บทที่ 428 ทะเลาะกันหลายวัน

บทที่ 428 ทะเลาะกันหลายวัน

บทที่ 428 ทะเลาะกันหลายวัน

“อยากไปโรงเรียนภาคค่ำเหรอ?” โจวชิงไป๋ถามหลังฟังสิ่งที่พวกเขาเล่าแล้ว

“คุณน้า ผมอยากไปจริง ๆ นะครับ” ในตอนแรกสวี่เชิ่งเฉียงไม่อยากพูดแบบนี้นัก แต่หลังจากโดนพี่สาวหยิกแล้ว เขาก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนลูกปืนลงไป

“เธอรู้ศัพท์มากน้อยแค่ไหน?” โจวชิงไป๋ถาม

สวี่เชิ่งเฉียงอึกอัก โจวชิงไป๋จึงหยิบใบรายการอาหารมาให้เขาอ่าน “ลองอ่านดูรอบนึงซิ”

สวี่เชิ่งเฉียงอ่านสะกดคำอย่างตะกุกตะกัก โจวชิงไป๋ย่นคิ้วและเอ่ยออกมา “น้าจะบอกเรื่องนี้กับน้าสะใภ้แล้วกัน ขึ้นไปชั้นสองสิ เอ้อร์นีมีพจนานุกรมเก่าที่ไม่ได้ใช้อยู่ ให้น้องชายเธอหยิบกลับไปอ่านนะ”

คำพูดครึ่งหลังนั้นเขาพูดกับสวี่เชิ่งเหม่ย

สวี่เชิ่งเหม่ยดีใจจนเนื้อเต้นและเดินขึ้นไปหยิบพจนานุกรมมาจากชั้นสอง หลังหยิบพจนานุกรมลงมาแล้วหล่อนก็ถอนหายใจโล่งอกก่อนเอ่ยขึ้น “ขอบคุณคุณน้านะคะ หนูจะให้เฉียงจือขยันเรียนหนัก ๆ เลยค่ะ!”

โจวชิงไป๋ไม่เอ่ยอะไร เขาปล่อยให้พวกเขากลับไปก่อน

เมื่อหลินชิงเหอเลิกงานแล้ว โจวชิงไป๋ก็บอกเรื่องนี้กับเธอ หญิงสาวจ้องมองเขาโดยไม่พูดอะไร

โจวชิงไป๋กระแอมไอแห้ง “ให้เขาเรียนเถอะครับ”

“ได้ค่ะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นคุณก็รับผิดชอบเองนะคะ อย่ามาหาฉัน” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างขุ่นเคือง

แม้เธอจะรู้ว่าเขาเป็นน้าของพวกเขาและอยากจะดึงพวกเขาขึ้น แต่เธอก็อยู่คนละสายตระกูลกับหล่อน ยิ่งกว่านั้นมันมีสวี่เชิ่งเหม่ยเป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ดังนั้นอย่าหวังให้เธอมายุ่งกับเรื่องนี้เลย

โจวชิงไป๋รู้สึกจนใจ แต่ก็ยังเอ่ยขึ้น “งั้นผมจะพาเขาไปสมัครเรียนนะ”

หลินชิงเหอกลอกตาและไม่เสวนากับเขาต่อ เธอเดินตรงไปที่ร้านเสื้อผ้า

โจวเอ้อร์นีกำลังทำรายการสินค้าของวันนี้อยู่ เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา หล่อนก็เอ่ยขึ้น “คุณอาสะใภ้สี่ ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ”

“แค่แวะมาตรวจดูจ้ะ” หลินชิงเหอตอบ “คราวหน้าสวี่เชิ่งเฉียงจะไปเรียนโรงเรียนภาคค่ำกับหนูด้วยนะ”

โจวเอ้อร์นีไม่เอ่ยอะไร

หลินชิงเหอหยิบรายการสินค้าวันนี้ไปจากมือของหล่อนและเอ่ยขึ้น “กิจการวันนี้ดีไม่น้อยเลยนะ”

“ค่ะ” โจวเอ้อร์นีพยักหน้าและเอ่ยปลอบ “ถ้าเชิ่งเฉียงอยากไปเรียนก็ให้เขาไปเรียนเถอะค่ะ อาสะใภ้อย่าเครียดไปเลยนะคะ”

“ไม่ได้เครียดอะไรหรอกจ้ะ อาแค่รู้สึกว่าทันทีที่เขาเข้าโรงเรียนภาคค่ำ เขาจะก่อเรื่องขึ้นน่ะสิ หนูคงยังไม่รู้ว่าอาจารย์หยางที่เป็นเพื่อนร่วมแผนกกับอามีบ้านอยู่ใกล้กับบ้านตระกูลจ้าว แล้วได้ยินมาว่าสวี่เชิ่งเฉียงซ้อมคนถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลน่ะ” หลินชิงเหอก้มมองบัญชีพลางเอ่ยขึ้นโดยไม่เงยหน้า

อาจารย์หยางไม่รู้ว่าสวี่เชิ่งเฉียงเป็นหลานชายตระกูลโจวจึงเล่าข่าวซุบซิบในตระกูลจ้าวให้ฟัง​ ตอนแรกหลินชิงเหอไม่ใส่ใจมากนัก​ แต่หลังจากได้ยินจนจบแล้วเธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ​ เมื่อถามไปคร่าวๆ​ ก็พบว่าเป็นสวี่เชิ่งเฉียงที่ซ้อมคนจนต้องเข้าโรงพยาบาล ตอนแรกหลินชิงเหอก็ไม่ใส่ใจมากนัก แต่หลังจากได้ยินแล้วเธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หลังลองถามดูคร่าว ๆ เธอก็รู้ว่าเป็นสวี่เชิ่งเฉียงที่ซ้อมคนจนเข้าโรงพยาบาล

โจวเอ้อร์นีนิ่งไปพร้อมกับมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที​ “เขาซ้อมคนจนต้องเข้าโรงพยาบาลเลยเหรอคะ?”

“ใช่แล้ว​ เก่งมากเลยใช่ไหมล่ะ?” หลินชิงเหอตอบ​ เธอรู้ว่าชิงไป๋ของเธอเป็นคนใจอ่อน​ แม้หลานสาวจะทำให้เขาผิดหวัง​ แต่เขาก็ยังอยากช่วยหลานชายอยู่​ เธอจึงไม่อยากหยุดเขา​ แต่ปล่อยให้เขาได้เห็นกับตาตัวเองว่าหลานชายคนนี้มีจิตใจเป็นอย่างไร

ชิงไป๋ของเธอเป็นคนแบบนั้นแหละ เขาไม่ผิดหวังกับอะไรง่าย ๆ แต่เมื่อใดที่เขาผิดหวังขึ้นมาก็กู่ไม่กลับ

เธอรู้สึกว่าสวี่เชิ่งเฉียงไม่ได้เต็มใจจะไปโรงเรียนภาคค่ำหรอก เก้าในสิบส่วนเป็นเพราะเขาเชื่อฟังพี่สาวของเขามากกว่า ถ้าว่าตามความคิดของตนเองแล้วเขาไม่คิดที่จะไปโรงเรียนภาคค่ำเลย

หากเขาตั้งใจเรียนอย่างว่าง่ายก็ดีไป แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นอีกครั้ง หลินชิงเหอก็ยังคงให้โจวชิงไป๋เป็นคนรับผิดชอบด้วยตัวเอง

เธอไม่ไปยุ่งด้วยหรอก

“เดี๋ยวคืนนี้อาจะมานอนที่ร้านเกี๊ยวกับหนูนะจ๊ะ” หลินชิงเหอพูด

โจวเอ้อร์นีอึ้งไป “คุณอาสี่ยอมให้สวี่เชิ่งเฉียงไปโรงเรียนภาคค่ำแล้วเหรอคะ?”

“อาไม่โทษอะไรคุณอาสี่หรอก เขาเป็นหลานชายของเขา เป็นธรรมดาที่เขาอยากจะสนับสนุน อาแค่รำคาญเขาเท่านั้นแหละ” หลินชิงเหอตอบ

แม้เธอจะไม่อยากกลับไปนอนที่บ้าน แต่โจวชิงไป๋ก็มารับเธอกลับ หลินชิงเหอไม่อยากให้เด็ก ๆ เห็นการกระทำโง่งมของพวกเขาจึงส่งสายตามองค้อนเขาสองสามครั้งก่อนจะกลับไปกับเขา

“ถ้าคุณนึกโกรธอยู่ในใจก็ตีผมดุด่าผมได้เลยนะครับ” โจวชิงไป๋เอ่ยอย่างจนใจ

หลินชิงเหอไม่สนใจที่จะคุยกับเขาและเข้านอนโดยไม่รอช้า

โจวชิงไป๋กอดเธอนอน แต่หลินชิงเหอก็เมินใส่เขา…ผู้ชายตัวเหม็นเอ๊ย

ด้านนอกห้อง หู่จือ กังจือ กับโจวกุยหลายพากันงุนงงเล็กน้อย

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? พวกเขาทะเลาะกันเหรอ?” โจวกุยหลายถาม

“น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ?” หู่จือตอบ

“ผมไม่ได้ยินเสียงทุ่มเถียงกันเลย” กังจือเอ่ยอย่างงุนงง

“คราวหน้าสวี่เชิ่งเฉียงจะมาเรียนโรงเรียนภาคค่ำกับพวกนายด้วยนะ” โจวเฉวี่ยนเปลี่ยนประเด็น

เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะโจวเอ้อร์นีเป็นคนบอกเขา

จากนั้นหู่จือ กังจือ และโจวกุยหลายก็ถึงบางอ้อ

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยนี่ ไม่สมกับที่ทำให้ม้ากับป๊าต้องทะเลาะกันเลย” โจวกุยหลายเอ่ยอย่างสับสน

หู่จือกับกังจือมองโจวเฉวี่ยน ซึ่งฝ่ายหลังก็เอ่ยต่อ “ฉันได้ยินพี่เอ้อร์นีพูดว่าสวี่เชิ่งเฉียงซ้อมพนักงานคนหนึ่งจนต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะพูดเรื่องที่เขาใช้เส้นเข้าโรงงาน ได้ยินมาว่าเขาบาดเจ็บสาหัสหนักมากด้วยล่ะ”

“ผมว่าแล้ว” โจวกุยหลายกลอกตา “เขาช่างมีความสามารถไม่น้อยจริง ๆ!”

หู่จือกับกังจือขมวดคิ้ว

“ถ้าได้ไปโรงเรียนภาคค่ำกับเขาก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เมื่อไหร่ที่เขาเรียกให้ไปสู้ พวกนายรีบถอยเลยนะ” โจวเฉวี่ยนเตือนหู่จือกับกังจือ

เขาสนิทกับหู่จือ กังจือ และคนอื่น ๆ แต่ไม่มีความสนิทใจกับสวี่เชิ่งเฉียงเลย พวกเขาทั้งสองดูราวกับคนแปลกหน้า

สวี่เชิ่งเฉียงเข้าเรียนโรงเรียนภาคค่ำในห้าวันต่อมา แต่เขาไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับโจวเอ้อร์นีและคนอื่น ๆ และยังไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับกังจือด้วย เขาอยู่ในชั้นเรียนที่พื้นฐานที่สุด และเนื้อหาวิชาที่เขาเรียนก็ง่ายกว่าคนอื่น ๆ

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเรียนไม่ทันเพื่อน ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีพรสวรรค์ด้านการเรียนด้วย แทนที่จะกล่าวว่าเขาไปเรียนโรงเรียนภาคค่ำ จริง ๆ แล้วคือเขาไปหลับในชั้นเรียนภาคค่ำต่างหาก

กังจือเรียนอยู่ในชั้นเรียนข้าง ๆ เขา แม้เขาจะเรียนไม่เก่ง แต่เขาก็ว่านอนสอนง่าย เขาหวาดกลัวน้าสะใภ้สี่ กลัวว่าถ้าเกิดน้าสะใภ้สี่ทดสอบความรู้ของเขาเข้าสักวันล่ะ? ดังนั้นเขาจึงใส่ใจกับการเรียนมาก จะมากจะน้อยก็น่าจะมีอะไรเข้าหัวเขาบ้างล่ะน่า

ไม่เหมือนกับสวี่เชิ่งเฉียง หลังเรียนไปได้ไม่กี่บท เขาก็หยุดเรียนและไปนอนหลับที่นั่นแทน

กังจือมีจิตใจดีและถามเขาว่ามีตรงไหนอยากให้เขาสอนบ้างหลังเลิกเรียนแล้ว แต่สวี่เชิ่งเฉียงก็ปฏิเสธทันควัน

กังจือจึงปล่อยเขาไป เขาเองก็ไม่อยากพูดเรื่องของสวี่เชิ่งเฉียง แต่เมื่อเขามาที่บ้านของท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจว ผู้เฒ่าทั้งสองก็คงจะถามเขาในเรื่องนี้

กังจือไม่รู้จะโกหกอย่างไรจึงตอบไปว่า “ผมเองก็ไม่รู้ชัดนะครับ เพราะเราไม่ได้เรียนห้องเดียวกัน เขาเรียนอยู่ห้องข้าง ๆ ผม เวลาที่ผมถามเขาว่าเข้าใจไหม เขาก็บอกว่าเขาเข้าใจ”

“ถ้างั้นให้น้าสะใภ้ของเธอสอนเขาดีกว่านะ” ท่านแม่โจวพูด

นางรู้สึกว่าด้วยความรู้ของสะใภ้สี่แล้ว เฉียงจือคงจะบรรลุวิชาขึ้นมาได้หากหล่อนเต็มใจจะสอนเขา

“คุณยาย อย่าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคุณน้าสะใภ้นะครับ เป็นเพราะเรื่องนี้แหละครับที่ทำให้คุณน้าสะใภ้ไม่คุยกับคุณน้ามาหลายวันแล้ว” กังจือบอก

“หา?” ท่านแม่โจวอึ้งไป

“พวกเขาทะเลาะกันเหรอ?” ท่านพ่อโจวเอ่ยแทรก

“ไม่เชิงทะเลาะหรอกครับ แค่เมินคุณน้าเฉย ๆ” กังจือตอบ

“แค่เพราะคุณน้าของเธอยอมให้เฉียงจือเข้าโรงเรียนภาคค่ำ น้าสะใภ้เลยไม่พอใจงั้นเหรอ?” ท่านแม่โจวถาม

“คุณพูดอะไรน่ะ? สะใภ้สี่ไม่ได้ใจแคบขนาดนั้นสักหน่อย” ท่านพ่อโจวย่นคิ้ว

………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แม่งอนพ่อเลยทีนี้ ตัวซวยชัด ๆ พี่น้องเชิ่ง ๆ สองคนนี่

สะใภ้สี่ไม่สนใจขนาดนี้แล้วยังไม่ชัดอีกเหรอคะย่าโจว ยังจะหวังให้สอนหลานชายหัวร้อนคนนี้อยู่อีกเหรอคะ

แม่จะหายงอนพ่อตอนไหนกันน้า

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset