บทที่ 395 ลูกเขยจากปักกิ่ง
ครั้งนี้หม่าเฉิงหมินแนะนำคนมาให้ เขาเสนอมาในนามของแม่เฒ่าสวีซึ่งเป็นผู้จัดการศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้า คนที่แนะนำมานี้เป็นหลานสาวคนโตของแม่เฒ่าสวีเอง
หล่อนอายุ 17 ปีในปีนี้ และช่วยทำงานอยู่ที่บ้าน นับว่าก็เป็นคนที่ดี
หลินชิงเหอเคยเห็นหล่อนมาแล้ว แม้ว่าหล่อนจะดูเรียบ ๆ แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นคนทำงานคล่องแคล่ว หน้าตายิ้มแย้มรับแขก
ดังนั้นเมื่อแม่เฒ่าสวีเอ่ยปากขึ้น หลินชิงเหอจึงขอให้หล่อนพาหลานสาวมาหา
ครอบครัวทางสามีของแม่เฒ่าสวีคือสกุลเฉิน และหลานสาวที่พามามีชื่อว่าเฉินซานซาน
แม้ว่าชื่อจะบ่งบอกถึงความบอบบางอยู่บ้าง(1) ทว่าหลินชิงเหอสังเกตเห็นผิวหนังที่มือของหล่อนมีรอยด้านอยู่หลายจุด ซึ่งชี้ชัดเห็นว่าเป็นคนที่สามารถทำงานได้
“เธอยังเป็นคนใหม่ ดังนั้นแน่นอนว่าเงินเดือนจะได้ไม่เท่าคนงานเก่า ฉันให้เงินเดือนเธอได้แค่ 30 หยวนต่อเดือน จากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเธอเอง ถ้าเธอทำงานดีก็จะได้เงินเดือนขึ้นอย่างแน่นอน” หลินชิงเหอมองไปที่หล่อน
เฉินซานซานตัวไม่สูงมากนัก ประมาณ 160 เซนติเมตร หล่อนไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนัก แต่พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ฉันทราบค่ะ แม่ของฉันบอกไว้แล้วตอนที่มา”
คุณแม่ของหล่อนคือหลี่อวี้เฟิง ผู้ซึ่งทำงานอยู่กับแม่เฒ่าสวีแม่สามี คนหนึ่งดูแลในกะช่วงเวลากลางคืน และอีกคนดูแลกะช่วงเวลากลางวัน
หลินชิงเหอพยักหน้าด้วยความพอใจ
ฉะนั้นเฉินซานซานจึงถูกจัดให้ไปอยู่ที่ร้านเสื้อผ้ากับโจวเอ้อร์นี
แต่งานที่ทำยังไม่ตายตัว หลินชิงเหอให้โจวเอ้อร์นีและเฉิงเยว่สลับงานกันเป็นครั้งคราว โดยให้เฉิงเยว่ไปดูแลร้านเสื้อผ้าและโจวเอ้อร์นีมาดูแลร้านเครื่องดื่ม
เธอยังให้หู่จือหรือกังจือไปทำที่ร้านเครื่องดื่มด้วย แน่นอนว่าไม่บ่อยนัก แค่เปลี่ยนหน้าที่เป็นบางโอกาส
ตอนปลายเดือนกันยายน สวี่เชิ่งเหมยและจ้าวจวินก็กลับมา โดยมีพี่สาวใหญ่และครอบครัวของหล่อนเดินทางมาด้วย
มากันทั้งครอบครัวเลย
เมื่อได้เห็น หลินชิงเหอก็รู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา ตอนนี้เป็นช่วงเวลาไหนของปีกัน? การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะเริ่มในไม่ช้านี้แล้ว เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของปีสำหรับครอบครัวที่ทำการเกษตร เธอไม่คิดว่าพวกเขาจะมากันหมดทุกคน
ดูเหมือนว่าการแต่งงานครั้งนี้สำคัญมากจริง ๆ
มันก็ไม่น่าประหลาดใจนัก พวกเขาได้ลูกเขยจากปักกิ่ง จะไม่มาร่วมสัมผัสกับความโชคดีนี้ได้อย่างไรกันล่ะ?
หลินชิงเหอไม่สนใจที่จะมาต้อนรับหล่อน เธอแสดงท่าทีที่ไม่อบอุ่นหรือเย็นชา พวกเขาก็น่าจะสังเกตเห็นท่าทีของเธอ ด้วยเหตุนี้พี่สาวใหญ่จึงไม่ได้เข้ามาใกล้เธอเช่นกัน
พวกเขาทั้งหมดไปเบียดรวมกันอยู่ที่บ้านของท่านพ่อโจวและท่านแม่โจว
ท่านแม่โจวไม่ได้ดุด่าหลานสาวของนางมากนักก็จริง แต่กับลูกสาวคนโตแล้ว นางไม่ทนเก็บไว้เลย
พี่สาวใหญ่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากการถูกด่าเลย หล่อนยังรู้สึกเศร้าอยู่นิดหน่อยพลางกล่าวว่า “แม่คะ หนูรู้ว่าเชิ่งเหม่ยทำตัวไม่ดี แต่ตอนนี้หล่อนก็กำลังจะแต่งงาน…”
“นี่คิดถึงแค่เรื่องการแต่งงานอย่างนั้นเหรอ? ถ้านี่เป็นที่หมู่บ้าน อย่าหวังว่าจะได้โงหัวขึ้นมาอีกเลยไปตลอดชีวิต ถ้าเป็นแต่ก่อนนี้ดูสิว่าหล่อนจะถูกลากตัวออกไปประจานหรือเปล่าที่ปล่อยตัวง่ายอย่างนี้!” ท่านแม่โจวประณาม
“นี่ไม่ใช่เมื่อก่อนแล้วนี่ค่ะ ตอนนี้ปฏิรูปแล้ว” พี่สาวใหญ่ตอบเสียงแผ่ว
“นี่ยังหาเหตุผลมาได้อีกเหรอ? ตอนที่หล่อนทำเรื่องที่ทำลายชื่อเสียงของครอบครัวอย่างนี้ขึ้นมา หล่อนเคยคิดถึงครอบครัวตระกูลโจวบ้างหรือเปล่า? น้าสะใภ้อุตส่าห์พาหล่อนมาทำงานที่นี่ แล้วหล่อนล่ะ? หล่อนปิดบังเรื่องจากพวกเราทุกคน ไม่เพียงแต่แอบไปอยู่กับคนอื่น แต่ยังท้องขึ้นมาอีก!” ท่านแม่โจวระเบิดออกมา
“ในเมื่อน้องสะใภ้สี่เป็นคนพาเชิ่งเหม่ยมาที่นี่ หนูก็ปล่อยให้หล่อนอยู่ในความดูแลของน้องสะใภ้สี่แล้วนี่ค่ะ ใครจะไปคิดว่าเรื่องอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้?” พี่สาวใหญ่เบือนหน้าหนี
ท่านแม่โจวอยากจะตบหน้าหล่อนอย่างแรง นางจ้องหน้าหล่อน “แกยังมีจิตสำนึกอยู่ไหม? สะใภ้สี่พาหล่อนมาที่นี่ แถมยังให้อาหาร เสื้อผ้า ที่พักแล้วก็ของใช้ในชีวิตประจำวันอย่างดีกับหล่อน แบบที่บ้านแกไม่สามารถจะหามาให้ได้ แล้วยังจ่ายเงินเดือนให้อีกตั้งเยอะ ถ้าเอาตามที่ฉันคิด หล่อนไม่ควรต้องจ่ายเงินให้แม้แต่เฟินเดียว เป็นเรื่องปกติที่หลานสาวควรจะต้องทำงานให้กับน้าสะใภ้อยู่แล้ว!”
ท่านแม่โจวไม่ได้พูดเล่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางคิดอย่างนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว นางไม่สามารถทนเห็นลูกชายคนสุดท้องต้องจ่ายเงินเดือนที่มากขนาดนี้ออกไปได้
แต่เป็นสะใภ้สี่ที่พูดว่าจะให้ ดังนั้นจึงต้องให้ นางจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
“จากบ้านเกิดหล่อนถูกพามาที่เมืองใหญ่อย่างปักกิ่ง ทุกอย่างที่ให้หล่อนไปล้วนแต่เป็นของดี ทุกวันหล่อนแค่เฝ้าร้านโดยที่ไม่ได้ลำบากอะไรเลย ดีกว่าอยู่ที่ชนบทตั้งไม่รู้กี่เท่า ตอนนี้แกกลับมาพูดว่าที่หล่อนเป็นอย่างนี้เพราะสะใภ้สี่พาหล่อนมาที่นี่อย่างนั้นเหรอ!?” ท่านแม่โจวจ้องหน้าเขม็งไปที่ลูกสาวคนโตของนาง “อย่าลืมว่าในตอนนั้นเป็นแกที่ส่งลูกสาวแสนดีของแกมาที่บ้านครอบครัวโจว และอ้อนวอนสะใภ้สี่ให้พาหล่อนมาด้วย แต่แรกสะใภ้สี่ตั้งใจจะพาเอ้อร์นีมาคนเดียวเท่านั้น!”
พี่สาวใหญ่เลิกอวดเก่ง แล้วกล่าวแค่ว่า “แม่คะ หนูรู้ว่าเรื่องนี้เชิ่งเหม่ยทำผิด แต่เรื่องก็เป็นอย่างนี้ไปแล้ว แม่ไม่เห็นน้องสะใภ้สี่นี่คะ หล่อนไม่ไว้หน้าพวกเราเลย”
จากนั้นหล่อนก็เริ่มบ่นคร่ำครวญ
ความจริง พี่สาวใหญ่ไม่เต็มใจจะยอมรับความพ่ายแพ้ หล่อนเป็นพี่คนโตของครอบครัวตระกูลโจว น้องสะใภ้คนอื่นอีก 3 คนล้วนแล้วแต่เคารพหล่อน มีเพียงสะใภ้สี่คนเดียวที่ไม่เห็นหล่อนอยู่ในสายตา
ครั้งนี้ยิ่งหนักกว่าเดิม เมื่อเห็นครอบครัวของหล่อนเดินทางมาไกล เธอกลับไม่เป็นเจ้าบ้านต้อนรับพวกเขา เธอเอ่ยเรียกทักทายเพียงแค่คำเดียวเท่านั้นจบ
ไม่ต้อนรับขับสู้ใด ๆ ทั้งสิ้น เธอไม่ชอบครอบครัวของหล่อนมากขนาดไหนกัน?
ไม่ใช่ว่าน้องชายสี่ของหล่อนที่เพิ่งกลับไปปีนี้ได้มาถามหล่อนหรอกหรือ ว่าหล่อนต้องการมาหาความก้าวหน้าที่ปักกิ่งหรือไม่?
น้องชายสี่ผู้ซึ่งแต่เดิมเคยดี หลังจากที่ได้แต่งไปกับภรรยาคนนี้ กลับเรียนรู้ที่จะทำตัวปากว่าตาขยิบ ครอบครัวของหล่อนมาที่นี่ เขาไม่แม้แต่จะหาน้ำร้อนมาให้ดื่ม ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่นี่กัน เคยมาสนใจอะไรบ้างไหม?
หล่อนเคยคิดว่าสะใภ้สี่คนนี้ไม่ดี ทว่าตอนนี้พอเธอกลายเป็นคนที่มีความสามารถมากขึ้น ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าเธอยิ่งเลวร้ายกว่าเดิมเสียอีก
ครั้งนี้เมื่อตอนที่สวี่เชิ่งเหม่ยกลับไปที่บ้าน หล่อนก็ไปร้องไห้กับแม่ของหล่อนตามลำพัง แล้วเล่าให้ฟังว่า คุณน้าสะใภ้ลำเอียงไปทางหู่จือ เอ้อร์นีและคนอื่น ในขณะที่ปฏิบัติกับหล่อนไม่ค่อยดีนัก แล้วยังอยากจะไล่หล่อนกลับอีกด้วย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมหล่อนถึงได้หลงผิดไปชั่วขณะและทำเรื่องที่ใจเร็วด่วนได้เช่นนี้
ดังนั้นในความเห็นของพี่สาวใหญ่ สะใภ้สี่กล้าพูดว่าตัวเธอไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อย่างนั้นหรือ?
ท่านแม่โจวไม่รู้ความคิดของหล่อน ถ้านางรู้ นางคงจะตบหน้าหล่อนไปฉาดใหญ่แบบไม่ยั้งอย่างแน่นอน
ทว่าเมื่อนางได้ยินคำพูดของพี่สาวใหญ่ นางก็ไม่เห็นด้วย “หล่อนมีความตั้งใจดี แต่กลับเลี้ยงหมาป่าตาขาวที่ทำลายชื่อเสียงของครอบครัวตระกูลโจวขึ้นมา ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงสะใภ้สี่อีก หลังเสร็จจากงานแต่งงานแล้ว ให้หล่อนไปใช้ชีวิตให้ดี แล้วก็ไม่ต้องมาที่นี่บ่อย ๆ ด้วย”
พี่สาวใหญ่หน้าเปลี่ยนสีแล้วรีบพูดขึ้นว่า “แม่คะ พวกเราลืมเรื่องเกี่ยวกับทางสะใภ้สี่ไปก็ได้ค่ะ แต่แม่จะทิ้งหล่อนไว้ตามลำพังไม่ได้นะคะ นี่เป็นหลานสาวของแม่นะคะ!”
ครอบครัวหล่อนมาที่นี่ก็จริง แต่เมื่องานแต่งงานเสร็จสิ้นลงแล้ว พวกหล่อนก็ต้องกลับไปบ้านเกิดเป็นธรรมดา ในอนาคตลูกสาวจะต้องอยู่ที่นี่ตามลำพัง ไม่ใช่ว่าเหลือแค่ครอบครัวทางบ้านแม่ของหล่อนที่จะช่วยดูแลลูกสาวหล่อนได้หรือ?
ลูกเขยคนนี้ไม่พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้มาก ตอนที่เดินทางไปถึงบ้านเกิดของพวกเขา เขาแสดงความรังเกียจบ้านที่นั่นมาก แถมยังดูถูกสิ่งนี้ดูถูกสิ่งนั้นไปเสียทุกอย่าง
แต่หล่อนก็ยังต้องเดินทางมาพร้อมกันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ถึงอย่างไร นี่คือลูกเขยนายน้อยจากปักกิ่ง แล้วจะไม่ต้อนรับด้วยรอยยิ้มได้อย่างไร?
แต่ไม่ว่าหล่อนจะต้อนรับขับสู้เขาอย่างไร ลูกเขยคนนี้ก็ไม่ชอบบ้านของพวกเขาจริง ๆ ในอนาคตครอบครัวหล่อนไม่สามารถช่วยเหลือชีวิตแต่งงานของลูกสาวได้ ดังนั้นหล่อนจึงต้องการการดูแลจากทางด้านบ้านแม่ของหล่อน
………………………………………………………………………………….
(1)ซาน หมายถึง เนิบนาบ กรีดกราย
สารจากผู้แปล
มีใครรู้สึกหัวร้อนกับพี่สาวใหญ่ไหมคะ? อารมณ์มนุษย์ป้าที่ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิดเลยค่ะ ให้เดาว่าที่เชิ่งเหม่ยเป็นงูพิษแบบนี้ก็เพราะส่วนหนึ่งมาจากพี่สาวใหญ่นี่แหละค่ะที่สนับสนุนลูกในทางที่ผิด ไม่รู้ตอนอยู่ที่บ้านเสี้ยมอะไรลูกไว้บ้าง
ไหหม่า(海馬)