บทที่ 422 ซื้อบ้านก่อน

บทที่ 422 ซื้อบ้านก่อน

บทที่ 422 ซื้อบ้านก่อน

หลินชิงเหอเริ่มชีวิตติดต่อกับผู้คนตามปกติในวันต่อมา ร้านค้าทุกร้านที่อยู่ในมือเธอก็เปิดด้วย

แต่เรื่องพวกนี้เธอปล่อยให้หม่าเฉิงหมินเป็นคนจัดการ

หม่าเฉิงหมินทำการจ้างพนักงานใหม่ 3 คน เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งและเด็กสาวอีกสองคน ทุกคนต่างมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกันหมด ทั้งสามคนถูกส่งไปที่ร้านค้าอื่น ๆ เพื่อเรียนรู้ที่จะบริการลูกค้า โดยมีหู่จือ เอ้อร์นี และบรรดาคนที่อยู่มาก่อนคอยสอนงานให้พวกเขา

สำหรับร้านค้าร้านที่ห้าของหลินชิงเหอนั้นเริ่มมีการตกแต่งภายในร้านแล้ว มันไม่ได้อยู่ที่เดียวกับร้านเสื้อผ้าผู้หญิงและร้านเสื้อผ้าผู้ชาย แต่อยู่เกือบครึ่งทางที่จะถึงร้านเครื่องดื่มใกล้โรงภาพยนตร์

ร้านค้าแห่งนี้โจวชิงไป๋เป็นคนซื้อไว้เมื่อวันที่ 10 มกราคม สภาพภายในดูกว้างขวางมาก แม้จะราคาสูงสักหน่อย แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ

ในตอนนี้หม่าเฉิงหมินก็ให้ใครบางคนตกแต่งร้านให้ ส่วนเขาส่งคำสั่งซื้อเสื้อผ้าในปริมาณมหาศาลให้กับทางหวังหยวน

“สั่งเยอะขนาดนี้เลยเหรอ? คุณอาสะใภ้สี่จะเปิดร้านอีกร้านแล้วเหรอ?” หวังหยวนประหลาดใจเมื่อได้รับคำสั่งซื้อ

เพื่อนสมัยเด็กของเขาถึงกับหัวเราะ “เรียกอาสะใภ้สี่ได้คล่องปากขนาดนี้แล้ว เมื่อไหร่นายจะชวนฉันไปดื่มสุรามงคลเสียทีล่ะ?”

คำพูดนี้แทงใจดำหวังหยวนเข้าอย่างจัง

หวังหยวนถอนหายใจ ปีนี้เขาอายุ 26 แล้ว ไม่ใช่คนหนุ่มอีกต่อไป เขาจะไม่อยากแต่งงานได้อย่างไรล่ะ? แต่จากที่เขาเห็นมา เอ้อร์นีเหมือนจะไม่มีความคิดนี้เลย

เขาอยากจะเกลี้ยกล่อมให้หล่อนตกลงปลงใจด้วยเหลือเกิน แต่ทั้งหมดนี้ยังอยู่ภายใต้กฎ เขาไม่สามารถทำแม้กระทั่งจูบริมฝีปากเล็ก ๆ ของหล่อนได้ อย่างมากหล่อนแค่ปล่อยให้เขาจับมือถือแขนได้เท่านั้น

“อะไร? ยังรวบหัวรวบหางหล่อนไม่ได้อีกเหรอ” เพื่อนวัยเด็กของเขาประหลาดใจ “ช่วงปีใหม่นี้นายไม่ได้พาหล่อนไปเจอหน้าพ่อแม่ของนายหรืออย่างไร”

“พาไปแล้วล่ะ แต่นายก็รู้จักนิสัยแม่ฉันดีนี่” หวังหยวนพูด

เดิมทีเอ้อร์นีมีท่าทางอ่อนโยน แต่หลังจากพบหน้าพ่อแม่ของเขาแล้ว… พ่อของเขาน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่เป็นท่าทางแม่ของเขาในตอนนั้น ช่างน่าปวดใจนัก หล่อนเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาพาเข้าบ้าน แต่แม่ของเขากลับไม่ไว้หน้าใด ๆ เลย

เมื่อรู้ว่าเอ้อร์นีมีทะเบียนบ้านอยู่ที่ชนบท นางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรกับเอ้อร์นีสักคำ แล้วเอ้อร์นีจะรู้สึกดีได้อย่างไร?

แต่หญิงสาวคนนี้ก็มีอารมณ์ความคิดของตัวเองเหมือนกัน

หวังหยวนลูบคางพลางฉีกยิ้ม แม่ของเขาไม่ชอบหล่อน หล่อนเองก็ไม่พูดอะไรกับแม่ของเขาเหมือนกัน ไม่มีการประจบประแจงใด ๆ

หวังหยวนชอบนิสัยเล็กน้อยแบบนั้นจริง ๆ

“พอเลย ไม่ต้องมายิ้มกรุ้มกริ่มแบบนั้นเลย รีบ ๆ แต่งหล่อนเข้าบ้านมาอุ่นเตียงซะ” เพื่อนวัยเด็กของเขาพูดด้วยความหมั่นไส้

หวังหยวนโยนเรื่องต่าง ๆ ในโรงงานให้เขาจัดการ จากนั้นก็มาหาโจวเอ้อร์นี

โจวเอ้อร์นีอยู่ที่ร้านเสื้อผ้า เนื่องจากช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงที่ขายดีนักจึงมีลูกค้าเข้าร้านไม่มาก เมื่อเขามาถึงร้าน โจวเอ้อร์นีก็กำลังสอนงานให้กับเด็กสาวสองคนที่หม่าเฉิงหมินพามาให้ ส่วนเด็กหนุ่มที่มาใหม่ได้ไปทำงานในร้านเสื้อผ้าผู้ชายที่ถนนฝั่งตรงข้าม

“ซานซาน สอนพวกหล่อนพับเสื้อผ้าอีกรอบทีนะจ๊ะ” โจวเอ้อร์นีเห็นหวังหยวนมาหาจึงบอกเฉินซานซานไว้

“ค่ะ” เฉินซานซานตอบ

โจวเอ้อร์นีแทบจะเป็นผู้จัดการร้านแห่งนี้ไปแล้ว หล่อนทำหน้าที่ดูแลทุกอย่างภายในร้าน

“ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” โจวเอ้อร์นีออกมาพร้อมกับหวังหยวน

“มาหาคุณไงครับ” หวังหยวนตอบ

โจวเอ้อร์นีเหลือบมองเขา หวังหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คืนนี้ไปดูหนังกันไหมครับ?”

“ไม่ว่างค่ะ โรงเรียนภาคค่ำกำลังจะเปิดเรียนแล้ว ฉันต้องเตรียมตัว” โจวเอ้อร์นีตอบ

“อย่าหลอกผมเลย โรงเรียนภาคค่ำกว่าจะเปิดอย่างเร็วที่สุดก็สิ้นเดือนมกราคม” หวังหยวนเอ่ย

โจวเอ้อร์นีไม่อยากไปเดทกับเขาเลยจริง ๆ หล่อนได้แต่หาข้ออ้างหยุมหยิมจำนวนมากมาต้าน “งั้นฉันก็ต้องเรียนหนังสือค่ะ”

“ไปดูหนังสักเรื่องจะใช้เวลานานเท่าไหร่เชียวครับ? แถมวันนี้ยังมีหนังเรื่องใหม่เพิ่งเข้าโรงด้วย ดูน่าสนใจไม่น้อยเลย” หวังหยวนโน้มน้าว

โดยไม่อาจต้านทานเขาได้ ในที่สุดโจวเอ้อร์นีก็ตกลง

“ผมเห็นอาสะใภ้สี่สั่งซื้อเสื้อผ้าผู้หญิงเยอะแยะเลย ทุกชุดล้วนเป็นเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิ สั่งมาเพื่อขายที่ร้านเสื้อผ้าผู้หญิงร้านนี้ร้านเดียวเหรอครับ?” หวังหยวนถาม

“คุณอาสะใภ้สี่กำลังจะเปิดอีกร้านหนึ่งแถวหยวนเจี๋ยน่ะค่ะ” โจวเอ้อร์นีตอบ

ยิ่งกว่านั้นหล่อนจะได้จัดการร้านเสื้อผ้าผู้หญิงพวกนี้ ตอนนี้พนักงานทุกคนได้รับการฝึกฝนเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีพนักงานฝึกหัดคนหนึ่งอยู่กับหล่อน ส่วนเฉินซานซานจะพาพนักงานชายกับพนักงานหญิงสองคนใหม่ไปประจำอยู่ที่ร้านใหม่

“อาสะใภ้สี่ช่างกล้าได้กล้าเสียจริง ๆ นะครับ” หวังหยวนยิ้ม

การเปิดร้านใหม่ต่อเนื่องจากร้านเดิมจะทำให้ได้ผลประกอบการไม่น้อย ยิ่งกว่านั้นยังมีศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าเล็ก ๆ ที่มีพนักงานจำนวนมาก กล่าวกันว่าที่นั่นใช้ระบบการทำงานแบบสองกะด้วย

ตอนนี้หวังหยวนกำลังศึกษาระบบการทำงานแบบสองกะ และอยากนำไปปรับใช้กับโรงงานผลิตเสื้อผ้าของเขา

ท่านแม่โจวก็พูดคุยเกี่ยวกับหลินชิงเหอสะใภ้สี่ของนางเรื่องเปิดร้านใหม่เหมือนกัน

“มีร้านเยอะขนาดนี้ แล้ว…หล่อนจะจัดการไหวเหรอ? แม่เจ้าใหญ่ต้องทำงานเกือบทั้งวัน หล่อนยุ่งมากเลยนะ” ท่านแม่โจวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยกับท่านพ่อโจว

ท่านพ่อโจวจะไปเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร? เขาเพียงเอ่ยว่า “เชือดไก่เพิ่มอีกสองตัวแล้วส่งไปให้บ้านนั้นสิ หล่อนต้องกินบำรุงร่างกายหน่อยนะ”

ท่านแม่โจวพยักหน้า “ปีนี้ฉันจะเอาลูกไก่มาเลี้ยงเพิ่มนะ”

นางเองก็รู้สึกว่าสะใภ้สี่ต้องอิดโรยแน่ ๆ เธอเปิดร้านค้ามากมายแถมต้องทำงานไปด้วย เป็นภาระหนักอึ้งไม่เบาเลย

โจวเสี่ยวเหมยก็คุยเรื่องนี้กับซูต้าหลินในร้านซาลาเปาของพวกเขา หล่อนเอ่ยอย่างมีอารมณ์ร่วม “พี่สะใภ้สี่ชักจะเก่งกาจเกินไปแล้วค่ะ เทียบกับหล่อนแล้วฉันดูไร้ประโยชน์ไปเลย ต้าหลิน คุณจะรังเกียจฉันไหมคะ?”

“ชอบ…ชอบคุณนะครับ” ซูต้าหลินตอบ

โจวเสี่ยวเหมยกลอกตาใส่เขาด้วยความพอใจ จากนั้นก็แสดงท่าทางลังเลไปพักหนึ่ง ซูต้าหลินเห็นหล่อนเป็นแบบนี้ก็ถามขึ้น “มี…มีอะไรเหรอครับ?”

หลังนิ่งไปครู่หนึ่ง โจวเสี่ยวเหมยได้ถามเขา “ต้าหลิน คุณอยากเปิดร้านซาลาเปาอีกร้านหนึ่งไหมคะ?”

ซูต้าหลินนิ่งอึ้งไป ทันใดนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดี “เรา…เรา…เรายุ่ง…ยุ่ง…อยู่กับร้านนี้…มากแล้วนะครับ”

“ฉันรู้ค่ะ เราค่อนข้างงานยุ่งกับร้านนี้มากจริง ๆ” โจวเสี่ยวเหมยถอนหายใจ

เด็ก ๆ ยังเล็กนัก แต่ต้องขอบคุณที่พ่อแม่ของหล่อนอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นพวกเขาต้องงานล้นมือแน่ ๆ แถมหล่อนยังจะเปิดร้านซาลาเปาอีกร้านหนึ่งอีก ซึ่งนับว่าเป็นความคิดที่หุนหันพลันแล่นไม่น้อย

“ก่อนอื่น…ซื้อ…ซื้อ…บ้านเถอะครับ” ซูต้าหลินตอบ

จากแผนของเขา เขาต้องการซื้อบ้านก่อน แม้เงินเก็บของครอบครัวเขาจะไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้มากเหมือนกัน ตอนที่เขาซื้อร้านซาลาเปาไปมันก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว

และปีนี้เขายังต้องซื้อตู้แช่เย็นและของอย่างอื่นอีก ซึ่งต้องใช้เงินมหาศาล แถมยังมีค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมของเด็ก ๆ ค่าใช้จ่ายประจำวัน และอื่น ๆ ทบรวมกันอีกด้วย ตอนนี้พวกเขามีรายได้มั่นคงแล้วประมาณ 4,000-5,000 หยวนต่อปี ซึ่งถือว่าค่อนข้างมาก แต่มันก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ เลยหากจะซื้อบ้านหลังหนึ่งในตอนนี้

เขาเคยถามหวังหยวนมาแล้วเกี่ยวกับบ้านของเขาที่ซื้อใกล้กับบริเวณที่พวกเขาอาศัยอยู่ มันเป็นบ้านหลังใหญ่กว่าบ้านของพวกเขาเล็กน้อยและมีราคา 10,000 หยวน

ซูต้าหลินไม่คิดที่จะซื้ออะพาร์ตเมนต์ เพราะเด็ก ๆ คงจะอยู่ไม่ได้ พวกเขาเคยชินกับบ้านที่มีบริเวณกว้างขวางไปแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าซื้อบ้านหลังใหญ่เท่าบ้านของหวังหยวน ที่เขาอยากได้คือบ้านหลังเล็กกว่านี้ ตราบใดที่ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ได้มันก็พอแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องเตรียมเงินก้อนไว้อย่างน้อย 6,000-7,000 หยวน มันใช้เวลา 1 หรือ 2 ปีในการเก็บเงินให้ได้จำนวนเท่านี้

ไม่ใช่เรื่องดีเลยในการอยู่กับพ่อตาแม่ยายของเขาต่อไป

“ฉันเชื่อฟังคุณนะคะ” โจวเสี่ยวเหมยพยักหน้า พวกเขาต้องซื้อบ้านให้ตัวเองก่อน บ้านของพ่อแม่หล่อนเดิมเป็นบ้านที่พี่ชายสี่กับพี่สะใภ้สี่ให้เช่าอาศัย ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป การมีบ้านเป็นของตัวเองจึงเป็นเรื่องที่เข้าท่ามากกว่า

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

สี่ร้านมันไม่พอต้องมีเพิ่มอีกร้าน สมกับเป็นแม่จริง ๆ ค่ะ

เถ้าแก่ชวนเอ้อร์นีออกเดทแล้วค่ะ อีกไม่นานเกินรอเพื่อนเถ้าแก่น่าจะได้ดื่มสุรามงคลแล้วนะคะ

ขอให้ครอบครัวเสี่ยวเหมยซื้อบ้านได้นะคะ มีบ้านเป็นของตัวเองเท่ากับมีหลักประกันอย่างหนึ่งแล้ว

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset