บทที่ 390 จ้าวจวิน

บทที่ 390 จ้าวจวิน

บทที่ 390 จ้าวจวิน

เมื่อโจวชิงไป๋และหลินชิงเหอกลับมาถึง พวกเขาก็ไปที่ร้านเกี๊ยวก่อน

เฒ่าหวัง โจวเฉวี่ยนและโจวกุยหลายต่างก็อยู่ที่ร้าน รวมทั้งคุณป้าหม่าด้วย มองจากภายนอกทุกอย่างดูปกติดี

ทว่าพอพวกเขาเห็นคู่สามีภรรยากลับมา โจวเฉวี่ยนและโจวกุยหลายก็มีสีหน้าเป็นทุกข์ขึ้นมา

เรื่องที่เกิดขึ้นใน 2-3 วันหลังมานี้ทำให้เด็กทั้ง 2 คนรู้สึกเหมือนตนเป็นคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย

ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนที่มีความสามารถขนาดไหน แต่คนที่โตกว่าอย่างโจวเฉวี่ยนก็ยังอายุแค่ 16 ปีเท่านั้นเอง

“กล้องตัวนี้เป็นของนำเข้าจากเยอรมันเลยนะ เห็นความประพฤติของลูกแล้ว ม้าเลยยอมกัดฟันซื้อมาให้” ตอนที่เพิ่งกลับมาถึง หลินชิงเหอยังไม่ได้สังเกตอะไรมากนัก เธอระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นเด็กทั้ง 2 คนหยิบกล้องออกมาจากถุง

ทว่ากระทั่งกล้องก็ยังไม่สามารถช่วยให้โจวกุยหลายปรับอารมณ์กลับมาคืนได้!

ทั้ง ๆ ที่มันคือสิ่งที่เขาใฝ่ฝันอยากได้

“ป๊า ม้า ต้องหิวกันแน่ ๆ เลย กินก่อนครับ” โจวเฉวี่ยนทำเกี๊ยวมาให้ 2 ถ้วยทั้งที่ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่

โจวชิงไป๋และหลินชิงเหอจึงเข้ามากิน

พวกเขาสังเกตเห็นความผิดปกติของลูก ๆ เฒ่าหวังและคุณป้าหม่า แต่ในเมื่อร้านก็ยังเปิดได้ตามปกติ เช่นนั้นคงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ใหญ่โตอะไรนัก

หลินชิงเหอถามขึ้นขณะที่กำลังรับประทานว่า “มีเรื่องอะไรเหรอจ๊ะ?”

“ป๊า ม้า กินกันก่อนเถอะครับ แล้วก็ไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำก่อน พอป๊ากับม้ากลับมาแล้ว พวกเราจะเล่าให้ฟัง” โจวกุยหลายอยากจะตอบ แต่โจวเฉวี่ยนพูดขัดขึ้นมาก่อน

เขารู้ว่าป๊ากับม้าคงจะเหนื่อยล้าจากการเดินทางกลับมา อีกทั้งเรื่องก็เกิดขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องเร่งรีบอะไร

“พูด!” โจวชิงไป๋ขมวดคิ้วมองไปที่เขา

“ป๊า ม้า พี่เชิ่งเหม่ยท้องครับ!” โจวกุยหลายไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้อีกจึงโพล่งข่าวที่น่าตกใจนี้ออกมา

ทั้งโจวชิงไป๋และหลินชิงเหอต่างก็ตื่นตะลึงไปทันที

เฒ่าหวังถอนใจออกมา ในขณะที่คุณป้าหม่าผู้ซึ่งกำลังล้างจานอยู่ก็นิ่งเงียบไป

“หมายความว่ายังไง? แน่ใจนะว่าลูกไม่ได้พูดอะไรผิด?” หลินชิงเหอวางช้อนลงแล้วหันไปพูดกับลูกชายคนเล็ก

“ไม่ผิดหรอกครับ พี่เชิ่งเหม่ยท้องได้ 1 เดือนแล้ว มีผลตรวจจากหมอแล้วด้วยครับ!” โจวกุยหลายตอบ

โจวชิงไป๋จ้องไปที่ลูกชายคนรอง

โจวเฉวี่ยนจึงกล่าวว่า “ป๊า ม้า กินก่อนเถอะนะครับ กินอิ่มแล้วค่อยไปที่บ้านคุณปู่คุณย่า”

หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋จึงกินกันอย่างรวดเร็ว หลังกินเสร็จ พวกเขาก็ขี่จักรยานตรงไปที่บ้าน อย่างไรก็ดี หลินชิงเหอให้โจวชิงไป๋แวะที่ร้านซาลาเปาของซูต้าหลินก่อน

ซูต้าหลินและโจวเสี่ยวเหมยกำลังวุ่นกันอยู่ในร้านซาลาเปา

เมื่อเห็นทั้ง 2 คนกลับมาแล้ว ก็ส่งเสียงทักทายอย่างยินดี “พี่สี่ พี่สะใภ้สี่ กลับมาสะที เพิ่งมาถึงหรือคะ? กินอะไรมาหรือยัง?”

“เรากินกันมาแล้วละ เพิ่งออกมาจากร้านเกี๊ยวน่ะ” หลินชิงเหอตอบ

“พี่สี่ พี่สะใภ้สี่ รู้เรื่องกันแล้วหรือคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถามขึ้น เมื่อได้ยินว่าพวกเขามาจากร้านเกี๊ยว

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” เมื่อนั่งลงแล้ว หลินชิงเหอก็เอ่ยออกมาตรงประเด็น

ซูต้าหลินไปทำงานต่อ ในขณะที่โจวเสี่ยวเหม่ยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง

เรื่อง ‘ดี ๆ’ เช่นนี้เกิดขึ้นเพราะแม่เฒ่าหูเพื่อนบ้าน ‘ผู้แสนดี’ ของท่านแม่โจว

แม่เฒ่าหูมีหลานชายจากครอบครัวทางบ้านแม่ของหล่อน ซึ่งก็คือครอบครัวตระกูลจ้าวที่ถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่มั่งคั่งและมีฐานะดีครอบครัวหนึ่งในเมืองหลวง

ในยุคนี้การได้มีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีย่อมเป็นเรื่องที่ดีมาก

และคนที่ทำให้สวี่เชิ่งเหม่ยท้องโตขึ้นมามีชื่อว่าจ้าวจวิน

ตอนนี้จ้าวจวินยังคงนอนอยู่ในโรงพยาบาล

เอ่อ…โจวเฉวี่ยนเป็นคนนำหู่จือและกังจือไปพร้อมกัน แล้วจับตัวจ้าวจวินมาซ้อมจนกระทั่งเขาต้องเข้าโรงพยาบาล

แม้กระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีคนในครอบครัวจ้าวกล้าโผล่หน้ามาเอาเรื่องคืนเลย

นั่นเป็นเพราะว่าไม่ได้มีแต่จ้าวจวินเพียงคนเดียวที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ท่านแม่โจวผู้ซึ่งไม่สามารถทนรับกับเรื่องนี้ได้ ถึงกับเป็นลมหมดสติไปเมื่อได้ทราบข่าว

นางต้องถูกส่งไปที่โรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนเช่นกัน

เรื่องนี้ทำให้แม่เฒ่าหูและครอบครัวตระกูลจ้าวรู้สึกกลัวขึ้นมา ท่านแม่โจวอายุค่อนข้างจะมากแล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา เรื่องนี้คงไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย

อย่าได้ปรามาสครอบครัวตระกูลโจวเพียงเพราะพวกเขามีทะเบียนบ้านต่างถิ่นและไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่นี่มากนัก ตอนนี้พวกเขาเป็นเจ้าของธุรกิจมากมายแล้ว!

และยิ่งเป็นเรื่องอย่างนี้แล้วด้วย ใครบ้างจะไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นฝ่ายผิด?

ดังนั้น เมื่อชายหนุ่มอย่างจ้าวจวินถูกกลุ่มเยาวชน 2-3 คน – โจวเฉวี่ยน หู่จือและกังจือ ซ้อมจนต้องเข้าโรงพยาบาล พวกเขาจึงไม่กล้าไปแจ้งความ

พวกเขายังต้องไปเยี่ยมอาการป่วยและขอขมาท่านแม่โจวอีกด้วย

“แม่อยู่ที่บ้าน ตอนนี้สบายดีแล้ว แต่ว่าเรื่องของเชิ่งเหม่ยไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้ง่าย ๆ เลย” โจวเสี่ยวเหมยถอนใจ

“จะยากอะไรล่ะ?” หลินชิงเหอแสยะยิ้มออกมา “หล่อนมีความสามารถจนท้องก่อนแต่งได้และยังใช้ร่างกายของตัวเองดึงตัวผู้ชายเอาไว้ ถ้างั้นหล่อนก็ควรต้องรับผลที่จะตามมาให้ได้ หล่อนอายุ 18 ปี ไม่ได้เป็นผู้เยาว์แล้ว”

ยังไม่ต้องพูดถึงจ้าวจวินในตอนนี้ แม้แต่ตัวสวี่เชิ่งเหม่ยเองก็ไม่ได้เป็นคนซื่อตรงอะไร เมื่อเป็นเช่นนั้น หล่อนมีคุณสมบัติอะไรที่จะมาร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น?

อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับคู่หมั้นของโจวซานนีอย่างหลี่อ้ายกั๋วแล้ว ผู้ชายที่ชื่อจ้าวจวินคนนี้ไม่ใช่คนที่ดีอะไร!

เขาทำให้หล่อนท้องก่อนที่จะแต่งงานกัน นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โตสำหรับคนรุ่นหลัง เธอรู้ดีว่าสังคมในอนาคตเปิดกว้างมากแค่ไหน ผู้หญิงหลาย ๆ คนเปลี่ยนแฟนที่อยู่กินด้วยกันแล้วเป็นว่าเล่น นี่เป็นเสรีภาพของพวกเขา คนอื่นไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปแสดงความเห็นในเรื่องนี้

ทว่า ในช่วงเวลานี้เป็นยุคของคนรุ่นหลังอย่างนั้นหรือ?

แม้ว่าช่วงเวลานี้มีการปฏิรูปประเทศและอยู่ในปี 1982 แล้วก็ตาม แต่สังคมโดยรวมยังคงไว้ซึ่งขนบประเพณีแบบเก่าอยู่มาก

แต่กระนั้นทั้งจ้าวจวินและสวี่เชิ่งเหม่ยกลับกล้าทำเรื่องเช่นนี้ขึ้น!

ถ้าหล่อนไม่ใช่หลานสาวของเธอ หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้แล้ว หลินชิงเหอจะไม่จำมันไว้อีกเลย แต่บังเอิญเป็นหลานสาวผู้ซึ่งเธอเป็นคนพามาที่นี่ด้วย

ใบหน้าของหลินชิงเหอบูดบึ้งไปหมดแล้ว

“พี่สะใภ้สี่ อย่าโมโหไปเลยค่ะ เรื่องนี้ไม่มีใครสามารถมาตำหนิพี่หรือพวกเราคนใดคนหนึ่งได้หรอกค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยบอก หล่อนจะไม่ไว้หน้าหลานสาวคนนี้อีกต่อไปแล้ว ช่างทำให้คนอื่นต้องรู้สึกผิดหวังจริง ๆ!

“แล้วครอบครัวจ้าวว่ายังไงบ้าง?” หลินชิงเหอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้น

“ครอบครัวจ้าวบอกว่าพวกเขาจะรับผิดชอบค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยตอบ

จนถึงตอนนี้ นี่ถือได้ว่าเป็นการปลอบขวัญเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามโจวเสี่ยวเหมยยังคงนิ่วหน้าอยู่อีกเล็กน้อย “ฉันไม่คิดว่าจ้าวจวินจะเป็นคู่ที่ดีได้หรอกค่ะ”

หลินชิงเหอยิ้มหยันอย่างเย็นชา “ในเมื่อหล่อน สวี่เชิ่งเหม่ยเป็นคนเลือกเขามาเอง ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ หล่อนก็ต้องยอมรับให้ได้!”

ถ้าเขารักสวี่เชิงเหม่ยจริง เขาจะทำลายชื่อเสียงของหล่อนเพียงเพราะความคิดเรื่องอย่างนั้นของตนเองอย่างนั้นหรือ? ชัดเจนว่าเขาแค่ไล่ตามสวี่เชิ่งเหม่ยเพียงเพราะรูปร่างหน้าตาของหล่อน

อายุแค่ 18 เท่านั้นแล้วยังเป็นคนที่สวยมาก ดังนั้นเขาจึงต้องขยับเดินเกมเช่นนี้ หรือว่าไม่จริง?

หากเขามีความจริงใจสักหน่อย เขาก็คงจะคิดอย่างถี่ถ้วนไปแล้ว ถ้าเขาต้องการจะแต่งงานกับหล่อนจริง ๆ เช่นนั้นก็ควรจะมาพูดจาสู่ขอให้เหมาะสม ครอบครัวตระกูลโจวก็คงจะไม่คัดค้าน เพราะสุดท้ายแล้วเท่ากับว่าสวี่เชิ่งเหม่ยกำลังจะได้แต่งเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง นี่เป็นการแต่งงานที่ก้าวสูงขึ้นไปอย่างแท้จริง ถ้าหล่อนมีโชคอย่างนั้นจริง ๆ ใครจะไปห้ามหล่อนกันเล่า?

แต่มาใช้วิธีการแบบนี้ ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายต้องอยู่ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สิ่งนี้เรียกว่ารักอย่างจริงใจหรือ? 9 ใน 10 ส่วน เขาคงคิดจะเล่น ๆ กับสวี่เชิ่งเหม่ยเท่านั้นเอง

โดยที่ไม่คาดคิดว่าท้องของสวี่เชิ่งเหม่ยจะมีความสามารถมากจนตั้งครรภ์ขึ้นมาได้!

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

วุ่นไปทั้งสองตระกูลเลยทีนี้ เพราะแก…นังแม่เฒ่าหู! อยากได้หลานสะใภ้จนตัวสั่น ทั้งที่รู้ว่าหลานชายตัวเองนิสัยอย่างไร เป็นไงล่ะ งามหน้าไหมทีนี้ /ทุบ/

เชิ่งเหม่ยก็ด้วย ถ้าเธอยังมีจิตสำนึกสักนิด เอ่ยปากปฏิเสธก็ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset