บทที่ 411 นั่งบนตั่งเย็น

บทที่ 411 นั่งบนตั่งเย็น

บทที่ 411 นั่งบนตั่งเย็น

โจวข่ายที่กำลังฉลองวันปีใหม่ในหอพักนักศึกษาทหารและไม่รู้บทบาทสำคัญของตัวเองเลย ก็เกิดความรู้สึกคิดถึงบ้านขึ้นมานิดหน่อย

นับตั้งแต่ที่เขาโตขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ร่วมฉลองปีใหม่กับครอบครัวแต่ใช้ช่วงเวลานี้กับโลกภายนอก มันช่างหนาวเหน็บและเหงาหงอยเล็กน้อยจริง ๆ

“เป็นอะไรไป? คิดถึงบ้านเหรอ?” หนึ่งในเพื่อนร่วมหอหัวเราะ

“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันไม่ได้ฉลองปีใหม่ที่บ้าน” โจวข่ายตอบ

“มาเถอะ เราไปบ้านของอาจารย์ใหญ่กัน” เพื่อนร่วมหอเสนอ

“ไม่ไปหรอก นายไปเองเถอะ” เดิมทีโจวข่ายอยากจะตามไปด้วย แต่ด้วยเหตุผลอะไรไม่อาจทราบได้ เขาก็ส่ายหน้า

“ทำไมไม่อยากไปล่ะ? อาจารย์ใหญ่บอกให้ฉันพานายไปด้วยนะ” เพื่อนร่วมหอถาม

“บอกไปว่าฉันไม่สบายก็พอ” โจวข่ายโบกมือ จากนั้นก็เดินกลับเข้าห้อง

ความจริงแล้วเขาอยากไปที่นั่นเพื่อทานซุปร้อน ๆ สักคำ แต่ภรรยาของอาจารย์ใหญ่ดูจะเป็นมิตรเกินไปหน่อย เขาจึงไม่อยากไปที่นั่นมากนัก

“หรือนายกังวลว่าอาจารย์ใหญ่จะแนะนำลูกสาวให้งั้นเหรอ?” เพื่อนร่วมหอหัวเราะ

“ไปไกล ๆ เลย” โจวข่ายเหวี่ยงเตะใส่

“ฉันว่านะ หล่อนก็สวยอยู่นา ต่อให้จะดื้อไปหน่อยก็ไม่เลวนักหรอก ท่าทางอย่างนั้นมันอะไรกันล่ะ? อีกอย่างหนึ่งหล่อนก็อายุสิบเก้า ไม่ได้เด็กแล้วด้วย” เพื่อนของเขาเอ่ยต่อ

โจวข่ายไม่อยากตอบอะไรเขาเลย

ส่วนหลินชิงเหอที่ยังไม่รับรู้สถานการณ์ที่ลูกชายคนโตกำลังเผชิญก็ยังอยู่ในห้วงความสุขในช่วงปีใหม่

ปีใหม่ บรรยากาศใหม่ ๆ ทุกอย่างเป็นไปได้สวยทีเดียว

แต่หลังจากมีวันดี ๆ หลายวันแล้ว ก็มักจะมีใครบางคนอดไม่ไหวที่จะออกมาก่อความวุ่นวาย อย่างเช่นสวี่เชิ่งเหม่ยหลานสาวของพวกเขาเป็นต้น

หลินชิงเหอไม่อยากเห็นหน้าหล่อนอีกต่อไปเลยจริง ๆ เธอไม่แม้แต่ไปร่วมงานแต่งงานของหล่อน เห็นแบบนี้แล้วยังไม่รู้ชัดอีกเหรอ?

แต่สวี่เชิ่งเหม่ยก็ยังเป็นฝ่ายเสนอหน้ามา ต่อให้คนอื่นจะไม่ชอบขี้หน้าก็ตาม

เธอไม่รู้มาก่อนเลยว่าหล่อนมีนิสัยแบบนี้ คนที่มีสภาพจิตใจแบบนี้ช่างรับมือได้ยากยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหล่อนถึงกล้าทำเรื่องแบบนั้นลับหลังผู้ใหญ่หลายคน จะถือว่าหล่อนเป็นคนปกติได้อย่างไร?

“คุณน้า คุณน้าสะใภ้ จ้าวจวินนำของสิ่งนี้มาจากที่บ้านโดยเฉพาะน่ะค่ะ ทั้งสองขวดนี้เป็นเหล้าชั้นดีเลยนะคะ” สวี่เชิ่งเหม่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม

“ในสภาพอากาศหนาวเหน็บพื้นเต็มไปด้วยหิมะแบบนี้เธอควรจะอยู่ที่บ้านนะ เธอกำลังท้องอยู่ด้วย” หลินชิงเหอเอ่ยขณะเหลือบมองคนทั้งสอง ในที่สุดก็จับจ้องที่สวี่เชิ่งเหม่ย วันนี้เป็นวันปีใหม่ เธอจึงไม่อยากกวนตะกอนให้ขุ่น

“เช้าวันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายตอนที่ตื่นขึ้นมาน่ะค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็เป็นสิ่งที่เราควรทำ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลยค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยยิ้ม “ยิ่งกว่านั้นเราน่าจะมาที่นี่ในวันที่สอง แต่ที่บ้านก็มีแขกมากมาย แม่สามีของฉันเองก็ต้องการแนะนำฉันกับญาติ ๆ ฉันก็เลยหาเวลามาไม่ได้น่ะค่ะ”

“งั้นก็อย่าฝืนตัวเองแบบนี้เลย” หลินชิงเหอตอบขณะพาพวกเขาไปนั่งที่โซฟา จากนั้นก็เอ่ยถาม “เชิ่งเหม่ยดื่มชาไม่ได้ ไปทำน้ำผสมน้ำผึ้งมาให้พี่เชิ่งเหม่ยเถอะ แล้วจ้าวจวินล่ะอยากจะดื่มชาอะไร?”

“ชาเขียวครับ” เห็นความอัธยาศัยดีของเธอแล้ว จ้าวจวินก็ตอบไปอย่างรู้สึกพอใจเล็กน้อย

จากนั้นเขาก็หยิบบุหรี่ออกมาทำท่าเชื้อเชิญกับโจวชิงไป๋ แต่โจวชิงไป๋ก็ปฏิเสธ “ฉันไม่สูบบุหรี่”

“คุณน้าฉันบอกคุณเมื่อคราวที่แล้วนี่คะว่าเขาไม่สูบบุหรี่” สวี่เชิ่งเหม่ยหัวเราะขำ

“งั้นผมก็ลืมไป” จ้าวจวินตอบ เขาอยากจะจุดสูบเองสักมวน

“เธอสูบในบ้านไม่ได้นะ” หลินชิงเหอบอก จากนั้นหันไปทางสวี่เชิ่งเหม่ย “ยิ่งกว่านั้นเชิ่งเหม่ยยังท้องอยู่ การให้หล่อนได้รับควันบุหรี่มือสองมันไม่ดีต่อเด็กในท้องนะ ในวันปกติเธอควรจะให้ความใส่ใจมากกว่านี้”

จ้าวจวินรู้สึกหงุดหงิดทันที พ่อแม่ของเขาไม่เคยเทศนาสั่งสอนเขาแบบนั้นเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจเอ่ยอะไรได้และวางบุหรี่กับไม้ขีดไฟลงข้างกาย

“กิจการร้านเกี๊ยวของคุณน้าเป็นไปด้วยดีไหมครับ?” จ้าวจวินถาม

“ก็งั้น ๆ” โจวชิงไป๋ตอบห้วน ๆ

หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน หลังโจวชิงไป๋ชงชาเสร็จเธอก็เร่ง “ดื่มชากันเถอะ”

นับแต่แรกเริ่มพวกเขาก็ไม่ชอบจ้าวจวินแล้ว แต่ในเมื่อพวกเขาอยู่ที่นี่ ทั้งคู่ก็ต้องทำการต้อนรับเขา แต่ถ้าสองคนนี้อยากจะให้เป็นมิตรด้วยก็ไม่มีวันเสียหรอก ไม่อย่างนั้นสองคนนี้จะคิดว่าพวกเขาพยายามยกยอเขาอยู่

“ชาดีนะครับ” จ้าวจวินดื่มชาแล้วเอ่ยขึ้น

“ชานี้ซื้อมาจากทางใต้ เป็นชาเขียวชั้นยอดเลยล่ะ ถ้าเธอชอบ ฉันก็จะส่งไปให้สองห่อในภายหลัง เพราะที่บ้านเราไม่มีเหลืออยู่แล้วล่ะ” หลินชิงเหอตอบ

จ้าวจวินยิ้มกว้าง “เกรงใจจังเลยครับ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกจ้ะ” หลินชิงเหอตอบและหันมาทางสวี่เชิ่งเหม่ยก่อนสนทนาด้วยนิดหน่อย สวี่เชิ่งเหม่ยตอบทีละคำถามด้วยสีหน้าสงบเสงี่ยมเป็นอย่างดี

หลังนั่งอยู่ครู่หนึ่งทุกคนก็ดูทีวี มันไม่มีอะไรจะต้องพูดจริง ๆ

บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกว่าได้เวลาสมควรกลับ สวี่เชิ่งเหม่ยจึงเอ่ยด้วยท่าทางอึดอัดใจ “ฉันนึกขึ้นได้ว่าเรายังไม่ได้ไปเยี่ยมคุณตากับคุณยายเลย คุณน้า คุณน้าสะใภ้ เราต้องไปบ้านนั้นแล้วล่ะค่ะ”

“ไปเถอะ ตอนก้าวลงบันไดระวังด้วยนะ แล้วก็ตอนเดินด้วย หิมะกำลังตก เธอไม่ควรออกไปข้างนอก” หลินชิงเหอบอก

หลังส่งพวกเขาที่หน้าประตูเสร็จ เธอก็เจอกับจางเหมยเหลียนที่เพิ่งกลับมาถึง

“คุณป้าคะ” จางเหมยเหลียนทักทายหลินชิงเหอจากนั้นก็มองจ้าวจวินและสวี่เชิ่งเหม่ย ดวงตาของหล่อนจับจ้องที่จ้าวจวินก่อนจะเดินกลับเข้าบ้าน

ขณะที่จ้าวจวินพาสวี่เชิ่งเหม่ยเดินลงบันไป เขาก็พ่นคำบ่นออกมาไม่หยุด

“คุณน้ากับคุณน้าสะใภ้ของคุณเป็นอะไรกันไปหมด? ผมมาตั้งไกลเพื่อเป็นแขกของพวกเขาแต่ทั้งคู่กลับปฏิบัติกับผมแบบนี้เนี่ยนะ?” จ้าวจวินพึมพำด้วยความโมโห

ถึงเขาจะไม่คิดอะไร แต่เขาก็รู้สึกว่ามันมากเกินไป! พวกเขาไม่ชวนให้เขาอยู่กินข้าวด้วยซ้ำ!

“เราไปบ้านของคุณตาคุณยายกันก่อนเถอะค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยเองก็หงุดหงิด หล่อนไม่คิดเลยว่าในช่วงปีใหม่แบบนี้พวกเขาก็ยังไม่ชวนอยู่รับประทานอาหาร ทำไมพวกเขาถึงไม่ไว้หน้าหล่อนกันเลย?

ตระกูลจ้าวมีฐานะร่ำรวยมาก ตอนนี้หล่อนได้เข้าตระกูลจ้าวแล้ว จะมีญาติอย่างตระกูลโจวหรือไม่มีก็เหมือนกัน หล่อนแค่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตถึงมาเยี่ยมหรอก

“ผมจะบอกให้นะ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะมาที่นี่ ครั้งหน้าอย่าชวนผมมาอีก น่าขายหน้าชะมัด!” จ้าวจวินเอ่ยอย่างรู้สึกเสียหน้า

กับบรรดาสหายที่อยากเชิญเขามาร่วมโต๊ะอาหารเย็นเขายังไม่อยากไปด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาเต็มใจลดตัวลงจากบัลลังก์เพื่อมาที่นี่แต่กลับได้นั่งบนตั่งเย็น คิดแล้วเขาก็รู้สึกเดือดดาล!

ทั้งคู่แวะมาเยี่ยมบ้านของท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวด้วยเพลิงโทสะสุมแน่นอก

ส่วนโจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอไม่เก็บเรื่องนี้ไปคิดจริงจังนัก

โจวชิงไป๋เป็นมิตรกับทุกคน ปกติแล้วเขาไม่แสดงท่าทางแบบนั้นออกมา แต่เขาไม่ชอบหลานเขยคนนี้จริง ๆ จึงได้ปั้นหน้าเย็นชาใส่

สำหรับหลินชิงเหอแล้ว เมื่อเทียบกันกับหวังหยวน จ้าวจวินก็เป็นแค่ฝุ่นละอองเท่านั้น

นอกจากความถือตัวและหยิ่งผยองแล้ว เขาก็ไม่มีดีอะไรเลย เพียงเหลือบมองพฤติกรรมแบบนั้นก็บอกได้แล้วว่าเขาเป็นแค่กากเดนคนหนึ่ง

สำหรับสวี่เชิ่งเหม่ยหลานสาวคนนี้ เธอพยายามทำดีที่สุดแล้ว ส่วนที่เหลือก็ให้หล่อนเป็นไปตามบุญตามกรรม เธอไม่มีอะไรที่ต้องกระทำต่อหล่อนอีก

การเจอกันโดยบังเอิญแบบนี้เกิดขึ้นครั้งเดียวก็พอแล้ว ไม่มีวันที่จะมีครั้งที่สองหรอก

แต่หลังจากการได้พบปะกันครั้งนี้ สองคนนั้นก็น่าจะรับรู้ได้ถึงความเย็นชาจากเธอกับโจวชิงไป๋และไม่มาหาพวกเขาอีก มันน่าอึดอัดใจสำหรับทุกคนที่ต้องนั่งอยู่ด้วยกันโดยไม่สนทนาอะไร เห็นได้ว่าพวกเขาไม่อยากจะเจอเธอจริง ๆ

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แปลตอนนี้แล้วก็คิ้วกระตุกไป เชิ่งเหม่ย…เธออีกแล้วเหรอ?

จะเอาอะไรกับชวนให้กินข้าวด้วย ผีเน่าโลงผุแบบพวกเธอแค่ได้ดื่มชาชั้นดีก็ถือว่าต้อนรับสุด ๆ แล้ว

จางเหมยเหลียนมองจ้าวจวินทำไมนะ? น่าสงสัย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset