บทที่ 430 ปฏิเสธหล่อน

บทที่ 430 ปฏิเสธหล่อน

บทที่ 430 ปฏิเสธหล่อน

คู่รักมักทะเลาะกันเหนือเตียงและคืนดีกันท้ายเตียง มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย

หลังนอนหลับฝันดีในคืนนั้น วันต่อมาอารมณ์ของหลินชิงเหอก็เป็นปกติ

หลังกินอาหารเช้าเสร็จ เธอจึงเดินทางไปสอน

หู่จือกับกังจือเพิ่งตื่นนอน ปกติร้านเสื้อผ้าจะเปิดเมื่อเวลาแปดโมงครึ่ง ซึ่งตอนเช้าจะไม่มีลูกค้าเข้าร้าน แต่หลังจากสิบโมงเช้าเป็นต้นไปก็เริ่มมีคนมาซื้อเสื้อผ้า และช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดก็เห็นจะเป็นตอนบ่าย

หู่จือกับกังจือตรงไปที่ร้านเกี๊ยวเพื่อกินอาหารเช้าหลังแปรงฟันเสร็จแล้ว

แต่เมื่อออกจากประตูห้อง พวกเขาก็เจอจางเหมยเหลียนเข้าพอดี

กังจือขยิบตาให้พี่ชายก่อนเดินจากไป หู่จือเหลือบมองจางเหมยเหลียนและเอ่ยขึ้น “มีอะไรเหรอครับ?”

หลังผ่านมาหลายวัน หู่จือก็รู้เจตนาของจางเหมยเหลียนโดยไม่ต้องบอก ก่อนหน้านี้หล่อนพูดว่าจะแนะนำเขาให้ผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าหล่อนกำลังพูดถึงตัวหล่อนเอง

จางเหมยเหลียนเม้มปากคลี่ยิ้ม “คุณว่างเมื่อไหร่เหรอคะ? เราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะกันดีไหมคะ?”

“ไม่ว่างครับ” หู่จือส่ายหน้า เขาตอบและทำท่าจะผละจากไป

จางเหมยเหลียนหยุดเขาไว้และพูดกับเขาด้วยแววตาน้อยใจ “ทำไมคุณเป็นอย่างนี้ล่ะคะ? ฉันชวนคุณไปดูหนังกับเดินเล่นตั้งหลายรอบ ครั้งสุดท้ายคุณว่างทั้งวันและฉันก็ขอให้คุณพาไปกำแพงเมืองจีน แต่คุณก็ไม่ไปเหมือนกัน!”

หล่อนรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะหมดความอดทนเต็มที หู่จือคนนี้เป็นคนดื้อด้านทึ่มทื่อโดยแท้ แต่ทุกคนที่หล่อนชอบก็ตีจากกันหมดแล้ว เหลือแค่เขาเท่านั้นที่เหลืออยู่

หล่อนคิดว่าคงจะดีหากได้เข้าห้องกับเขาไปทำเรื่องอย่างว่า แต่ผู้ชายทึ่มนี่ก็ไม่มีเจตนาแบบนั้นตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้

หู่จือเหลือบมองหล่อนและเอ่ยกลับ “ผมไม่เคยคิดจะแต่งงานกับสาวเมืองหลวงเลย”

โดยเฉพาะผู้หญิงคนนี้ที่ดูเหมือนจะรับมือยาก เขาไม่ชอบผู้หญิงที่ทำตัวขี้น้อยใจตาแดงก่ำเป็นสนิมสร้อยแบบนี้

“แต่…แต่ฉันชอบคุณนะ” จางเหมยเหลียนแสดงสีหน้าเอียงอาย แต่ในใจกลับแค่นดูถูก อย่างน้อยก็รู้ตัวสักทีนะ!

“ทำไมคุณถึงชอบผมล่ะครับ?” หู่จือไม่เข้าใจ เขาไม่ใช่คนที่จะรู้สึกดึงดูดกับผู้หญิงคนไหนง่าย ๆ จึงตอบไปอย่างซื่อตรง “ครอบครัวของผมยากจนมาก ผมยังมีน้องชายและน้องสาวอยู่ที่บ้านอีกหลายคน พ่อแม่ของผมเป็นชาวนาทั้งคู่ และผมก็มีทะเบียนบ้านอยู่ที่ชนบทด้วย”

เมื่อเขามาที่นี่ เขาก็ได้เห็นว่าคนเมืองหลวงดูถูกทะเบียนบ้านในชนบทกี่คนบ้าง หู่จือจึงไม่คิดจะแต่งงานกับผู้หญิงที่นี่เลย

แน่นอนว่าถ้ามีผู้หญิงดี ๆ เต็มใจจะแต่งงานกับเขา เขาก็จะรู้สึกขอบคุณหล่อนไปทั้งชีวิต เขาจะดูแลหล่อนอย่างดีตลอดชีพ แต่ผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นแบบที่เขาชอบด้วย

จางเหมยเหลียนไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่เขาชอบเลย โดยเฉพาะตอนที่เขาถามโจวเฉวี่ยนว่าตระกูลจางข้างบ้านเป็นอย่างไรบ้าง เพราะหล่อนชวนเขาไปดูหนังหลายรอบเหลือเกิน

โจวเฉวี่ยนรู้เรื่องราวเน่าเฟะของตระกูลจางอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจางเหมยเหลียนกำลังวางแผนจับหู่จือ เพราะหล่อนมักจะหลีกเลี่ยงผู้คนเสมอ เป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กหนุ่มกำลังโตอย่างเขาจะพูดเรื่องของจางเหมยเหลียนและจางเหมยเหอได้

เมื่อหู่จือถาม โจวเฉวี่ยนก็บอกแค่ว่าคนตระกูลจางนิสัยไม่ดี

เป็นเพราะพวกเขานิสัยไม่ดีนี่เอง คุณน้ากับคุณน้าสะใภ้จึงมีปฏิสัมพันธ์กับแค่ตระกูลหม่าต่อให้ตระกูลจางเป็นเพื่อนบ้านของพวกเขาด้วยเหมือนกัน

ดังนั้นหู่จือจึงไม่คิดมากแต่อย่างใด จางเหมยเหลียนก็ไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่เขาชอบเช่นกัน

หู่จือตอบปฏิเสธไปอย่างชัดเจนมาก แต่ไม่คิดเลยว่าจางเหมยเหลียนจะทำราวกับไม่รับรู้ เรื่องนี้จึงทำให้หู่จือรู้สึกงุนงง

ผู้หญิงจากเมืองหลวงคนนี้ชอบเขาที่ตรงไหนกัน?

“ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอกค่ะ” จางเหมยเหลียนตอบ แต่ในใจของหล่อนกลับพูดว่า ปิดบังฉันอยู่สินะ สวี่เชิ่งเหม่ยบอกว่าครอบครัวของนายที่ชนบทไม่ได้ยากจนเลย

หู่จือย่นคิ้วและไม่เอ่ยอะไร

“ฉันชอบคุณตรงที่คุณตรงไปตรงมาและขยันทำงาน แถมยังมั่นคงและซื่อสัตย์ด้วยค่ะ” จางเหมยเหลียนเงยหน้ามองเขา

ความจริงแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องที่สวี่เชิ่งเหม่ยบอกว่าในอนาคตน้าสะใภ้ของเขาจะให้เขาออกมาทำธุรกิจด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นหล่อนคงจะยอมแพ้ไปนานแล้ว

เขาไม่เข้าใจความนัยที่ซ่อนอยู่จริง ๆ หล่อนรุกเขาหนักขนาดนี้ เขาก็น่าจะพาหล่อนเข้าบ้านไปดื่มน้ำสักแก้วหรืออะไรก็แล้วแต่ตอนที่ไม่มีใครอยู่บ้าน จากนั้นหล่อนก็จะใช้มารยามอบกายของหล่อนให้เขา จากนั้นก็จบ? ง่ายจะตาย

แต่ใครจะคิดว่าเขาไม่มีเจตนาแบบนั้นเลยสักนิด?

“เราเข้ากันไม่ได้หรอกครับ” หู่จือพูดพลางส่ายหน้า สวี่เชิ่งเหม่ยเพิ่งทำให้น้าสะใภ้รู้สึกผิดหวังเมื่อไม่นานมานี้เอง ถ้าเขาจะประหารก่อนรายงานทีหลังด้วยล่ะก็ หล่อนคงจะผิดหวังมาก

คิดดังนี้แล้วเขาก็มองหน้าจางเหมยเหลียนตรง ๆ และเอ่ยชัดเจน “อย่าตามหาผมอีกเลยครับ”

ครั้งนี้เขาพูดชัดเจนพอแล้ว เมื่อหู่จือพูดเสร็จเขาก็ผละจากไป ต่อให้เขาต้องแต่งงานกับสาวเมืองหลวง หล่อนก็จะต้องเป็นคนที่น้าสะใภ้ของเขาพบและแนะนำให้เขา

เขาไม่มีทางประหารก่อนรายงานทีหลังหรอก น้าสะใภ้ของเขามีสายตาเฉียบคมนัก หลังเกิดเหตุการณ์แบบนั้นกับสวี่เชิ่งเหม่ย น้าสะใภ้ของเขาก็ได้พูดกรอกหูพวกเขาเสมอ

หู่จือมุ่งหน้าไปที่ร้านเกี๊ยวเพื่อมากินเกี๊ยว ทิ้งให้จางเหมยเหลียนยืนแข็งทื่อด้วยความเดือดดาล

หนุ่มยากจนจากชนบทสมกับเป็นหนุ่มยากจนจากชนบทอยู่วันยังค่ำ เขาไม่รู้จักคว้าผลประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้เลย หล่อนเป็นแบบนี้แล้วเขายังเฉยเมยและปฏิเสธหล่อนอยู่อีก!

จางเหมยเหลียนโมโหเสียจนรู้สึกแน่นในอกไปหมด

หล่อนหันหลังเดินจากไป คุณป้าหม่าที่อยู่ชั้นสามก็มองตามพลางย่นคิ้ว ทำไมหู่จือพูดคุยกับจางเหมยเหลียนนานขนาดนี้นะ?

คุณป้าหม่ารู้สึกชอบใจหู่จือกับเด็กหนุ่มคนอื่น ๆ มาก พวกเขาล้วนกระฉับกระเฉงและซื่อตรง ไม่สนใจเรื่องหยุมหยิม แล้วหญิงชราคนไหนจะไม่ชอบเด็กหนุ่ม ๆ เหล่านี้เมื่อได้เห็นพวกเขากันล่ะ?

และนางก็รู้ชัดว่าลูกสาวตระกูลจางคนนี้เป็นผู้หญิงแบบไหน

หลังจากที่นางทำอาหารที่บ้านเสร็จแล้วนางก็มาทำงาน เมื่อเห็นว่ามีแค่โจวชิงไป๋อยู่ที่ร้านเกี๊ยว นางก็บอกเรื่องนี้กับเขา

“เมื่อเช้านี้ทั้งสองคนยืนคุยอยู่ตรงนั้นนานมากเลยจ้ะ ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน จางเหมยเหลียนคนนั้นน่ะมีชื่อเสียย่ำแย่ ควรจะบอกหู่จือให้อยู่ห่าง ๆ หล่อนดีกว่านะจ๊ะ” คุณป้าหม่าแนะนำ

“ทำไมหู่จือถึงคุยกับหล่อนเหรอครับ?” โจวชิงไป๋ย่นคิ้วเช่นกัน

โจวชิงไป๋รู้ดีถึงชื่อเสียของสองสาวตระกูลจาง

“เด็กหนุ่ม ๆ ก็แบบนี้แหละจ้ะ มีใครบ้างที่ไม่อยากคุยกับผู้หญิง?” คุณป้าหม่าไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ นางพูดขณะที่ล้างจานไปด้วย “ติดแค่ว่าอย่าเป็นจางเหมยเหลียนก็แล้วกันจ้ะ หล่อนเคยทำแท้งมาก่อน หู่จือจะไม่ทุกข์ยากเหรอถ้าเขาได้แต่งงานกับหล่อนไป?”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ พวกเขาแค่เจอกันเป็นครั้งคราว” โจวชิงไป๋ตอบ

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่เหรอจ๊ะ ดูจากพฤติกรรมของจางเหมยเหลียนแล้วป้าคิดว่าหล่อนจะต้องมีเจตนาจับหู่จือแน่ ๆ คุณต้องระวังไว้นะจ๊ะ ถ้าได้เป็นเขยตระกูลจางแล้วล่ะก็ จะมีแต่ปัญหาตามมาไม่หยุดหย่อนเลยจ้ะ” คุณป้าหม่าเตือน

พวกเขาเป็นเพื่อนบ้านกันมานานกี่ปีกัน? ใครบ้างในย่านนี้ไม่รู้ว่าตระกูลจางเน่าเฟะเพียงใด? ใครก็ตามที่ได้มาเป็นเขยของพวกเขาจะมีแต่ความโชคร้าย

“ครับ ถ้าน้าสะใภ้ของเขากลับมาแล้วผมจะบอกหล่อนให้นะครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า

เห็นชัดว่าโจวชิงไป๋ไม่อยากให้หลานชายของเขาข้องเกี่ยวใด ๆ กับตระกูลจาง ส่วนหลินชิงเหอไม่มีสอนแล้วหลังจากสิบเอ็ดโมง เธอจึงกลับมาก่อน และมุ่งหน้าไปร้านเกี๊ยวเพื่อหาชายแก่ของเธอ

เขามีอายุเข้าเลขสี่แล้วแต่เมื่อคืนนี้ก็ยังไม่หยุดรุ่มร่ามกับเธอ ยิ่งกว่านั้นยังตื่นแต่เช้าตรู่อีกด้วย เขาช่างมีพลังงานล้นเหลือจริง ๆ ไม่รู้ว่าไปได้รับพลังงานมาจากไหน

……………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ปรบมือให้หู่จือหน่อยค่ะ ทำดีมากเลยลูก ปฏิเสธหนักแน่นแบบนี้แหละดีแล้ว

เหมยเหลียน เธอนกนะคะ ทำใจแล้วหาคนใหม่เถอะค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset