บทที่ 366 ร้านขายเครื่องดื่ม

บทที่ 366 ร้านขายเครื่องดื่ม

บทที่ 366 ร้านขายเครื่องดื่ม

“ผมนัดร้านถ่ายรูปไว้ตอนเช้าวันพรุ่งนี้นะครับ เก้าโมงเช้าพวกเราทั้งหมดจะไปถ่ายรูปกัน” คราวนี้โจวกุยหลายเอ่ยขึ้นมา

“เจ้าสามจ่ายเหรอ?” โจวเฉวี่ยนเลิกคิ้ว

“ผมเป็นคนจ่ายน่ะสิครับ ผมเองก็รวยเหมือนกันนะ” โจวกุยหลายเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน

เขาจะใช้เงินอั่งเปาที่คุณปู่คุณย่ากับอาเล็กและอาเขยเล็กให้ไว้ ซึ่งคุณป้าหม่ากับหม่าเฉิงหมินที่อยู่ห้องข้าง ๆ ก็ให้เงินอั่งเปากับเขาด้วย

มันไม่ใช่ซองแดงขนาดใหญ่หรอก เป็นแค่ซองเล็ก ๆ เท่านั้น

หลินชิงเหอให้อั่งเปาซองใหญ่กับหม่าเสี่ยวตั้นเป็นการตอบแทน

นี่คือวิธีการให้อั่งเปาในวันปีใหม่ แทบทุกคนต่างแลกซองอั่งเปากัน อาจมีการขัดแย้งกันไม่มากก็น้อย แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่

หากฐานะไม่ได้แย่มากนัก มันก็ไม่ได้สร้างความอึดอัดให้แต่อย่างใด

ดังนั้นในครั้งนี้ โจวกุยหลายจึงได้รับเงินจำนวนมากต่อให้เขาจะได้ซองอั่งเปาเล็ก ๆ ก็ตาม

เด็กโง่คนนี้จึงหยิบเงินออกมาเป็นจำนวนมาก และเชิญชวนให้ทุกคนไปถ่ายรูปในเช้าวันพรุ่งนี้

ปกติแล้วหลินชิงเหอไม่ได้คัดค้านอะไร เงินอั่งเปานั้นถูกมอบให้เขาไปแล้ว และเขาจะใช้ไปกับอะไรก็ขึ้นอยู่กับการจัดการของเขาเอง

ทุกคนนัดวันเวลาที่จะมาเจอกัน รอคอยอยู่ที่ร้านถ่ายรูปในเวลาเก้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น

ในตอนนี้มีร้านถ่ายรูปอยู่จำกัดไม่กี่ร้าน เพียงแค่บอกที่อยู่มาก็หาเจอแล้ว

พวกเขาอยู่ที่บ้านหลังนี้จนถึงหลังสามทุ่มก่อนที่หลินชิงเหอจะให้โจวข่ายไปส่งคุณปู่อุปถัมภ์กลับ จากนั้นเธอก็พาโจวชิงไป๋กับลูกชายอีกสองคนกลับบ้าน

“ลูกอยากกินบัวลอยสักถ้วยไหม?” หลินชิงเหอถาม

“ไม่ล่ะครับ คืนนี้ผมอิ่มแล้ว” โจวกุยหลายตอบ

โจวเฉวี่ยนปฏิเสธเช่นกัน หลินชิงเหอจึงทำบัวลอยให้ตัวเธอกับโจวชิงไป๋คนละถ้วย มันเป็นบัวลอยที่ทำจากข้าวเหนียวและเผือกหอมที่เธอทำเก็บไว้เพื่อเป็นอาหารค่ำ

บัวลอยมีรสชาติหวานอ่อน จัดว่าอร่อยไม่น้อย

หลังกินเสร็จ คนทั้งคู่ก็ล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะเข้านอน สองพี่น้องนั่งรอให้พี่ใหญ่กลับมา ทันทีที่เขากลับมาถึง พวกเขาก็จะนั่งฟังเรื่องราวในค่ายทหารของเขาจนกระทั่งห้าทุ่มก่อนจะเข้านอน

‘พี่ใหญ่จะเป็นทหาร พี่รองจะเป็นศาสตาจารย์ ส่วนผมจะทำธุรกิจ’ โจวกุยหลายคิดอย่างมีความสุขขณะนอนหลับ

ส่วนหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋อยู่ในห้อง พอถึงตอนนี้พวกเขาก็หลับไป

ก่อนหน้านี้พวกเขาอยู่ในห้องมากกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่ก็ยังไม่หลับ ซึ่งไม่ต้องถามเลยว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ ไม่นานมานี้โจวชิงไป๋ขยันทำการบ้านหนักมาก

ไม่ว่าผลไม้นั้นจะเปรี้ยวฝาดเพียงใด หลินชิงเหอก็ต้องกล้ำกลืนกินมันเข้าไปหากเธอต้องการจะเพาะเมล็ดด้วยตัวเอง

เธอจะทำอะไรได้? ได้แต่ยอมให้ความร่วมมือกับวีรบุรุษและแสดงความเต็มใจที่จะให้กำเนิดลูกสาวน่ะสิ ตราบใดที่เขายังสู้ เธอก็จะคลอดลูกให้!

โจวชิงไป๋พอใจกับความคิดของเธอมาก หลังเสร็จกิจแล้วเขาก็กอดภรรยานอนหลับไป

“ชิงไป๋ คุณเคยได้ยินภาษิตนี้ไหมคะ?” หลินชิงเหอเอ่ยเสียงแผ่ว

“หือ?” โจวชิงไป๋ตอบ

“มีเพียงโคถึกที่อ่อนแรง แผ่นดินถึงร่วนซุยดีน่ะค่ะ” หลินชิงเหอบอก

“ที่ดินเยอะขนาดเท่านี้ผมเอาไหวอยู่ครับ” โจวชิงไป๋ตอบ

ฟังดังนี้แล้ว คำพูดสัปดนพวกนี้มันคืออะไรกัน? ที่แน่ ๆ ชิงไป๋ของเธอเรียนรู้ที่จะเป็นคนชั่วขึ้นมาแล้ว หลินชิงเหอจึงทุบเขาเบา ๆ ทำให้ชายหนุ่มหัวเราะ

แล้วหลินชิงเหอก็นอนหลับในอ้อมกอดอบอุ่นเจือกลิ่นความเป็นชายของเขา

ช่วงฤดูหนาวเธอชอบนอนในอ้อมกอดของเขา ทั้งร่างของเขาเหมือนเตาผิงขนาดใหญ่ ให้ความรู้สึกอุ่นสบายเป็นพิเศษ

โจวชิงไป๋เองก็ชอบเหมือนกัน เขาสามารถหลับอย่างเป็นสุขได้ขณะกอดภรรยาไว้

เมื่อถึงเก้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็มุ่งหน้าไปถ่ายรูป เพราะได้ทำการนัดกับทางร้านไว้แล้ว พวกเขาจึงต้องไปตามนัด

ช่างภาพบอกว่ามาตอนเช้าดีแล้ว หากพวกเขามาตอนบ่าย ใครจะรู้ว่าต้องคอยนานขนาดไหน

ไม่ได้มีแค่ครอบครัวของพวกเขาที่มาถ่ายรูปในช่วงปีใหม่ ยังมีครอบครัวคนอื่น ๆ อีก

ในการถ่ายรูปครั้งนี้ ทั้งท่านพ่อโจว ท่านแม่โจว และเฒ่าหวังต่างสวมเสื้อผ้าใหม่มาทุกคน

ท่านแม่โจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่มันน่าตื่นเต้นจริง ๆ นะ”

นางไม่เคยถ่ายรูปมาก่อนในชั่วชีวิต แค่ได้ยินว่าต้องถ่ายรูปแล้วนางจะไม่รู้สึกตื่นเต้นได้อย่างไร?

ก่อนหน้านี้หลินชิงเหออยากให้โจวชิงไป๋พาพ่อแม่ของเขาไปถ่ายรูปกับพวกเขาด้วย แต่สองคนชราตอบปฏิเสธ พวกเขาอยากถ่ายรูปมากจริง ๆ ทว่าในยุคนั้นอะไร ๆ ยังไม่ดีเท่าตอนนี้ พวกเขาจึงไม่อยากเสียเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์

ขณะที่ตอนนี้จะใช้เงินเท่าใดก็ไม่มีปัญหา พวกเขาสามารถถ่ายรูปด้วยกันได้ต่อให้ต้องใช้เงินมหาศาล แต่ก็ถ่ายรูปกันแค่ 1 ครั้งต่อปีเท่านั้น

ดังนั้นจ่ายไปเถอะ

ลำดับแรกเป็นการถ่ายรูปหมู่ของทั้งครอบครัวใหญ่ จากนั้นก็แยกกันถ่าย เป็นครอบครัวของหลินชิงเหอ สามพี่น้องแซ่โจวและคุณปู่ทูนหัวของพวกเขา ตามมาด้วยรูปของพวกเขากับคุณปู่คุณย่า เมื่อรวมรูปถ่ายทั้งหมดแล้วก็มีมากกว่า 20 รูป

พวกเขาใช้จ่ายเงินไปอย่างมหาศาล

ซูต้าหลินกับเฒ่าหวังอยากจะเป็นคนจ่ายเงิน แต่โจวกุยหลายก็ประกาศขึ้นมาทันที “ทุกคนห้ามแย่งนะครับ ปีนี้ผมจะเป็นคนจ่ายเอง!”

จากนั้นเขาก็นับเงินออกมาจ่าย รวมถึงงัดเงินเก็บที่เก็บไว้ปีที่แล้วออกมาจนเกลี้ยง ทำให้กระเป๋าเงินของเขาว่างเปล่าทั้งสองใบ หลังจากนั้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาก็ทำใจกล้าหน้าด้านขอเงินเพื่อจะเอาไปซื้อประทัด

หลินชิงเหอเจียดให้เงินเขาไป 2 เหมา

แน่นอนว่าเธอไม่ได้ตำหนิในเรื่องที่เขาจ่ายเงินค่ารูปหรอก ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจ่ายมากกว่านี้ก็อย่าหวังว่าจะได้ไปเลย

อย่างมากก็ 2 เหมาเท่านั้น

โจวกุยหลายยังคงมาอ้อนขอเงินอีก แต่หลินชิงเหอก็ไม่สนใจ หลังกินอาหารกลางวันเสร็จเธอก็เอ่ยขึ้น “พวกลูกไปเที่ยวเล่นเทศกาลปีใหม่กันเองนะ แค่อย่าลืมกลับมากินข้าวเย็นตอนสี่โมงล่ะ”

ในวันแรกของปีใหม่ พวกเขามักกินอาหารเย็นกันแต่หัววัน ถ้าเกิดหิวขึ้นมาตอนกลางดึกก็จะกินมื้อดึกเบา ๆ

เด็กหนุ่มทั้งสามออกไปเที่ยวเล่น ส่วนหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋นั้นรอบรรดาญาติ ๆ กับเพื่อน ๆ มาเยี่ยมอยู่ที่บ้าน

เพราะทั้งคู่ได้ยินว่าพวกเขามาหาในตอนเช้า แต่พบว่าครอบครัวของหลินชิงเหอไม่อยู่ที่บ้าน

“ทั้งครอบครัวเรารวมถึงครอบครัวพ่อแม่สามีฉันกับครอบครัวน้องสามีไปถ่ายรูปที่ร้านถ่ายรูปกันน่ะค่ะ” หลินชิงเหออธิบายด้วยรอยยิ้มให้คุณป้าหม่าฟัง

คนที่มาเยี่ยมเยียนต่างเป็นลูกจ้างจากศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าเล็ก ๆ ของเธอ และหม่าเฉิงหมินกับคุณป้าหม่ายังพาหม่าเสี่ยวตั้นมาด้วย

มันช่างดูคึกคักมีชีวิตชีวาเหลือเกิน

หลินชิงเหอเตรียมชาและของว่างให้พวกเขา โดยไม่ต้องบอกเลยว่าการฉลองปีใหม่ไม่ควรขาดการต้อนรับขับสู้แบบนี้

พวกเขาต้อนรับแขกที่มาหาตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงสี่โมงเย็น โจวข่ายกับน้อง ๆ ก็ได้กลับมาเตรียมอาหารเย็น คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับ

ครอบครัวอันประกอบด้วยสมาชิกห้าคนนี้ไม่ได้ไปกินอาหารร่วมกับซูต้าหลิน พวกเขาทำอาหารกินกันเอง หลังกินเสร็จแล้วหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็ออกไปนอกบ้าน

ทั้งคู่ไปดูหนังกัน

ในยุคนี้การดูหนังแทบจะเป็นงานอดิเรกเพียงหนึ่งเดียวของผู้คน เพราะไม่มีงานอดิเรกอื่น ๆ ให้ทำเลย

นับตั้งแต่วันหยุดปีใหม่มาถึง โรงภาพยนตร์ก็เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว

เช่นเดียวกับวันนี้ที่ผู้ชมต้องมาแต่หัววัน ไม่อย่างนั้นจะไม่มีตั๋วให้ซื้อ

ทั้งคู่ดูหนังจนจบ แต่เมื่อออกมาจากโรงภาพยนตร์แล้วก็พบว่าไม่มีอะไรให้ดื่ม

“ชิงไป๋ ถ้าเราซื้อร้านตรงนี้แล้วเปิดร้านสักร้านล่ะคะ?” หลินชิงเหอเอ่ย

โจวชิงไป๋มองหน้าเธอ “คุณคิดจะขายอะไรเหรอครับ?”

“งั้นซื้อเครื่องดื่มมาขายกันเถอะค่ะ แล้วก็ของพวกหวานเย็นที่ขายได้เมื่อถึงตอนนั้น” หลินชิงเหอบอก

ที่นี่ไม่มีอะไรขาย เธอจึงรู้สึกว่าถ้าพวกเขาเปิดร้านตรงนี้สักร้าน มันก็จะมีคนมาซื้อแน่ ๆ เพราะช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่ดีในการดูหนังของคนส่วนใหญ่

ตั๋วหนังใบหนึ่งมีราคา 2 หรือ 3 เหมา ซึ่งคนส่วนใหญ่ล้วนต้องกัดฟันจ่าย เธอจึงคิดว่าเป็นความคิดที่ดีที่จะเปิดร้านขายเครื่องดื่มที่นี่

………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าสามสายเปย์เหมือนแม่เลย อนาคตเถ้าแก่จับแล้วนะน้อง

เดี๋ยวนี้พ่อร้ายกาจนะคะ มีเล่นมุกสิบแปดบวกกับเขาด้วย

แม่จะเปิดร้านที่สี่แล้ว ขอให้ขายดีนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset