บทที่ 441 ธุรกิจอาหารทะเล

บทที่ 441 ธุรกิจอาหารทะเล

หลินชิงเหอไม่รู้ความคิดของลูกชายคนเล็ก เธอไม่ได้บังคับควบคุมอะไรเขา แต่ปล่อยให้เขาจัดการเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเอง

กล่าวได้ว่าหลินชิงเหอไม่ได้เข้มงวดกับลูกชายทั้งสามคนในเรื่องเงินมากนัก เธอไม่เหมือนกับครอบครัวอื่นที่ไม่ได้ให้เงินกับลูกเลย ลูก ๆ ของเธอสามารถเก็บเงินเพื่อซื้อสิ่งที่พวกเขาต้องการเองได้

หลินชิงเหอสนับสนุนในเรื่องนี้

วันเวลาผ่านไปจนมาถึงวันหยุดภาคฤดูร้อน

หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ไม่ได้มุ่งลงไปตอนใต้ทันที ทั้งคู่ส่งมอบร้านให้เจ้าสามดูแลต่อ จากนั้นก็พากันไปว่ายน้ำ ดูหนังหรือทำกิจกรรมประมาณนี้ พวกเขาพักผ่อนกันอยู่ 2 วันก่อนที่จะเดินทางลงใต้

หลังจากที่ทั้ง 2 คนออกเดินทางลงไปทางตอนใต้ โจวกุยหลายก็เชิญเฒ่าหวังมาช่วยที่ร้านด้วย “คุณปู่ต้องช่วยผมด้วยนะครับ พี่ใหญ่ไม่อยู่ที่บ้าน พี่รองก็ไปสอนหนังสืออีก ป๊าม้าที่สุดแสนจะโรแมนติกของผมก็ลงใต้กันไปแล้วครับ ทิ้งภาระไว้ให้ คุณปู่คุณย่าของผมต้องช่วยอาเล็กดูแลเด็ก ๆ และคอยรับส่งเฉิงเฉิงและคนอื่นไปโรงเรียน”

ดังนั้น หลังจากที่ไล่นับดูแล้ว เหลือแค่เฒ่าหวังคนเดียวที่สามารถมาช่วยได้

เฒ่าหวังไม่มีวันหยุด ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยยังไม่ได้ปิด แต่ที่นั่นไม่ได้มีเขาทำงานอยู่แค่คนเดียว ดังนั้นเขาจึงขอลาหยุด 2 เดือนเพื่อมาช่วยโจวกุยหลาย

อันที่จริงไม่ได้มีอะไรให้เขาต้องช่วยทำมากนัก แค่ช่วยเก็บเงินและทอนเงิน จากนั้นก็ล้างมือแล้วไปช่วยห่อเกี๊ยวเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไร

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ทิ้งความรับผิดชอบไว้ให้ ทุกวันนี้ พวกเขายิ่งรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นและรู้สึกไม่มีภาระอย่างสิ้นเชิง

ในเวลานี้ ทั้งคู่อยู่ในตู้รถไฟ

หลินชิงเหอกินแอปเปิลแล้วพูดว่า “ครั้งนี้ไปที่ท่าเรือกันนะคะ ลองไปดูว่ามีอาหารทะเลบ้างหรือเปล่า

“อืม” โจวชิงไป๋พยักหน้า เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้น

“มีอะไรหรือคะ?” หลินชิงเหอถาม

“ดูเหมือนว่าจะมีคนจำนวนมากที่ถูกเลิกจ้างนะครับ” โจวชิงไป๋บอก

หลินชิงเหอไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร ไม่ใช่เพราะโรงงานของซูต้าหลินอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่หรือ เขาถึงได้ตัดสินใจสละเรือทิ้งและพาลูก ๆ มาที่ปักกิ่งพร้อมกับโจวเสี่ยวเหมย

นอกจากนี้ นี่เป็นช่วงเวลาที่คนงานจะถูกเลิกจ้าง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจภาคเอกชนก็เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีให้หลังมานี้ และทำให้เกิดการจ้างงานขึ้นเป็นจำนวนมาก นี่เป็นสถานการณ์ที่เข้าใจกันได้ดีอยู่แล้ว หลาย ๆ คนก็จะเริ่มต้นในเส้นทางของธุรกิจของตนเช่นกัน สิ่งเหล่านี้จะเป็นทางออกได้

โจวชิงไป๋พลิกหน้าหนังสือพิมพ์และกล่าวว่า “ครัวเรือนที่มีรายได้ 10,000 หยวนไม่ใช่เรื่องที่หาได้ยากอีกแล้วในตอนนี้”

จิตใจของเขารู้สึกสั่นคลอนมากเช่นกัน ถึงอย่างไรนี่มันก็เพิ่งไม่กี่ปีเท่านั้นเองใช่ไหมเล่า? ครัวเรือนที่มีรายได้ 10,000 หยวนยังเป็นสิ่งที่หาได้ยากอยู่เลยในปี 1979 ทว่า ในปี 1983 นี้ ครัวเรือนที่มีรายได้ 10,000 หยวนเรียกได้ว่ามากองรวมกันอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์เลยทีเดียว

หลินชิงเหอหัวเราะ “มีคำพูดที่ว่า ‘หมื่นหยวนไม่รวย แสนหยวนเพิ่งจะเริ่มต้น ล้านหยวนจึงจะถือว่ามั่งคั่ง’ อยู่นะคะ”

แม้ว่ามันยังไม่ได้เป็นวลียอดนิยมในเวลานี้ แต่ประโยคนี้จะกลายเป็นที่นิยมในอนาคตอันใกล้นี้

โจวชิงไป่อดตั้งข้อสังเกตขึ้นมาไม่ได้ว่า ถ้าภรรยาของเขาไม่ได้เข้าไปเรียนและทำงานในมหาวิทยาลัยและพาครอบครัวมาที่นี่ด้วย วิสัยทัศน์ของเขาก็คงจะไม่กว้างไกลมากนัก

หากมีคนในหมู่บ้านต้องการจะมีรายได้ 10,000 หยวน พวกเขาสามารถลองทำดูได้ ทว่าเขารู้ดีว่า หากต้องการมีรายได้ 10,000 หยวนในหมู่บ้าน มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ เลย

“ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ฉันจะซื้อที่ดินในทำเลที่ดีเพิ่มอีก 2-3 ที่และจะเก็บมันไว้ จากนั้นฉันจะสร้างหอพักสัก 2-3 แห่งเพื่อให้คนที่ไม่มีที่อยู่ในปักกิ่งเช่าในภายหลัง เมื่อเราแก่จนไม่สามารถทำงานได้แล้ว เราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเงิน” หลินชิงเหอปลอบโยนผู้ชายของเธอ

โจวชิงไป๋หัวเราะออกมา

หลินชิงเหอทอดตัวเอนลงไปในอ้อมแขนของเขา การได้ใช้ชีวิตเป็นเจ้าของที่ดิน ไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนาหรอกหรือ?

ลองนึกภาพตนเองสวมชุดนอนและรองเท้าแตะถือพวงกุญแจพวงใหญ่เอาไว้ในมือ พร้อมกับหาวไปด้วยในตอนที่เก็บค่าเช่าสิ นี่มันเจ๋งไปเลย

ทั้งคู่มาถึงทางตอนใต้ จากนั้นก็ออกไปที่นอกเมืองและรอจนกระทั่งไม่มีคนอยู่แถวนั้น พวกเขาจึงขับรถบรรทุกออกมา

วันของการเป็นผู้ค้าเก็งกำไรก็เริ่มต้นขึ้น

ปัจจุบันทุกคนกำลังร่ำรวยมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ทีวีสีซึ่งมีราคาถึงหลายร้อยหยวนก็ยังเป็นที่ต้องการ

นอกจากนี้ยังมีเครื่องบันทึกเทป พัดลมไฟฟ้า นาฬิกา และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งของทั้งหมดหลังจากที่ซื้อมาแล้วต่างก็ขายออกไปได้ง่ายมาก

ปีนี้พวกเขาทำเงินได้มากกว่าปีก่อน เมื่อทั้งคู่กลับมานับเงินที่บ้านพักรับรองแขกกันในคืนนั้น ก็พบว่าได้เงินรวมมากถึงเกือบ 40,000 หยวน

แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ความตื่นเต้นของการเป็นผู้ค้าเก็งกำไรคือการทำเงินได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากที่พักผ่อนไปหนึ่งคืนแล้ว ทั้ง 2 คนก็ขับรถไปซื้อมอเตอร์ไซค์กัน นอกจากซื้อมอเตอร์ไซค์ให้กับพี่สามแล้ว พวกเขายังซื้อน้ำมันมาอีก 2-3 ถัง จากนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนเส้นทางและไปที่ท่าเรือเพื่อซื้ออาหารทะเลแห้ง

“อาหารทะเลเหรอครับ งั้นคุณมาถูกที่แล้วครับ เรามีหอยเป๋าฮื้อแห้ง ปลิงทะเลแห้งและปลาหมึกแห้งจำหน่ายทั้งหมด คุณต้องการกระเพาะปลาหรือครับ? พวกมันทั้งหมดเป็นวุ้นกระเพาะปลาขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพสูง มีหลายชนิดเลยครับ เถ้าแก่ทั้งสองต้องการซื้อเท่าไหร่ดีครับ?” เถ้าแก่ร้านขายอาหารทะเลถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น

แน่นอนว่าเขาต้องกระตือรือร้นอยู่แล้ว ก็พวกเธอขับรถบรรทุกมา

“ช่วยพาเราไปดูรอบ ๆ ก่อนนะคะ” หลินชิงเหอพูด

“ไม่มีปัญหาครับ” เถ้าแก่พยักหน้า จากนั้นก็นำหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋เดินดูรอบ ๆ

หลังจากเดินดูโดยรอบไปหนึ่งรอบ หลินชิงเหอก็รู้สึกอยากทำธุรกิจอาหารทะเลขึ้นมา จึงกล่าวขึ้นว่า “เถ้าแก่คะ ที่นี่คุณมีอาหารทะเลครบชุดเลย หลัก ๆ แล้วคุณมีทุกอย่างเลยนะคะเนี่ย”

“ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ไม่อย่างนั้นผมจะบอกหรือว่าคุณมาถูกที่แล้วได้เหรอ? ที่นี่เป็นโรงงานแปรรูปอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่นี้เลยละครับ” เถ้าแก่ร้านอาหารทะเลตอบ

“คุณร่วมมือกับทางรถไฟด้วยหรือเปล่าคะ?” หลินชิงเหอถาม

“หมายความว่ายังไงครับ?” เจ้าของร้านชะงักและรู้สึกงุนงง

“เรามาจากปักกิ่งน่ะค่ะ ฉันมีร้านอาหารทะเลที่นั่น แต่มีของให้เลือกซื้อน้อย ดังนั้น ฉันก็เลยอยากจะร่วมทำธุรกิจกับคุณ” หลินชิงเหออธิบาย

เธอกำลังคิดจะไปที่ต้าเหลียนเพื่อสำรวจดู ที่นั่นอุดมไปด้วยอาหารทะเลมากมายเป็นพิเศษ

“คุณมาจากปักกิ่งนี่เอง มิน่าสำเนียงพูดคุณถึงได้ค่อนข้างแปลก” เถ้าแก่ร้านอาหารทะเลรู้สึกประหลาดใจ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก แม้ตอนนี้ทุกอย่างเปิดเผยแล้ว เขาก็ยังรู้สึกลังเลอยู่บ้าง “นั่นมันไกลมากเลยนะครับ เราไม่มีปัญหาในเรื่องการส่งของไปให้คุณหรอกครับ แต่ว่าทุกครั้งที่สั่งซื้อ คุณจะต้องสั่งในปริมาณที่มาก ไม่อย่างนั้นค่าใช้จ่ายในการส่งของจะไม่คุ้ม ผมจะส่งคนงาน 2 คนไปส่งของให้ที่นั่น”

“สั่งซื้อแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 1,000 ค่ะ” หลินชิงเหอบอก

“นั่นน้อยเกินไปครับ ไม่คุ้มทุนเลย” เถ้าแก่ส่ายศีรษะ

“1,000 นี่น้อยหรือครับ?” โจวชิงไป๋เหลือบมองไปที่เขา

เถ้าแก่ร้านอาหารทะเลตอบกลับด้วยภาษาจีนกลางที่ย่ำแย่ “ใช่ครับ มันยังน้อยไป อาหารทะเลพวกนี้ราคาแพงมาก ผมขายให้ในราคาส่งและจัดส่งให้คุณถึงหน้าประตูเลย แต่จำนวนเริ่มต้นของการสั่งซื้อจะต้องไม่ต่ำกว่า 2,000 ครับ”

หลินชิงเหอถามเกี่ยวกับราคาสินค้าในแต่ละอย่าง ในบรรดาของทั้งหมด หอยเป๋าฮื้อแห้งและปลิงทะเลแห้งมีราคาแพงมาก ส่วนวุ้นกระเพาะปลามีคุณภาพแตกต่างกันไป และชนิดที่ดีที่สุดก็มีราคาแพงเช่นกัน

ดังนั้นถ้าจะซื้อของที่ดีที่สุด คำสั่งซื้อครั้งละ 2,000 หยวนนับว่าไม่ได้มากเลยจริง ๆ

“เราต่างก็เป็นคนค้าคนขาย อย่างน้อยความน่าเชื่อถือก็เป็นสิ่งจำเป็น ผมจะไม่ขออะไรมากหรอกครับ แค่ตอนที่สินค้าส่งไปถึงคุณแล้ว คุณต้องตรวจเช็กของและชำระเงินทันที แต่ถ้าไปส่งสินค้าแล้ว ติดต่อหาใครไม่เจอเลย ผมถูกหลอกและคนของผมต้องเดินทางไปโดยสูญเปล่า ต่อไปในอนาคตก็อย่าคิดว่าจะกลับมาซื้อสินค้าที่นี่อีก จะไม่มีการขายอะไรให้กับคุณอีกเลย” เถ้าแก่ร้านอาหารทะเลกล่าว

…………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พ่อกับแม่ทิ้งลูกให้เฝ้าร้านแล้วไปหวานกันสองคนอีกแล้ว เจ้าสามทำใจเถอะค่ะ ๕๕๕

เดี๋ยวนี้สินค้าพรีเมี่ยมขึ้นเรื่อย ๆ นะคะแม่ เป๋าฮื้องี้ ปลิงทะเลงี้ กระเพาะปลางี้ บางอย่างยิ่งเก็บไว้นานราคายิ่งสูงขึ้นอีก บ้านคนจีนบางบ้านคือเก็บกระเพาะปลาแห้ง หูฉลามแห้งอันใหญ่ๆ ไว้เป็นสมบัติชิ้นหนึ่งเลย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset