บทที่ 362 รู้ตัวว่าหล่อเหลาไม่น้อย

บทที่ 362 รู้ตัวว่าหล่อเหลาไม่น้อย

บทที่ 362 รู้ตัวว่าหล่อเหลาไม่น้อย

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้เจอโจวข่าย

เป็นเรื่องยากที่เขาจะกลับมาในแต่ละครั้ง เขามาเยี่ยมคุณปู่คุณย่าก็จริง แต่เวลาส่วนใหญ่เขาจะอยู่ที่บ้านกับพ่อแม่มากกว่า

อย่างเช่นวันนี้ที่เขากับน้องชายอีกสองคนไปห้างสรรพสินค้ากับหลินชิงเหอ

แม้เขาจะต้องกลับเข้ากรมอีกครั้งหลังปีใหม่ หลินชิงเหอก็ยังซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

โจวข่ายถึงกับพูดขึ้นมาว่า “ผมไม่มีโอกาสได้ใส่มากหรอกครับ”

เมื่อใดที่เขากลับเข้ากรมแล้ว เขาก็ต้องใส่เครื่องแบบที่เหมือนกันทุกชุด

“ถ้าไม่ได้ใส่บ้างก็ไม่เป็นไรหรอก” หลินชิงเหอไม่สนใจ

โจวกุยหลายมองเห็นกล้องวางอยู่บนชั้นในห้างสรรพสินค้าเข้าพอดี

หลินชิงเหอเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มคนนี้แล้วก็เหลือบมองเขาสองครั้ง ตอนนี้เธอยังไม่ซื้อให้เขาหรอก รอจนกว่าจะถึงปีหน้าดีกว่า

สำหรับลูกชายแล้ว ถ้ามีข้อตกลงอะไรก็สามารถซื้อของให้เขาได้ แต่ต้องอย่าให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการในทันที ทางที่ดีที่สุดคือปล่อยให้เขารอไปก่อนระยะหนึ่ง

เป็นการทำให้เขารู้ว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่าย ๆ และการที่พ่อแม่หาเงินมามันเป็นเรื่องยากลำบากกว่า

นี่คือวิธีที่ควรเลี้ยงดูลูกชาย คือการอย่าตามใจพวกเขามากเกินไป ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาก็จะเป็นคนเนรคุณได้ง่าย ๆ

แต่หลินชิงเหอไม่คิดว่าลูกชายคนโตจะอยู่นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น หลังจากนั้นเจ้ารองกับเจ้าสามก็ได้เสื้อผ้ากัน 2-3 ชุดและรองเท้า 2 คู่ หากไม่ใช่เพราะความรักแล้วจะเป็นอะไรได้ล่ะ?

บอกได้เพียงว่ามาตรฐานในการเลี้ยงดูนั้นต่างกัน

กล้องตัวหนึ่งราคาร้อยกว่าหยวน เธออยากจะซื้อกล้องยี่ห้อดี ๆ สักตัว ซึ่งราคาอย่างต่ำก็จะอยู่ที่ 400 ถึง 500 หยวน

ทั้งแม่และลูกชายทั้งสามมาที่ร้านเกี๊ยวหลังจากซื้อของเสร็จแล้ว

ในร้านเกี๊ยวนั้น โจวชิงไป๋ โจวเอ้อร์นี และคุณป้าหม่ากำลังง่วนอยู่กับการทำเกี๊ยว

ตอนนี้เป็นวันสิ้นปี เกี๊ยวสดจึงขายดีเป็นพิเศษ ทุกคนล้วนไม่อยากทำเกี๊ยวด้วยตัวเอง พวกเขาจึงมาซื้อกลับไปปรุงเองที่บ้าน

“รีบมาช่วยเร็ว เราต้องทำเกี๊ยวกันอีก 10 ชั่งนะ” โจวเอ้อร์นีบอกโจวข่ายและอีกสองคนที่เหลือ

ทุกคนลงมือทำเกี๊ยว แล้วหลินชิงเหอก็เอ่ยขึ้นมา “ร้านเกี๊ยวเราได้หยุดวันไหนนะ?”

“ยี่สิบแปด” โจวชิงไป๋ผู้ทำงานมือเป็นระวิงเอ่ยตอบ

เขาเขียนป้ายสีแดงแปะไว้ที่ด้านนอกประตูว่าร้านจะเปิดตามปกติจนถึงวันที่ยี่สิบแปด จากนั้นจะหยุดทำการในวันปีใหม่ หลังจากวันที่เจ็ดของเดือนมกราคมแล้วร้านเกี๊ยวถึงจะเปิดอีกครั้ง

ร้านซาลาเปาของซูต้าหลินก็มีวันเปิด-ปิดร้านเหมือนกับร้านของเขา

หลินชิงเหอไม่แย้งอะไร วันที่ยี่สิบแปดสินะ

คุณป้าหม่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กิจการเราดีมากเลยนะจ๊ะ จะทำต่ออีกสองวันก็ไม่เป็นไรหรอก”

คนงานใต้ความดูแลคนอื่น ๆ ของหลินชิงเหอได้หยุดงานโดยที่ยังได้รับค่าจ้าง ขณะที่คุณป้าหม่ายังคงทำงานตามปกติ เมื่อใดที่นางหยุดเนื่องในวันปีใหม่ นางถึงจะไม่ได้ค่าจ้าง

สำหรับคุณป้าหม่าแล้วนับว่าเป็นเรื่องที่วิเศษ ปกติแล้วนางไม่มีอะไรต้องทำและทั้งครอบครัวก็อยู่กับบ้านว่าง ๆ ดังนั้นแล้วทำไมถึงจะไม่ทำงานให้มากขึ้นล่ะ?

“เดี๋ยวต้องให้คุณป้าหม่าหยุดแล้วค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทำไมหลายวันมานี้เสี่ยวตั้นถึงไม่มาดูทีวีแล้วล่ะคะ?”

หม่าเสี่ยวตั้นเป็นคนที่มาเยี่ยมบ้านบ่อยที่สุดและมานั่งดูทีวีทุกวัน

“สองวันมานี้เขามีอาการไอน่ะจ้ะ วันนี้พ่อของเขาก็เลยพาไปที่โรงพยาบาล”คุณป้าหม่าตอบ

“ตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้างคะ?” หลินชิงเหอถาม

“ดีขึ้นแล้วจ้ะ แค่ไม่มีแรงมากนัก” คุณป้าหม่าตอบ

หลินชิงเหอยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ทำอาหารดี ๆ ให้เขาทาน เขาจะได้หายเร็วขึ้นนะคะ”

ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องง่ายมากที่จะเป็นหวัดเพราะภูมิต้านทานของเด็กอ่อนแอกว่า อย่างซูหย่าลูกสาวคนที่สามของโจวเสี่ยวเหมยก็เป็นหวัดเหมือนกัน

เป็นเพราะตอนกลางคืนหล่อนนอนดิ้นถีบผ้านวมออก

วันนั้นหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋กินสาลี่อยู่ในห้อง เธอจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ในมิติของฉันยังมีแอปเปิลกับสาลี่อยู่นะคะ พรุ่งนี้ให้เจ้าใหญ่เอาไปให้เขาสักสองสามลูกเถอะค่ะ”

“ต้องอธิบายยังไงดีครับ?” โจวชิงไป๋ถาม

หลินชิงเหอหัวเราะ “แอปเปิลกับสาลี่ไม่ใช่ของหายากหรอกค่ะ อย่างมากที่สุดของพวกนี้ก็สดกว่า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องร้อนใจหรอกค่ะ”

ตอนนี้มีแอปเปิลกับสาลี่ขายอยู่เหมือนกัน แต่ไม่สดเท่ากับส่วนที่เธอหยิบออกมาหรอก

พวกเขาซื้อพวกมันมาไว้ตั้งแต่ช่วงฤดูกาลของผลไม้สองชนิดนี้และเก็บไว้ในมิติเพื่อให้ทั้งคู่ได้กินบำรุงร่างกายในช่วงฤดูหนาว

แต่ที่บ้านของโจวเสี่ยวเหมยมีเด็ก ๆ อยู่มาก ดังนั้นจึงไม่เป็นไรนักหากจะส่งไปให้พวกเขาได้กินบ้าง

โจวชิงไป๋ไม่ได้เอ่ยอะไร

วันต่อมาเขาออกไปก่อนพร้อมกับถุงใบหนึ่ง เมื่อโจวข่ายกับคนอื่น ๆ ไปกินอาหารเช้าที่ร้าน เขาก็บอกให้ทั้งสามคนนำถุงนั้นไป

“ป๊า นี่ป๊าซื้อมาจากไหนครับ? ทำไมมันดูสดจังเลย?” โจวข่ายหยิบผลไม้ไปกินลูกหนึ่งและเอ่ยขึ้นมา

“ตอนเช้าป๊าไปซื้อมาน่ะ” โจวชิงไป๋เอ่ยและชี้ไปที่ถุงอีกใบหนึ่ง “ถุงนี้ของครอบครัวเรา แต่ถุงนั้นห้ามกินนะ เป็นของบ้านคุณปู่คุณย่ากับครอบครัวอาเล็ก”

“ครับ” โจวข่ายพยักหน้า จากนั้นเขาก็เคี้ยวแอปเปิลกร้วม ๆ ขณะถือถุงเดินไปที่บ้านของคุณปู่คุณย่า

“ตอนนี้ยังมีผลไม้สดขนาดนี้อยู่ได้อย่างไรเนี่ย?” ท่านแม่โจวอุทานด้วยความประหลาดใจ

“ในห้างยังมีขายอยู่บ้างน่ะครับ” โจวข่ายบอก เพียงแต่ราคาแพงกว่าที่ขายกันทั่วไปเท่านั้น จากนั้นเขาก็บอกโจวเสี่ยวเหมย “บางทีแม่ผมอาจบอกให้พ่อซื้อมาน่ะครับ คุณอาเล็ก คุณอาทำสาลี่ต้มน้ำตาลกรวดให้หย่าหย่ากินก็ได้นะครับ ดื่มน้ำสาลี่แล้วจะได้หายไอ”

“ต้มยังไงเหรอ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม

“อาเล็กไม่รู้วิธีทำเหรอครับ แค่ฝานจุกสาลี่ออก แล้วก็แคะไส้ออกมา เทน้ำเย็นลงไปในโพรง ใส่พุทราจีนลงไปสองลูกแล้วก็น้ำตาลกรวดนิดหน่อย เอาสาลี่ใส่ชาม จากนั้นก็ตุ๋นในหม้อ เสร็จแล้วก็ดื่ม” โจวข่ายบอก

โจวเสี่ยวเหมยไร้คำพูดไป “พี่สะใภ้สี่นี่เลี้ยงดูเธอเหมือนเจ้านายน้อย ๆ เลยนะ”

แค่ฟังหล่อนก็รู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากแล้ว

“แค่ทำตามนั้นล่ะ ฉันเคยดื่มแล้ว มันดีมากเลย” ท่านแม่โจวบอก

โจวเสี่ยวเหมยตุ๋นสาลี่ให้หย่าหย่าลูกหนึ่ง ทันทีที่หย่าหย่าได้ดื่มน้ำสาลี่ตุ๋นน้ำตาลกรวด หล่อนก็กลับมาสดใสร่าเริงขึ้น

“กินแอปเปิลให้มาก ๆ นะครับ ตอนที่ป่วยต้องกินแอปเปิลให้มากขึ้นเพื่อเสริมวิตามินเข้าไป” โจวข่ายบอก

แต่เขานำผลไม้มาให้มากมาย มีแอปเปิลหนึ่งถุงตาข่ายกับสาลี่หนึ่งถุงตาข่าย

“ต้องเสียเงินซื้อเยอะมากเลยนะเนี่ย” โจวเสี่ยวเหมยตอบ

“ผมก็ว่าอย่างนั้นครับ พ่อผมเห็นว่าเป็นเรื่องยากที่จะหาผลไม้สดแบบนี้ได้ก็เลยซื้อมาเยอะ ที่บ้านยังมีอีกนะครับ ในเมื่อซื้อมาแล้วก็กินกันเถอะครับ” โจวข่ายไม่สนใจ

โจวเสี่ยวเหมยยิ้มและให้ผลไม้กับเด็ก ๆ คนละลูก

“ผมไปกินซาลาเปาที่ร้านอาเขยเล็กแล้วนะครับ” โจวข่ายบอก

“เอาสาลี่ไปให้อาเขยเล็กปอกกินด้วยสิ เขาตัวรุม ๆ มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” โจวเสี่ยวเหมยหยิบสาลี่ขึ้นมาสองลูก “ส่วนเธอก็กินลูกหนึ่งนะ”

“ผมกินมาลูกหนึ่งแล้วครับ” โจวข่ายบอก แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะมันอร่อยมาก

ทันทีที่เขาออกจากบ้าน เขาก็เจอจูเจินเจินที่อยู่บ้านข้าง ๆ ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด จูเจินเจินมารอดูเขาอยู่ 2-3 วันแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นเขา

ความพยายามของหล่อนสัมฤทธิ์ผลแล้ว ในที่สุดก็ได้เจอเขาที่มาเยี่ยม ถ้าวันนี้หล่อนยังไม่เจอ หล่อนก็ไม่คิดที่จะมาแล้ว

การได้เจอเขาแบบนี้ มันช่างทำให้หัวใจของหล่อนเต้นผิดจังหวะ

โจวข่ายเหลือบมองหล่อน เมื่อเห็นว่าหล่อนกำลังหวาดกลัวราวกับกระต่ายขาวตัวน้อย เขาก็รู้สึกงงงวย เขาดูน่าเกลียดน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ? ตัวเขาเองออกจะหน้าตาหล่อเหลาอยู่นะ!

เขาเมินหล่อน เพราะไม่รู้จักเด็กสาวคนนี้เลย ก่อนจะหันหลังกลับและเดินไปที่ร้านซาลาเปาของอาเขยเล็กเพื่อกินซาลาเปาและแกงเนื้อแกะ ขณะที่อาเขยเล็กของเขากินสาลี่จนหมดทั้งสองลูก

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ผู้แปลเคยทำสาลี่ต้มน้ำตาลแล้วนะคะ อร่อยมาก ๆ ค่ะ ยิ่งเอาไปแช่เย็นคือกินแล้วเย็นชื่นใจดับกระหายดีมากเลย

เอาล่ะสิ สาวเจ้าเขาชอบเจ้าใหญ่เข้าแล้ว เหลือแค่เจ้าใหญ่จะเลือกใคร ระหว่างสาวข้างบ้านคุณย่ากับน้องสาวเพื่อน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset