บทที่ 425 ความก้าวหน้าของบ้านเก่าตระกูลโจว

บทที่ 425 ความก้าวหน้าของบ้านเก่าตระกูลโจว

 

บทที่ 425 ความก้าวหน้าของบ้านเก่าตระกูลโจว

หลินชิงเหอไม่ได้อยากพาโจวซื่อนีมาเพื่อแต่งงานกับเวิงกั๋วต้ง

แน่นอนว่ามันคงไม่เลวนักหากได้รวมกันเป็นทองแผ่นเดียว สภาพแวดล้อมของครอบครัวเวิงดีมากจริง ๆ พื้นฐานครอบครัวก็ดีเยี่ยม คนเป็นลูกสะใภ้จะไม่เผชิญกับความลำบากเลยหากได้เข้าบ้านนี้

หลินชิงเหอไม่เก็บมาคิดจริงจังนัก

ก่อนหน้านั้นกับต้านีเธอสามารถลืมไปได้ เพราะตอนนั้นครอบครัวของเธอยังไม่ได้มาที่นี่ แต่แล้วเด็ก ๆ รุ่นถัดจากนั้นก็ถูกพามาเห็นโลกกว้างและซึมซับประสบการณ์ มันนับว่าเป็นเรื่องดีทีเดียว

แน่นอนว่าเป็นหลักฐานที่พวกเขากระทำตัวดี

แต่เมื่อเกิดกรณีของสวี่เชิ่งเหม่ยขึ้น หลินชิงเหอก็ลังเลที่จะพาโจวซื่อนีมาที่นี่

แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นสะใภ้ใหญ่หรือโจวซื่อนี เธอก็ได้มองพวกหล่อนเติบโตและเข้ากันได้มานานหลายปี จนทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี

แต่เป็นเพราะสะเทือนใจกับกรณีของสวี่เชิ่งเหม่ย หลินชิงเหอจึงไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกไปตรงๆ

ในเดือนพฤษภาคม หลินชิงเหอก็ได้โทรศัพท์หาสะใภ้ใหญ่

เธอมักจะคุยโทรศัพท์กับสะใภ้ใหญ่อยู่บ่อย ๆ อย่างน้อยหนึ่งหรือสองครั้งต่อเดือน ซึ่งบางครั้งสะใภ้ใหญ่ก็โทรศัพท์มายังห้องพักอาจารย์ของเธอ

หล่อนเป็นครอบครัวสายแรก เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ลูกชายคนโตกับลูกสะใภ้คนโตจะโทรศัพท์มาถามความเป็นอยู่ของท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวที่อยู่ที่นี่ราวหนึ่งหรือสองครั้งต่อเดือน พวกเขาไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ดังนั้นการโทรศัพท์มาถามไถ่จึงเป็นเรื่องที่ทำได้

ระหว่างที่คุยโทรศัพท์อยู่นั้น สะใภ้ใหญ่ก็บอกเธอมาตามสาย “เมื่อวานนี้น้องชายสามกลับมาแล้ววานให้ฉันบอกเรื่องนี้กับเธอน่ะ เขาบอกว่าถ้าไม่สะดวกก็แค่ไปดูเฉย ๆ พอ แต่ถ้าไม่เป็นการรบกวนก็ช่วยซื้อมอเตอร์ไซค์จากภาคใต้กลับมาให้เขาในช่วงวันหยุดฤดูร้อนหน่อยน่ะจ้ะ”

“เขาคิดดีแล้วเหรอคะ?” หลินชิงเหอยิ้ม

ตอนเดินทางไปที่นั่นเมื่อฤดูร้อนที่แล้ว เธอกับโจวชิงไป๋ได้ซื้อมอเตอร์ไซค์กลับมาให้น้องชายของเธอคันหนึ่ง มันมีราคามากกว่า 700 หยวน ซึ่งไม่ถือว่าถูกเลย

ในตอนนั้นพี่ชายสามกับสะใภ้สามยังลังเลอยู่ หลินชิงเหอจึงปล่อยให้พวกเขาคิดกันเอง ตอนนี้พวกเขาคงจะคิดดีแล้ว

“พวกเขาคิดดีแล้วจ้ะ เธอไม่รู้หรอกว่าน้องชายของเธอเจริญรุ่งเรืองขนาดไหน มอเตอร์ไซค์คันนั้นทำให้คนอื่นเกิดความอยากได้มาครอบครองไปชั่วขณะเลยล่ะ” สะใภ้ใหญ่พูดอย่างร่าเริง

มอเตอร์ไซค์ในต้นยุค 1980 นับว่าหายากนัก โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท หากเป็นในเมืองจะสามารถพบเห็นได้ปกติทั่วไป แถมคนบางคนยังมีรถยนต์ส่วนตัวคันเล็กแล้วด้วย มอเตอร์ไซค์จึงไม่ใช่ของหายากขนาดนั้น

แต่ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าจะได้เห็นบ่อย ๆ

หลังจากน้องชายสามตระกูลหลินได้มอเตอร์ไซค์มาใช้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เขาก็เดินทางไปมาอย่างรวดเร็วราวกับสายลม

ไม่เพียงแต่ละครั้งจะบรรทุกของได้มากขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเขาไม่ได้เหนื่อยมากเหมือนแต่ก่อน

novel-lucky

การขี่จักรยานไปกลับจากอำเภอหนึ่งหรือสองรอบไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อต้องทำแบบนี้ตลอดทั้งปี ร่างกายของคน ๆ นั้นคงไม่อาจรับไหวแม้จะทนความยากลำบากในยุคนี้ได้ก็ตาม

และนับตั้งแต่ที่มีมอเตอร์ไซค์ขับ นักธุรกิจมากความสามารถอย่างน้องชายสามตระกูลหลินก็ได้มุ่งหน้าไปรับของจากแหล่งที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งที่นั่นมีครอบครัวหนึ่งเลี้ยงเป็ดไว้เป็นจำนวนมาก

เขาไปรับไข่เป็ด เป็ดทั้งตัว และปลาเป็นจากพวกเขา ทำให้ทั้งร้านมีสินค้าหลากหลายมากขึ้น

กิจการร้านจึงเฟื่องฟูขึ้น การมีมอเตอร์ไซค์อยู่ทำให้เขาไม่รู้สึกเหนื่อยมากนัก

ขณะที่พี่ชายสามยังคงปั่นจักรยานของเขา หากเขาทำเหมือนกับน้องชายสามตระกูลหลินอยู่ก็ยังไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ทั้งคู่ได้ทิ้งห่างออกไปแล้ว หัวใจของเขาก็เริ่มสั่นคลอน

ทว่ามอเตอร์ไซค์มีราคาแพงเกินไป ราคาที่มากกว่า 700 หยวนนี้เป็นราคาพอ ๆ กับร้านค้าร้านหนึ่งเลยทีเดียว

พี่ชายสามกับสะใภ้สามจึงยังลังเลอยู่ จนกระทั่งไม่กี่วันก่อนวันที่หลินชิงเหอกับสะใภ้ใหญ่จะได้สนทนาผ่านโทรศัพท์กัน

พี่ชายสามได้ถามชายคนหนึ่งที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาซื้อไก่ที่ร้าน ว่ามอเตอร์ไซค์คันนั้นราคาเท่าไหร่?

เขาบอกว่าเขาไม่ได้ซื้อเอง แต่เป็นเพื่อนของเขาที่นำมาให้จากทางใต้ คันหนึ่งก็ราคา 1,100 หยวน

ทั้งพี่ชายสามกับสะใภ้สามได้ยินดังนั้นก็บอกได้ว่ายานพาหนะชนิดนี้ช่างดูสูงส่งเสียนี่กระไร เมื่อชายคนนั้นผละจากไป พวกเขาก็เดาะลิ้นจิ๊จ๊ะ

ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็รู้ว่าน้องชายสี่และสะใภ้สี่ใจดีขนาดไหน

พวกเขาไม่คิดเงินเพิ่มแม้แต่เหมาเดียว พวกเขาซื้อจากทางใต้เท่าไหร่ก็คิดราคาตามนั้น ดูเพื่อนของชายคนนี้สิ พวกเขาได้เงินส่วนต่างมาถึง 400 หยวนหลังสินค้าได้เปลี่ยนมือไปแล้ว ทำอย่างกับว่าคนอื่นเป็นแกะอ้วนชัด ๆ

เป็นเพราะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นและจากการได้เห็นธุรกิจของน้องชายสามตระกูลหลินเฟื่องฟูขึ้นหลังจากมีมอเตอร์ไซค์ พี่ชายสามจึงกัดฟันข่มใจ เมื่อเขาได้ไปรับผลผลิตที่ชนบท เขาก็มาคุยเรื่องนี้กับสะใภ้ใหญ่

หลินชิงเหอตกลง ส่วนเรื่องที่ว่ามอเตอร์ไซค์จะมีราคาเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้นไม่สำคัญ มันจะเพิ่มก็ต้องเพิ่ม ไม่ต้องจงใจขอจ่ายเงินในราคาเดียวกับน้องชายของเธอหรอก

มันคงจะไม่ต่างกันมากนัก

“พี่จะทิ้งไข่เป็ดเค็มของปีนี้ไว้ให้ชุดหนึ่งนะจ๊ะ ถ้าเธอมาถึงแล้วก็เอาไปกินที่เมืองหลวงด้วย” สะใภ้ใหญ่เอ่ยอย่างร่าเริงขณะที่พวกหล่อนกำลังจะวางสาย

“ถ้างั้นฉันไม่เกรงใจพี่สะใภ้ใหญ่แล้วนะคะ” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม

“มีอะไรต้องเกรงใจกันด้วยล่ะจ๊ะ” สะใภ้ใหญ่ยิ้มกริ่ม

สะใภ้ทั้งสองวางสายลง สะใภ้ใหญ่จ่ายค่าโทรศัพท์ให้กับภรรยาของเลขาธิการสาขาหมู่บ้านพลางคลี่ยิ้ม “ฉันมาขอใช้บ่อยเหลือเกิน ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

novel-lucky

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ดูเหมือนน้องสะใภ้ของเธอจะสนิทกับเธอนะ เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ในหมู่บ้านบ่อยนัก” ภรรยาเลขาธิการหมู่บ้านเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

วันนี้ตระกูลโจวมีชื่อเสียงที่ดีมากในหมู่บ้านโจวเจี่ย ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ใด้ให้เงินหลังใช้เสร็จสักหน่อย แค่โทรศัพท์หากันเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก

สะใภ้ใหญ่เอ่ยความเห็นอย่างสุภาพก่อนจะกลับบ้าน

ภรรยาเลขาธิการสาขาหมู่บ้านเอ่ยกับสามี “มีแค่ครอบครัวสายรองจากหกครอบครัวนี่กระมังคะที่ไม่ก้าวหน้าอะไรเลย อีกสามสายตระกูลที่เหลือก้าวหน้าดีขึ้นกันหมดแล้ว”

“คุณพูดอะไรน่ะ ไม่ใช่ว่าครอบครัวสายรองก็อยู่ดีมีสุขเหรอ?” เลขาธิการสาขาของหมู่บ้านตอบพลางสูบซิการ์มวนใหญ่

ผู้เป็นภรรยาไม่ได้เอ่ยความเห็นอะไร พวกเขามีเรื่องในครอบครัวตัวเองที่ต้องจัดการให้สำเร็จ จะมีเวลามาห่วงเรื่องในครอบครัวคนอื่นได้อย่างไร

สะใภ้ใหญ่กับพี่ชายใหญ่ย้ายเข้าบ้านหลังใหม่ตั้งแต่สิ้นปีที่แล้ว พวกเขาใช้บ้านหลังเก่าตระกูลโจวเป็นที่เก็บฟืน และทั้งครอบครัวของพี่ชายสามกับสะใภ้สามก็มีโอกาสได้กลับมาบ้างในช่วงปีใหม่

ตอนนี้มีเพียงครอบครัวสายรองเท่านั้นที่ยังอยู่ที่นั่น

ขณะที่พี่ชายสามมาเยือนชนบทเพื่อมาขนผักและไข่ไปขาย สะใภ้ใหญ่กับบอกเขาในเรื่องนี้

“งั้นผมต้องรบกวนอาสี่กับสะใภ้สี่แล้วล่ะ” พี่ชายสามตอบด้วยรอยยิ้ม

เขารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การนำมันกลับมาจากสถานที่ห่างไกลอย่างพื้นที่ภาคใต้เป็นเรื่องง่ายนักหรือ? แต่เขาไม่มีทางทำด้วยตัวเองได้แน่ จึงต้องพึ่งพาครอบครัวสายสี่เท่านั้น

สะใภ้ใหญ่ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก หล่อนบอกแค่ว่าท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวอยู่ดีมีสุขที่นั่น

“เฉียงจือไปที่นั่นแล้ว ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้างครับ?” พี่ชายสามถามต่อ

สะใภ้ใหญ่นิ่งงันไป “เฉียงจือไปเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?”

“สักครู่ใหญ่ ๆ แล้วครับพี่สะใภ้ใหญ่ พี่ไม่รู้เหรอ?” พี่ชายสามพูด

“พี่ไม่เห็นได้ยินชิงเหอพูดถึงเลย” สะใภ้ใหญ่ส่ายหน้าพลางถาม “ชิงเหอให้เขาไปหรือยังไง?”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เห็นพี่สาวใหญ่มาส่งเฉียงจือที่บ้านของผม” พี่ชายสามอธิบาย

สะใภ้ใหญ่พยักหน้า เมื่อไหร่ที่ลูกสาวคนรองโทรศัพท์มาหา หล่อนจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นก็แล้วกัน เฉียงจือนิสัยแบบนี้จะไปเฝ้าร้านค้าได้อย่างไร? เขาจะหาเรื่องทะเลาะกับคนอื่นน่ะสิไม่ว่า

…………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

บ้านโจวสายสามจะซื้อมอเตอร์ไซค์แล้ว ส่วนบ้านโจวสายแรกก็ย้ายบ้านเรียบร้อย เหลือบ้านสายรองที่อยู่เฝ้าบ้านเก่า สมใจเธอแล้วสินะสะใภ้รอง คนอื่นก้าวหน้ากันหมด มีแค่ครอบครัวเธอที่ยังดักดานอยู่

ขออย่าให้เชิ่งเฉียงมายุ่งอะไรกับร้านแม่เลย ไม่งั้นบรรลัยแน่ เป็นหนุ่มเลือดร้อนชวนทะเลาะกับคนอื่นแบบนี้

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset