งเสื้อผ้าฤดูหนาวก็จะมีชุดข้างในตัวเล็ก ๆ กับเสื้อผ้าบุฝ้าย รวม ๆ แล้วก็เป็นหลายสิบชิ้น

ซึ่งเสื้อผ้าทั้งหมดนี้เธอส่งไปให้หวังลี่

เมื่อหลี่ป๋อชวนสามีของหวังลี่ได้รับเสื้อผ้าเหล่านี้ เขาก็ยิ้มพลางหยิบชูให้หวังลี่ดู

หวังลี่เห็นแล้วก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ชิงเหอนี่จริง ๆ เลยนะ ไม่จำเป็นต้องส่งเสื้อผ้ามาเยอะขนาดนี้ก็ได้ เด็กเล็ก ๆ น่ะเดี๋ยวไม่นานก็โตแล้ว”

ถึงหล่อนจะพูดแบบนี้ แต่ในใจกลับรู้สึกซาบซึ้งเต็มอก

ในตอนนั้นหล่อนมีความคิดจะทำแท้งลูกสาวคนนี้ แต่หลินชิงเหอก็โน้มน้าวหล่อน มาตอนนี้หล่อนกลับรู้สึกดีใจอย่างมากที่ให้กำเนิดลูกสาวคนนี้

ลูกชายและลูกสาวอย่างละคน ช่างสมบูรณ์แบบเหลือเกิน

“ลูกสาวคนนี้เกิดได้ถูกเวลาจริง ๆ ค่ะ ฉันได้ยินข่าวลือมาว่าปีหน้าจะเริ่มมีการวางแผนครอบครัวกันแล้ว” หวังลี่บอกสิ่งที่หลินชิงเหอกล่าวไว้ในจดหมายของหล่อน

การวางแผนครอบครัวจะมีผลบังคับใช้ในเมืองหลวงอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ยังไม่เข้มงวดกวดขันมากนัก

มันจะเข้มงวดกวดขัดมากขึ้นเมื่อถึงปี 1982

ต่อให้รู้แบบนี้ หวังลี่ก็ไม่ใส่ใจมากนัก หลังเด็กคนนี้ถือกำเนิด หล่อนก็จะให้สามีไปทำหมัน เพื่อในอนาคตจะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุแบบนี้อีก!

ย้อนกลับมาทางฝั่งของหลินชิงเหอ

เป็นเวลาไม่กี่วันหลังจากนั้นเธอก็ได้ยินเรื่องของคุณป้าหม่าจากแม่เฒ่าสวี่

เป็นเพราะเธอออกจากบ้านแต่เช้าตรู่และกลับมาในเวลาเย็นย่ำทุกวัน แถมยังออกไปดูหนังกับชิงไป๋ของเธอเป็นบางครั้งบางคราวหรือไม่ก็ไปในสถานที่อื่น ๆ เพื่อดูว่ามีของโบราณอะไรพอจะหยิบไปเก็บสะสมได้หรือไม่

เธอจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณป้าหม่า

หม่าเฉิงหมิน ลูกชายของคุณลุงหม่าในตอนนี้กลายเป็นคนตกงาน

งานนี้เดิมทีเป็นของคุณลุงหม่า แต่เป็นเพราะเขามอบงานนี้ให้ลูกชายไป ทำให้คุณลุงหม่าในตอนนี้หันไปถีบสามล้อขนสินค้าหาเงินแทน

มันไม่ใช่งานที่จะได้ทำบ่อยนัก แต่ก็เพียงพอที่เขาจะไม่ได้อยู่เฉย ๆ และกินข้าวไปวัน ๆ

เงินเดือนของหม่าเฉิงหมินอยู่ที่ 40 หยวนต่อเดือน ส่วนของคุณป้าหม่าอยู่ที่ 30 หยวน และงานของคุณลุงหม่าก็ทำให้เขาได้เงินมาเกือบ 10 หยวนต่อเดือนในการจุนเจือครอบครัว

หากครอบครัวมีรายได้เพิ่มขึ้น มันก็นับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่โรงงานของหม่าเฉิงหมินกำลังทำการปลดพนักงานออก ซึ่งเขาก็โชคร้ายพอดีที่ถูกปลดออกจากงาน

ตอนนี้เขากลายเป็นคนตกงานไปแล้ว

เรื่องนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณป้าหม่าถึงมีท่าทางกังวลเล็กน้อยในหลายวันที่ผ่านมา

หลานชายของนางจะเข้าโรงเรียนอนุบาลในไม่ช้า และมันก็จะต้องมีค่าใช้จ่าย

เมื่อหลินชิงเหอเข้านอนในคืนนั้น เธอก็ได้คุยเรื่องนี้กับโจวชิงไป๋

“หม่าเฉิงหมินจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย วุติการศึกษาของเขานับว่าไม่น้อยเลย ฉันเองก็เห็นเขาเขียนหนังสือครั้งหนึ่ง และรู้สึกว่าเขาเขียนได้กระชับจับใจความดีไม่น้อย ว่าไปแล้วฉันควรให้เขาทำงานในโกดังของเราไหมคะ?” หลินชิงเหอถาม

ตอนนี้งานในโกดังอยู่ในการจัดการของแม่เฒ่าสวี่และลูกสะใภ้ใหญ่ของนาง แต่ด้วยความที่พวกหล่อนไม่ได้อ่านออกเขียนได้ หลินชิงเหอจึงต้องเป็นคนจัดการบัญชีเองทุกอย่าง

และโกดังของเธอก็ต้องการการจัดการที่เป็นมืออาชีพ

“เป็นความคิดที่ไม่เลวนะในการให้เขาเป็นคนจัดการ” โจวชิงไป๋พยักหน้า

หม่าเฉิงหมินเป็นคนอัธยาศัยดี โจวชิงไป๋เองก็คุ้นเคยกับเขาไม่น้อย เพราะหม่าเฉิงหมินมักจะมาเยี่ยมที่ร้านบ่อย ๆ นับตั้งแต่ที่คุณป้าหม่าทำงานที่นั่น

“ถ้าจะให้จัดการแค่โกดังก็จะดูว่างงานเกินไป ฉันควรจะเปิดร้านค้าอีกร้านหนึ่งดีไหมคะ?” หลินชิงเหอถาม

โจวชิงไป๋เลิกคิ้วขณะมองภรรยา “คุณไม่กลัวเหนื่อยเหรอครับ?”

“ทำไมต้องกลัวล่ะคะ?” หลินชิงเหอไม่สนใจและพูดต่อ “ฉันจ้างคนมาทำงานแทน ฉันจึงไม่ใช่คนที่จะเหนื่อยหรอกค่ะ”

จากนั้นเธอก็เริ่มคำนวณความเป็นไปได้ของเรื่องนี้

เธอจะให้หม่าเฉิงหมินเป็นคนจัดการเรื่องในโกดัง แต่ตัวเธอเองยังเป็นคนถือบัญชีรายรับอยู่ เนื่องเพราะไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าผลกำไรเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนบัญชีรายจ่ายนั้นเธอให้เขาเป็นคนจัดการ

จากนั้นก็ให้เขาเป็นคนจัดการร้าน ร้านเสื้อผ้านับว่าอยู่ตัวแล้ว โจวเอ้อร์นีกับสวี่เชิ่งเหม่ยจึงยังมีความรับผิดชอบในส่วนนี้อยู่เพราะพวกหล่อนชำนาญในเรื่องนี้

เธอวางแผนว่าปีหน้าจะให้หู่จือตั้งร้านค้าแผงลอยริมถนน

แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนแผนแล้ว หู่จือจะได้ทำงานในร้านเสื้อผ้าผู้ชายกับหม่าเฉิงหมินแทน

หลินชิงเหอเป็นคนพูดจริงทำจริง หลังจากเลิกการเรียนการสอนในวันต่อมาแล้ว เธอก็เดินทางไปที่สำนักงานจัดการทรัพย์สิน

…………………………………………………………………………………

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset