บทที่ 394 รับสมัครคนงาน

บทที่ 394 รับสมัครคนงาน

บทที่ 394 รับสมัครคนงาน

ในเวลาอันสั้น หลินชิงเหอก็ทำให้ท่านแม่โจวรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้ เมื่อเห็นอนาคตที่สดใสของครอบครัวตระกูลโจวแล้ว ท่านแม่โจวที่มีความหวังก็พลันมีพลังกระฉับกระเฉงขึ้น

นางถูกพาออกมาดูทีวีด้านนอก

สวี่เชิ่งเหม่ยก็ยังอยู่ในห้องนั่งเล่นเช่นกัน หล่อนรีบลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นพวกเขาเดินออกมา สีหน้าหล่อนดูเป็นกังวล

หลินชิงเหอไม่คิดว่าหล่อนจะรู้สึกกังวลอะไร กลับกัน เธอรู้สึกว่าที่หล่อนกล้าใช้วิธีการนี้เป็นเพราะได้คิดคำนวณมาอย่างดีแล้ว หล่อนแน่ใจว่าครอบครัวตระกูลโจวไม่สามารถจะทำอะไรหล่อนได้

ดังนั้น ท่าทางสงบเสงี่ยมในตอนนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าเป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้น

หลินชิงเหอไม่ได้เปิดโปงหล่อนเช่นกัน เมื่อเรื่องเป็นอย่างนี้แล้ว จะมีประโยชน์อะไรที่จะไปตามเอาเรื่องอีก? แต่งงานออกไปซะและจบเรื่องนี้ไปเถอะ

ท่านแม่โจวไม่สนใจสวี่เชิ่งเหม่ย นางเดินไปคุยกับโจวชิงไป๋ ลูกชายคนเล็กของนาง

หลังจากนั่งอยู่กับท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวสักพัก หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋จึงพากันกลับบ้าน

ก่อนจะออกไป หลินชิงเหอพูดกับสวี่เชิ่งเหม่ย “ระหว่างนี้หนูก็อยู่กับคุณยายของหนูที่นี่ ส่วนค่าจ้างและส่วนที่เหลือจะจัดการให้ตามจำนวนวันที่ไปทำงาน จากนี้หนูไม่ต้องไปทำงานอีกแล้ว ไม่มีเงินเดือนให้”

“พรุ่งนี้หนูจะไปทำงานค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยตอบ

“ทางเราไม่ต้องการหนูแล้ว อยู่รอจ้าวจวินมาพาหนูกลับบ้านไปพบคุณพ่อคุณแม่ของหนูเถอะ” หลินชิงเหอพูดจบก็ไม่สนใจหล่อนอีกต่อไป

3 วันหลังจากที่หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋กลับมาถึง สวี่เชิ่งเหม่ยและจ้าวจวินก็ออกเดินทางไปพบพี่สาวใหญ่และสามี

เรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับหลินชิงเหออีกต่อไป

แม้ว่าเรื่องจะคลี่คลายไปแล้วในตอนนี้ แต่โจวเสี่ยวเหมยยังคงรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ เมื่อหล่อนไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำพร้อมกับหลินชิงเหอ จึงอดพูดออกมาไม่ได้ “พี่คิดว่าหล่อนทำแบบนี้เพราะมีเป้าหมายอะไรคะ? ทั้งที่คนแบบนี้ไม่ใช่คนที่ควรจะแต่งงานด้วยชัด ๆ”

“ทะเบียนบ้านในเมืองหลวง ชีวิตในเมืองหลวงไงล่ะ” หลินชิงเหอสรุปสั้น ๆ

หล่อนมาที่นี่และได้เห็นความเจริญของเมืองใหญ่ จากนั้นก็ไม่สามารถจะทนรับความยากจนในบ้านเกิดได้ หลินชิงเหอเข้าใจในเรื่องนี้ดี

นี่เป็นความคิดที่ปกติมาก สถานที่ที่รุ่งเรืองอย่างนี้ ใครบ้างจะไม่อยากอยู่?

ทว่า หากต้องการจะอยู่ในสถานที่เช่นนี้ สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่เรื่องของคำพูด แต่จำเป็นต้องใช้ความพยายามและหยาดเหงื่อให้มากขึ้น

และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมหลินชิงเหอถึงได้ต้องการฝึกฝนพวกเขา แม้จะอยู่ในยุคของปี 1980 คุณสมบัติด้านการศึกษาก็ต้องยกระดับขึ้นมาให้ได้

แต่สวี่เชิ่งเหม่ยเป็นคนประเภทไหนกันเล่า?

พูดตรง ๆ คือ หล่อนต้องการจะนั่งอยู่เฉย ๆ แล้วได้รับผลประโยชน์แบบสบาย ๆ ถ้าพูดแบบขวานผ่าซากเลยก็คือ หล่อนเป็นคนขี้เกียจ

ดังนั้น เพื่อที่จะได้อยู่ในปักกิ่ง การหาผู้ชายสักคนที่นี่และแต่งงานด้วยคือวิธีการที่ดีที่สุดของหล่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครอบครัวจ้าวมีฐานะค่อนข้างดี เช่นนี้แล้วไม่ใช่ว่าหล่อนกับจ้าวจวินก็เหม็นเน่าเหมือนกันหรอกหรือ? ชะตาต้องกันดีเหลือเกิน?

“ดูจากการที่จ้าวจวินถ่วงเวลาแล้ว ต่อไปวันหน้าคงจะมีความขัดแย้งขึ้นอีกเยอะเลยนะคะ” โจวเสี่ยวเหม่ยตั้งข้อสังเกต

อาการบาดเจ็บของเขาไม่ได้ร้ายแรงอะไร การที่เขาดึงเวลาในการเดินทางออกไป ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ? เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจ

แต่เพราะสวี่เชิ่งเหม่ยตั้งครรภ์อยู่ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ เขาทำได้แค่ต้องยอมรับมัน และด้วยแรงกดดันจากคุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าว ทำให้เขาต้องเดินทางไปกับสวี่เชิ่งเหม่ย

หลินชิงเหอไม่ได้ออกความเห็นอะไร

“ฉันคิดว่าจริง ๆ แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ของเขาก็ดูใช้ได้นะคะ” โจวเสี่ยวเหม่ยกล่าว

หลินชิงเหอหัวเราะออกมาเบา ๆ จวบจนถึงตอนนี้ท่าทีของคุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวที่แสดงออกมานั้นดีมาก แต่มีภูตผีปีศาจอยู่มากมายบนโลกใบนี้

ในชาติก่อน เธอเคยได้ยินเพื่อนร่วมงานคุยถึงเรื่องแม่สามี

ตอนที่ยังไม่ได้แต่งงาน แม่สามีดีกับหล่อนมาก ปฏิบัติต่อหล่อนราวกับเป็นลูกสาวแท้ ๆ เป็นแม่สามีชนิดที่หาได้ยากในโลกใบนี้

แต่เมื่อหล่อนแต่งเข้าไปแล้ว แทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย

ดังนั้นพวกเขาจะดีหรือไม่ ต้องมาคุยกันอีกทีภายหลัง อย่างไรก็ดี เรื่องทั้งหมดเหล่านี้เป็นเรื่องที่สวี่เชิ่งเหม่ยจะต้องเผชิญเอง หลินชิงเหอไม่สนใจ

จากนั้นเธอจึงเล่าเรื่องโจวซานนีให้โจวเสี่ยวเหม่ยฟัง

หลังจากได้ยินเรื่องนี้ โจวเสี่ยวเหมยก็เบ้ปากพร้อมแสดงความเห็นว่า “ชีวิตของซานนีต้องพังลงก็เพราะเกิดมาจากท้องของพี่สะใภ้รองนี่ละค่ะ”

หลินชิงเหอกล่าวว่า “เขาดูเป็นคนดีคนหนึ่งเลยนะ อนาคตของหล่อนไม่น่าจะแย่จนเกินไป”

ตอนที่เธอกลับไปหนนี้ เธอไม่ได้คุยกับสะใภ้รองเลยแม้สักคำเดียวเพื่อตัดปัญหา

แต่เธอได้เห็นโจวลิ่วนีผู้ซึ่งยิ่งโต ก็ยิ่งดูเป็นคนเจ้าเล่ห์คดโกง สะใภ้ใหญ่ถึงกับถอนใจส่ายหน้าเมื่อพูดถึงหล่อน

หลินชิงเหอคาดการณ์ว่าในอนาคต โจวลิ่วนีก็คงจะแสดงละครเหมือนอย่างสวี่เชิ่งเหม่ยเช่นกัน สายตาของหล่อนหลุกหลิกตลอดเวลา แค่มองดูก็รู้แล้วว่าหล่อนไม่ใช่คนสำรวม

หลินชิงเหอไม่อยากจะมาทุกข์ร้อนขบคิดถึงปัญหาเหล่านี้อีก หลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอและโจวเสี่ยวเหมยก็แยกย้ายกันกลับบ้าน จากนั้นหลินชิงเหอจึงเริ่มมาทำบัญชี

พวกเขาจากบ้านไปนานมากกว่า 1 เดือน เธอเพิ่งจะหาเวลาว่างมาจัดการทำบัญชีได้ในตอนนี้

หลังจากตรวจบัญชีแล้วเธอสังเกตเห็นว่ายอดในสมุดบัญชีไม่ตรงกัน เป็นบัญชีของศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้า จำนวนสินค้าที่ได้รับไม่ตรงกันกับจำนวนสินค้าที่ถูกส่งออกไป

หลินชิงเหอจึงเรียกหม่าเฉิงหมินให้มาหา

พอเขาได้ยินว่ายอดในสมุดบัญชีไม่ตรงกัน หม่าเฉิงหมินรู้สึกตกใจมาก และรีบนำเอาสมุดบัญชีไปตรวจสอบดู

“ผ้าและผ้าซาตินที่ซื้อในเดือนที่แล้วควรจะผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปออกมาได้ประมาณ 3,000 ตัว แต่ทำไมสุดท้ายถึงผลิตออกมาได้แค่ 2,880 ตัวเท่านั้นเองคะ?” หลินชิงเหอถาม

เธอไม่ได้เข้าไปคุมงานอย่างใกล้ชิดอีกแล้ว แต่กระนั้นเธอก็ยังรู้จำนวนที่ชัดเจนของเสื้อผ้าที่จะต้องถูกผลิตออกมาจากจำนวนผ้าที่มี นี่ไม่ใช่ปีแรกที่เธอเป็นเจ้าของศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งนี้

“หะ” หม่าเฉิงหมินมีสีหน้าเคร่งขรึมพลางกล่าวว่า “ขอเวลาให้ผมสักหน่อยนะครับ”

หลินชิงเหอชายตามองไปที่เขาแล้วพยักหน้า

หม่าเฉิงหมินรีบขี่จักรยานไปที่ศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้า เขาตรวจบัญชีของร้านเสื้อผ้าผู้หญิงและร้านเสื้อผ้าผู้ชายผ่านตาอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งหลังเวลา 3 ทุ่ม เขาถึงได้กลับมาเคาะประตูห้อง

ใบหน้าของเขาแสดงความโล่งใจและขออภัย “เป็นความผิดพลาดในการจดบัญชีครับ แต่กำไรยังไม่ได้หายไป ตัวเลขตรงกันแล้วครับ”

หลินชิงเหอได้เห็นสมุดบัญชีแล้ว จำนวนเงินถูกต้อง เนื่องจากราคาสินค้าถูกกำหนดไว้ตายตัว ไม่สามารถต่อรองราคาได้ และเห็นได้ชัดเจนว่าจะได้รับเสื้อผ้าทั้งหมดกี่ตัว

เงินในบัญชีไม่ได้ขาด แต่มีเสื้อผ้าหายไปมากกว่า 20 ตัวในสมุดบัญชี ดังนั้นหลินชิงเหอถึงได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

เธอเชื่อว่าหม่าเฉิงหมินจดบัญชีผิดพลาดโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ใช่ตั้งใจทำเพื่อที่จะทดสอบความอดทนของเธอ

“ต่อไปลงบันทึกให้ถูกต้องด้วยนะคะ” หลินชิงเหอพยักหน้าให้หลังจากที่ตรวจดูบันทึกของเขาแล้ว

“ครับ!” หม่าเฉิงหมินก็รู้สึกโล่งใจมาก ความผิดพลาดครั้งนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย

“เฉิงหยางกับเฉิงเยว่ไม่เลวเลย ฉันจะขึ้นเงินเดือนให้พวกเขานะคะ” หลินชิงเหอแจ้ง

“ตกลงครับ” หม่าเฉิงหมินดีใจมากเมื่อได้ยิน

เนื่องจากดึกแล้ว และพรุ่งนี้หลินชิงเหอก็มีสอน หม่าเฉิงหมินจึงอยู่ไม่นานนัก เขากลับไปหลังจากนั่งได้สักพัก

“เราจะคืนเงินที่ติดหนี้คุณลุงหวังไว้ตอนปลายปีนี้นะคะ” หลินชิงเหอบอกกับโจวชิงไป๋

“ตกลงครับ” โจงชิงไป๋ไม่คัดค้านอะไร เขาหยิบเอาสมุดบัญชีไปดูแล้วกล่าวว่า “ดูดีทีเดียว”

หลินชิงเหอพยักหน้ารับ ตอนที่เธอกำลังจะเอ่ยปากพูด หู่จือและกังจือก็กลับมาพอดี

ชั้นเรียนภาคค่ำเลิกตอน 3 ทุ่ม พวกเขาจะกลับมาถึงบ้านตอนเวลา 3 ทุ่มครึ่งเสมอ

ทั้ง 2 คนจะไปส่งโจวเอ้อร์นีที่ร้านเกี๊ยวก่อนที่จะกลับมาพักผ่อน

และตอนนี้หลินชิงเหอก็เริ่มเปิดรับสมัครคนงานแล้ว เฉิงเยว่มาช่วยงานเอ้อร์นีที่ร้านเสื้อผ้าสตรี ในขณะที่หู่จือไปช่วยงานที่ร้านเครื่องดื่ม

กระนั้น คนงานก็ยังไม่พออยู่ดี ดังนั้นหลินชิงเหอจึงวางแผนที่รับสมัครเพิ่มอีก 1 คน

………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ในเมื่อหวังรวยทางลัดโดยทำคนอื่นเดือดร้อน เธอก็จงรับผลการกระทำของเธอไปเถอะเชิ่งเหม่ย สักวันเธอจะต้องร้องไห้คร่ำครวญกับโชคชะตาที่เธอเลือกเอง

ตอนแรกใจหายวาบ นึกว่าแม่โดนตุกติกบัญชี แต่ปรากฏเป็นแค่ความผิดพลาดก็โล่งใจค่ะ

ใครจะได้ตำแหน่งงานที่เหลืออยู่กันนะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset