บทที่ 378 ลำเอียง

บทที่ 378 ลำเอียง

บทที่ 378 ลำเอียง

วันรุ่งขึ้นหลินชิงเหอโทรศัพท์ไปหาสะใภ้ใหญ่

เธอกะเวลาโทรไปตอนที่สะใภ้ใหญ่กลับมาจากทุ่งนาแล้ว

ระหว่างที่คุยกันทางโทรศัพท์ สะใภ้ใหญ่เล่าเรื่องลูกเป็ด 30 ตัวที่หล่อนจับกลับมาเลี้ยงให้เธอฟัง

หลินชิงเหอยิ้มพลางพูดว่า “หลังการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจบลง หยางหยางกับอู่นีก็จะปิดเทอมแล้ว ถ้ามีเวลาพี่สะใภ้ใหญ่ลองถามพวกเขาดูนะคะว่าอยากจะมาทำงานช่วงฤดูร้อนที่นี่หรือเปล่า? เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะได้ค่าจ้างด้วย จะได้ใช้เงินนี้เป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่เรียนในมหาวิทยาลัยได้”

“ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างให้พวกเขาหรอกจ้ะ ทางนั้นมีทั้งอาหารและเครื่องดื่มเตรียมไว้ให้ก็ดีมากแล้ว” สะใภ้ใหญ่ตอบอย่างร่าเริง

หล่อนดีใจที่ลูกชายคนโตของหล่อนได้ออกไปเรียนรู้ในเมืองใหญ่ สำหรับเด็กหนุ่มอย่างลูกชายของหล่อนแล้วนี่เป็นเรื่องที่ดีมาก

สะใภ้ทั้ง 2 คนคุยกันไปอีกสักพักก่อนที่หลินชิงเหอจะเอ่ยปากบอกเรื่องที่เธอต้องการให้กังจือมาที่ปักกิ่ง

สะใภ้ใหญ่เอ่ยอย่างลังเลว่า “แล้วทางเชิ่งเฉียงล่ะ?”

“ไม่ต้องสนใจทางเชิ่งเฉียงหรอกค่ะ คนที่มาอยู่กับฉันที่นี่จะต้องทำงานหนักได้” หลินชิงเหอพูด

สะใภ้ใหญ่เข้าใจที่เธอไม่ชอบเชิ่งเฉียง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร ลูกชายคนโตของพี่สาวใหญ่นั้นถูกเลี้ยงมาแบบผิด ๆ แม้แต่ไม้กวาดที่ตกอยู่เขายังไม่หยิบขึ้นมาเลย

นอกจากให้ลูกชายไปส่งเป็ดย่างที่นั่นแล้ว ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้หลินชิงเหอไม่เคยไปเยี่ยมเยียนพี่สาวใหญ่เป็นการส่วนตัวเลย

สะใภ้ใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีกับพี่สาวใหญ่จึงไปเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราวในช่วงหลายปีมานี้

สวี่เชิ่งเฉียงเป็นคนที่น่าผิดหวังจริง ๆ ไม่เอาการเอางานเลย

หลังจากที่วางสายแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ก็บอกให้พี่ชายใหญ่ขี่จักรยานไปคุยกับพี่สาวรองในเรื่องนี้

ก่อนหน้านี้พี่ชายสามได้มาขอยืมจักรยานไปใช้ แต่ต่อมาเขาได้ซื้อคันใหม่มาเป็นของตัวเองแล้ว จักรยานคันนี้จึงถูกนำเอากลับมาใช้ที่บ้านครอบครัวโจวเหมือนเดิม

ในครั้งนั้นสะใภ้รองมักจะบ่นไม่พอใจอยู่เสมอ

หลังจากที่ได้จักรยานคืนมา หล่อนจึงสงบปากลงได้

พี่ชายใหญ่มาที่บ้านพี่สาวรองเพื่อแจ้งข่าวจากทางหลินชิงเหอ และเพื่อสอบถามกังจือว่าต้องการจะไปช่วยงานที่เมืองหลวงหรือไม่?

พี่สาวรองยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา กังจือซึ่งบังเอิญอยู่ที่บ้านด้วยในตอนนั้นรีบกระโดดออกมา “ผมไปครับ ผมเต็มใจไปครับ!”

กังจือเด็กหนุ่มผิวเข้มดีใจราวกับคนบ้า!

เขาต้องการจะไปอยู่ที่ร้านน้าสะใภ้กับพี่สามของเขา เมื่อตอนต้นปีที่ผ่านมานี้เขาอยากจะไปพร้อมกับพี่สาม แต่แม่เขาไม่อนุญาต บอกว่าที่นั่นไม่ต้องการคนงานแล้ว ถ้าไปก็จะไปสร้างปัญหาให้ที่นั่น แต่เขาก็ยังไม่เลิกหวัง

เขาคิดว่าบางทีช่วงหน้าร้อนปีนี้คุณน้ากับคุณน้าสะใภ้อาจจะกลับมา? ปีก่อนหน้านี้ทั้งคู่จะกลับมาที่นี่ตลอด

ถ้าคุณน้าและคุณน้าสะใภ้กลับมา เขาจะไปขอร้องให้ช่วยดูว่าพอจะพาเขาไปด้วยได้หรือไม่

ถึงจะไม่ได้เงินเดือนก็ไม่เป็นไร

ทำไมกังจือถึงได้โหยหาอยากจะไปเมืองหลวงนักน่ะหรือ? ก็เป็นเพราะพี่สามของเขาที่มาคุยโวให้ฟังตอนที่กลับมาบ้านในช่วงวันปีใหม่

พี่สามเล่าว่าสถานที่ในเมืองหลวงนั้นกว้างขวาง และเขาก็อาศัยอยู่บนตึกสูง แล้วยังมีเรื่องอาหาร! พวกเขาได้กินเนื้อ ไข่และก็ปลาด้วย

โดยปกติจะมีอาหารให้กิน 3 มื้อต่อวัน โดยที่ในแต่ละมื้อนั้นอาหารเลี้ยงในวันปีใหม่ของที่บ้านยังเทียบไม่ติดเลย

เรื่องนี้ทำให้กังจือรู้สึกอิจฉามาก ดังนั้นเขาจึงประกาศออกไปว่าถึงจะไม่ได้เงินเดือนเขาก็ไปเฝ้าร้านให้เฉย ๆ ได้ ขอแค่มีอาหารให้กินก็พอ เขาจะตั้งใจให้บริการลูกค้าทุกคนเป็นอย่างดี!

แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะพี่สาวรองไม่เห็นด้วย

เทียบกับพี่สาวใหญ่แล้ว พี่สาวรองเป็นคนชัดเจนมีเหตุมีผล

ลูกชายของหล่อนได้ไปที่นั่นคนหนึ่งแล้ว อาหารและที่พักก็มีให้ อีกทั้งยังได้รับเงินเดือนอีกด้วย การที่จะให้อีกคนได้ไปด้วยดูจะมากเกินไป

เด็กหนุ่มตัวโตถึง 2 คนจะต้องสิ้นเปลืองอาหารไปอีกเท่าไหร่? พี่สาวรองจะกล้าให้ไปอีกคนได้อย่างไร?

ดังนั้นไม่ว่าลูกชายคนที่สี่ของหล่อนจะคิดยังไง ในตอนนั้นหล่อนก็ไม่อนุญาตให้ไปโดยไม่จำเป็นต้องคิดเลย

แต่หล่อนไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าหลินชิงเหอจะโทรมาเรียกตัว พี่สาวรองรู้สึกดีใจแต่ก็อดที่จะลังเลไม่ได้ “ที่นั่นขาดคนจริง ๆ เหรอ? เจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้ถ้าไม่ได้กินข้าวมากถึง 2-3 ถ้วยก็จะกินไม่อิ่มด้วยนะ”

“ผม…ผมกินน้อยลงกว่านี้ได้ครับ!” กังจือซึ่งหน้าขึ้นสีที่ผสมกันระหว่างสีดำคล้ำกับสีแดงรีบพูดขึ้นทันที

พี่ชายใหญ่หัวเราะ “ในเมื่อน้องสะใภ้สี่เป็นคนเอ่ยปาก หล่อนก็ย่อมเลี้ยงไหว เมื่อไปอยู่ที่นั่นแล้ว เธอไม่ต้องกินให้น้อยลงหรอก กินตามปกตินี่แหละ ไม่ทำให้น้าของเธอต้องจนลงไปหรอก”

สีหน้าของพี่สาวรองแสดงอาการลังเลใจขึ้นมา

พี่สาวรองจึงเอ่ยว่า “น้องชายใหญ่ ถ้ามีเรื่องอะไรก็พูดออกมาตรง ๆ เถอะ”

ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวมีลูกเป็นพี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองก่อนที่จะมีพี่ชายใหญ่เป็นลูกชายคนแรก ซึ่งจากพี่ชายใหญ่ก็ได้ลูกชาย 4 คนติดต่อกัน แล้วจึงมีโจวเสี่ยวเหมยเป็นคนสุดท้อง

“พี่สาวใหญ่อยากให้เชิ่งเฉียงไปที่นั่น แต่น้องสะใภ้สี่ไม่ตกลง” พี่ชายใหญ่บอก

พี่สาวรองถึงได้เข้าใจแต่หล่อนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ตอนที่หล่อนกลับไปที่บ้านแม่ในช่วงวันปีใหม่ พี่สาวใหญ่ได้เคยพูดให้ฟังแล้ว ถึงแม้หล่อนกับพี่สาวจะสนิทกันดี แต่หล่อนก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้

หล่อนรู้ว่าหลานชายคนนี้เป็นยังไง เขาไม่เหมาะที่จะไปดูแลร้านค้า ถ้าเขาไปมีเรื่องกับคนอื่นจะทำอย่างไร การทำธุรกิจเป็นเรื่องที่มีลักษณะพิเศษ ต้องใจเย็นไม่ขัดแย้งถึงจะร่ำรวยได้

“น้องชายใหญ่ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าชิงเหอจะตัดสินใจยังไงก็ให้เป็นไปตามนั้น ถ้าพี่สาวใหญ่คิดได้ก็ดี แต่ถ้าคิดไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ” พี่สาวรองตอบ

ถึงแม้ว่าพี่ชายใหญ่จะรู้สึกไม่ดี แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ จึงกลับไป

กังจือดีใจมาก “โจวหยางกับคนอื่นไปปักกิ่งเมื่อไหร่ ผมจะไปพร้อมกับพวกเขา!”

พี่สาวรองเตือน “ไปที่นั่นแล้วต้องตั้งใจทำงานนะ ถ้าแม่รู้ว่าลูกกล้าทำตัวขี้เกียจแล้ว…น้าสะใภ้จะต้องส่งลูกกลับมาอย่างแน่นอนที่สุด!”

หล่อนรู้เรื่องที่ลิ่วนีหลานสาวทางบ้านแม่ถูกส่งตัวกลับมา น้องสะใภ้จากบ้านแม่คนนี้ไม่ฝืนทนเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น

“ถ้าผมไปที่นั่นแล้ว ผมจะขยันทำงานให้หนักเลย น้าสะใภ้จะต้องไม่ส่งผมกลับมาอย่างแน่นอน” กังจือประกาศ

เขายังมีเรื่องกังวลใจบางอย่าง “ไม่รู้ว่าน้าสะใภ้จะให้ผมไปเรียนด้วยหรือเปล่า?”

เขาได้ยินจากพี่สามว่าตัวพี่สามกับเอ้อร์นีญาติผู้พี่ได้เข้าเรียนภาคค่ำ และคุณน้าสะใภ้ก็จะคอยตรวจดูความก้าวหน้าเรื่องการเรียนด้วย

พี่สาวรองหัวเราะขำพลางดุว่า “ลูกควรจะยิ้มดีใจที่น้าสะใภ้ยินดีจะสนับสนุนลูก ยังจะกล้ามากังวลอีกเหรอ?”

ถึงสะใภ้สี่จะเป็นคนตรง แต่กล่าวได้ว่าพี่สาวรองก็เข้าใจดี เธอไม่ได้เรียกร้องเงินแม้แต่เฟินเดียวในการฝึกฝนลูกชายของหล่อน และยังให้เขาไปเรียนภาคค่ำเพื่อเพิ่มพูนความรู้อีกด้วย นี่เป็นน้าสะใภ้ซึ่งนับว่าเป็นญาติที่สนิทสนมกันโดยแท้จริง

ไม่อย่างนั้น ใครจะยอมสิ้นเปลืองจ่ายเงินค่าเล่าเรียนให้โดยไม่ได้ประโยชน์อะไรและยังต้องลำบากคอยให้คำแนะนำอีก?

“เมื่อไปอยู่ที่นั่น ก็เชื่อฟังน้าสะใภ้นะ ถึงลูกจะถูกส่งให้ไปเรียน ลูกก็ต้องไปเรียน ที่นั่นเป็นเมืองใหญ่ ลูกจะก้าวหน้าขึ้นได้ยังไงถ้าไม่มีความรู้?” พี่สาวรองกล่าว

“ตกลงครับ” กังจือรับคำ

เขาก็คล้าย ๆ กับพี่สามของเขา นั่นคือได้เรียนถึงแค่ชั้นประถมปีที่ 3 เท่านั้น ตอนนี้พี่สามเรียนได้ดีมาก ดังนั้นเขาก็ไม่ควรจะแย่ไปกว่าพี่สาม

เรื่องอย่างนี้ไม่สามารถปิดบังกันได้ง่าย ๆ และก็เป็นไปไม่ได้ด้วย ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นพี่สาวรองจึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้พี่สาวใหญ่ฟังเอง

หล่อนยังหวังว่าพี่สาวใหญ่จะไม่เกิดปมขึ้นในใจ

แต่พี่สาวใหญ่จะไม่มีปมในใจได้ยังไง?

ในเมื่อสะใภ้สี่ยังมีความลำเอียงอยู่ กังจือไม่ได้บอกว่าอยากจะไป แต่เธอกลับโทรมาบอกให้เขาไป ในขณะที่เชิ่งเฉียงลูกชายของหล่อนต้องการไป เธอกลับไม่อนุญาต

………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เอ็นดูกังจือจังเลยค่ะ อยู่เมืองหลวงแล้วขยันทำงานนะหนู

พี่สาวรองไม่น่าบอกพี่เลยยย รู้สึกว่าพายุจะตั้งเค้าอย่างไรก็ไม่รู้สิคะ ตามดราม่านี้กันต่อไปนะคะผู้อ่านทุกท่าน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset