บทที่ 447 มีเสน่ห์ขึ้น

บทที่ 447 มีเสน่ห์ขึ้น

เมื่อเร็ว ๆ นี้ โรงงานหลาย ๆ แห่งในอำเภอได้ปิดตัวลง ซึ่งทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในปีนี้

และโรงงานที่ซูต้าหลินเคยทำงานอยู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น ครอบครัวของคุณลุงเขาทำงานอยู่ในโรงงานแห่งนี้กันทุกคน

ตอนนี้พวกเขาจึงกลายเป็นคนว่างงาน

หลินชิงเหอกล่าวว่า “พอกลับไปถึงแล้ว ฉันจะไปบอกน้องเล็กดูนะคะ”

คุณลุงและคุณป้าของต้าหลินเคยช่วยดูแลครอบครัวเล็ก ๆ ของพวกเขามามาก พวกเขาไม่สามารถจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องได้ จึงต้องบอกเรื่องนี้ให้พวกเขาทั้ง 2 คนรับรู้ด้วย ส่วนเรื่องที่ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร ก็ต้องขึ้นอยู่กับซูต้าหลินกับครอบครัวของเขาเอง

หลังจากที่กินอาหารเย็นกับพี่ชายสามและสะใภ้สามเสร็จแล้ว หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็ไปที่บ้านน้องชายตระกูลหลิน

แม้ไม่ได้กินมื้อเย็นที่นี่ แต่สะใภ้สามตระกูลหลินก็ทำถั่วต้มน้ำตาลเป็นของหวานเอาไว้ให้

หลังจากที่นั่งกินอยู่กับพวกเขาอยู่นาน ก็ได้เวลาที่จะต้องเข้านอนกันแล้ว

พวกเขาจะต้องเข้านอนเร็ว เนื่องจากน้องชายสามตระกูลหลินต้องออกไปรับซื้อผลไม้และผักที่ชนบทตั้งแต่เช้าตรู่

หลินชินเหอและโจวชิงไป๋จึงกลับเข้าห้องนอนแขกเพื่อไปพักผ่อน พวกเขาก็รู้สึกเหนื่อยเช่นกัน ดังนั้นจะต้องเข้านอนแต่หัววัน

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อน้องชายสามตระกูลหลินตื่นนอน คู่สามีภรรยาก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเขา

“พี่สาว พี่เขย กลับไปนอนก่อนเถอะครับ ยังเช้ามืดอยู่เลย” น้องชายสามตระกูลหลินพูด

สะใภ้สามตระกูลหลินซึ่งทำเล่าปิ่งให้เขาได้กล่าวว่า “ตอนนี้ยังเช้ามืดอยู่ พี่สาวสาม พวกพี่กลับเข้าไปนอนต่อเถอะค่ะ”

ตอนนี้ฟ้ายังมืดอยู่เลย มันเพิ่งจะเป็นเวลาตี 5 ครึ่งเท่านั้น

“ไม่ล่ะจ้ะ ถือเสียว่าจะได้กลับไปถึงที่หมู่บ้านก่อนที่อากาศจะร้อน ไม่อย่างนั้นพี่สะใภ้ใหญ่ของพี่กับคนอื่น ๆ คงจะออกไปทุ่งนากันหมด” หลินชิงเหอตอบ

เธอและโจวชิงไป๋เข้าไปแปรงฟัน จากนั้น ก็มานั่งกินเล่าปิ่งกับโจ๊กด้วยกัน

เมื่อน้องชายสามตระกูลจะออกจากบ้าน ทั้งคู่ก็เข็นจักรยานของน้องชายสามตระกูลหลินออกมา

“ไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่เขยของนายกับพี่ก็จะออกไปเหมือนกัน” หลินชิงเหอบอกกับเขา

“ถ้าอย่างนั้น ผมไปก่อนนะครับ” น้องชายสามตระกูลหลินพยักหน้า จากนั้นก็เร่งความเร็วขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป

หลินชิงเหอนั่งซ้อนท้ายอยู่ข้างหลังโจวชิงไป๋ ซึ่งขี่จักรยานมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านอย่างช้า ๆ และเอ่ยปากขึ้น “บ้านเกิดของเราก็พัฒนาไปรวดเร็วมากเลยนะคะ”

หลาย ๆ สิ่งซึ่งเป็นที่นิยมที่อื่นก็สามารถพบเห็นได้ในเมืองเช่นกัน เมืองเริ่มมีความพัฒนาทันสมัยขึ้นมาก

“มีคนร่ำรวยเพิ่มขึ้นมากด้วยครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า

เมื่อวานนี้ ตอนที่เขาพาพี่ชายสามฝึกขี่มอเตอร์ไซค์ไปรอบ ๆ เมือง เขาสังเกตเห็นรถยนต์ 2-3 คันและมอเตอร์ไซค์อีกจำนวนมาก เหล่าหญิงสาวบนท้องถนนก็มีบุคลิกและรูปลักษณ์ที่ดูแตกต่างไปจากเดิม

“ฉันได้ยินว่าปีนี้มีฝนตกหนักมาก เก็บเกี่ยวพืชผลไม่ได้เลยค่ะ” หลินชิงเหอกล่าวต่อ

“ฝนตกหนักเหรอครับ?” โจวชิงไป๋ชะงักไป

“พี่สะใภ้สามบอกฉันว่าไม่มีการเก็บเกี่ยวฤดูร้อน โชคดีที่มีแค่ 2 อำเภอที่ได้รับผลกระทบ อาหารถูกส่งมาจากที่อื่นได้ ถึงได้ไม่มีคนอดตายน่ะค่ะ” หลินชิงเหอพูด

โจวชิงไป๋พยักหน้า ถ้ามันไม่ได้ก่อให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่มากนักก็ไม่เป็นไร

“ฉันได้ยินว่าซานนีก็ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้ด้วยค่ะ หมู่บ้านหลี่เจี่ยไม่ได้ใหญ่นัก ฉันเดาว่าอาจจะมีคนโทษหล่อนในเรื่องนี้” หลินชิงเหอเอ่ย

โจวชิงไป๋ไม่ได้พูดอะไร หลานสาวแต่งออกไปแล้ว ดังนั้นหล่อนจะใช้ชีวิตอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับตนเอง

“พี่สะใภ้สามเล่าให้ฉันฟังว่า หลี่อ้ายกั๋วสอบถามเรื่องร้านค้าในเมือง เขาน่าจะคิดเรื่องมาเปิดร้านในเมืองน่ะค่ะ” หลินชิงเหอกล่าว

“ขาเขาไม่ดีไม่ใช่เหรอครับ” โจวชิงไป๋กล่าว

“ใช่ค่ะ ขาเขาไม่ดี ถ้าเขาจะเปิดร้านในเมือง ก็น่าจะค้าขายแข่งกับคนอื่นไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะเต็มใจไปอยู่กับเราหรือเปล่า” หลินชิงเหอบอกแผนการของเธอ

อันที่จริงแล้ว โจวซานนีหลานสาวคนนี้ไม่เลวเลย แต่หล่อนถูกเลี้ยงดูให้กลายเป็นคนเก็บตัวไม่พูดไม่จาเช่นนี้เป็นเพราะสะใภ้รอง

ตอนนี้หล่อนมีสุขภาพร่างกายทรุดโทรมและไม่สามารถมีลูกได้ หลินชิงเหอจึงรู้สึกว่าโจวซานนีจะมีชีวิตใหม่ได้ถ้าหล่อนไปอยู่ที่ปักกิ่ง

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะย้ายไปอยู่ในอำเภอ แต่การแพทย์ก็ไม่ดีเท่ากับที่ปักกิ่งอยู่ดี

ถ้าผู้หญิงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ภายใน 3 เดือนหลังจากแต่งงาน ผู้คนก็จะพูดกันถึงเรื่องนี้

ในเมืองก็เป็นเช่นนี้ อย่าว่าแต่ที่ชนบทเลย ในยุคนี้มีความตระหนักรู้ถึงเรื่องการคุมกำเนิดอยู่น้อยมาก และยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโลกของคนสองคนเท่านั้น

นอกจากนี้ ช่วงที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ โดยปกติแล้วพวกเขามักจะรีบมีลูกกันให้เร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่โจวซานนีแต่งออกไป หล่อนก็ยังไม่ตั้งครรภ์เสียทีและเกิดฝนตกหนักลงมา น่ากลัวว่าจะมีคนในหมู่บ้านไม่น้อยที่จะวิพากษ์วิจารณ์หล่อน

“ให้ไปดูร้านอาหารทะเลแห้งหรือครับ?” โจวชิงไป๋ซึ่งเข้าใจจุดประสงค์ของเธอได้ถามขึ้น

“คุณคิดว่ายังไงคะ?” หลินชิงเหอถาม

“เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า

“เงินเดือนก็จ่ายให้กับพวกเขาทั้งคู่รวมกัน 70 หยวนต่อเดือน” หลินชิงเหอกล่าว “แต่ต้องรอพูดคุยกันอีกทีตอนที่ฉันได้เจอพวกเขา”

โจวชิงไป๋พยักหน้า แล้วทั้งคู่กลับมาถึงที่หมู่บ้าน

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเช้าตรู่แล้ว ผู้คนมากมายซึ่งไปทำงานในทุ่งนาของตนใกล้จะเสร็จงานกันแล้ว

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฤดูร้อนที่ผ่านมาไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องขยันให้มากสำหรับการเก็บเกี่ยวของฤดูใบไม้ร่วงนี้

“ชิงไป๋ อาจารย์หลิน กลับมากันแล้วเหรอจ๊ะ?” คุณป้าไฉ่ซึ่งถือกล่องข้าวอยู่รีบเอ่ยทักขึ้นทันที เมื่อมองเห็นทั้งคู่

“ใช่ค่ะ กลับมาเที่ยวดูอะไรรอบ ๆ หมู่บ้านน่ะค่ะ” หลินชิงเหอยิ้มแล้วลงจากจักรยาน “ป้าไฉ่กำลังจะไปไหนหรือคะ?”

“กำลังจะเอาอาหารเช้าไปให้โจวต้งน่ะจ้ะ” คุณป้าไฉ่บอก

“ถ้าอย่างนั้น คุณป้ารีบไปก่อนเถอะค่ะ พอมีเวลาแล้วค่อยมานั่งคุยกันที่บ้านเรานะคะ” หลินชิงเหอยิ้ม

คุณป้าไฉ่ยิ้มอย่างเห็นด้วย แล้วหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็เดินกลับบ้าน ระหว่างทางพวกเขาได้เจอคนในหมู่บ้านและได้ทักทายกัน

พี่ชายใหญ่และสะใภ้ใหญ่ไปทำงานที่ทุ่งนากันทั้งคู่ ส่วนซื่อนีถูกทิ้งไว้ให้รับผิดชอบงานในบ้าน

ปีนี้ซื่อนีโตเป็นสาวแล้ว มีหลาย ๆ คนหมายตาหล่อนเอาไว้ มีใครไม่รู้บ้างว่าหล่อนคล่องแคล่วและเรียบร้อย? สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพี่ชายใหญ่และสะใภ้ใหญ่มีชื่อเสียงที่ดีมากในหมู่บ้าน

และยังมีโจวหยางน้องชายที่อายุน้อยกว่าหล่อน 1 ปีอีก เขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี

เช่นนี้แล้วหล่อนจะไม่เป็นที่ต้องการมากได้อย่างไร?

หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ต้องเดินผ่านบ้านครอบครัวตระกูลโจวก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงแวะดูที่บ้าน โจวชิงไป๋เป็นคนเดินเข้าไป ในขณะที่หลินชิงเหอไม่ได้เข้าไปด้วย

ย้อนกลับไปในครั้งนั้น จากเหตุการณ์ที่โจวลิ่วนีหนีไปปักกิ่งโดยไม่ได้รับอนุญาต ความสัมพันธ์ของเธอและสะใภ้รองก็แตกหักสะบั้นลง ไม่มีเรื่องอะไรให้พูดคุยกันอีก

โจวชิงไป๋เดินเข้าไปดูในบ้าน พี่ชายรองและสะใภ้รองไปทุ่งนากันแล้ว ไม่มีคนอยู่ที่บ้าน

โจวชิงไป๋และหลินชิงเหอจึงไปที่บ้านหลังใหม่ของบ้านสายหลักต่อ

พวกเขารู้ว่าที่ดินของพี่ชายใหญ่และสะใภ้ใหญ่อยู่ตรงไหน ดังนั้นเมื่อมองหาครู่หนึ่งพวกเขาก็เจอบ้านอิฐ มันเป็นบ้านที่มีคุณภาพดีอย่างแท้จริง อย่างน้อยจากมุมมองในเวลานี้ มันถือว่าเป็นบ้านอิฐที่หรูหรามากทีเดียว

โจวซื่อนีบังเอิญเดินออกมาเทน้ำพอดี เมื่อเห็นคุณอาสี่และคุณอาสะใภ้สี่ของตน แววตาของหล่อนก็เป็นประกายขึ้นทันที “อาสี่ อาสะใภ้สี่!”

“ตั้งแต่ที่ได้เจอกันครั้งก่อนผ่านแค่ปีเดียวเท่านั้นเอง ซื่อนีดูมีเสน่ห์ขึ้นมากเลยละจ้ะ” หลินชิงเหอยิ้ม เมื่อเห็นรูปร่างที่เพรียวบางของซื่อนี

“อาสะใภ้สี่ อย่าล้อหนูสิคะ” โจวซื่อนียิ้มอย่างขัดเขินแล้วพูดว่า “อาสี่ อาสะใภ้สี่ เข้ามานั่งก่อนค่ะ หนูจะทำอาหารเช้าให้”

“ไม่ต้องลำบากหรอกจ้ะ เรามาที่นี่หลังจากที่ได้กินมาจากในเมืองแล้ว” หลินชิงเหอบอก “พ่อกับแม่ของหนูไปที่ทุ่งนากันแล้วหรือจ๊ะ?”

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ซานนีน่าสงสาร กลับมาคราวนี้แม่พาไปปักกิ่งพร้อมกับซื่อนีด้วยนะคะ ขืนอยู่ที่หมู่บ้านต่อไปคงไม่พ้นต้องถูกมองว่าเป็นตัวกาลกิณีทำความวิบัติให้หมู่บ้านแน่ ๆ ค่ะ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องของธรรมชาติแท้ ๆ นึกถึงตำนานล่าแม่มดของยุคกลางเลยที่คนกี่คนต้องตายไปเพราะถูกคนอื่นพากันกล่าวหาด้วยอคติโดยที่ไม่ได้ทำอะไรผิด

ไหหม่า(海馬)

ถ้าอ่าน “ทะลุมิติไปเป็นชาวนสวนแม่ลูกสาม” แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน!!

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset