บทที่ 451 คนบ้านเดียวกัน

บทที่ 451 คนบ้านเดียวกัน

“ถ้าหล่อนแค่ไม่ให้หนูไป ก็ยังไม่เป็นไร แต่นี่ ไม่เพียงแค่หล่อนไม่ตกลงนะคะ แต่ยังบอกหนูว่า หล่อนจะพาซื่อนีไปด้วย แม่ได้ยินไหมคะว่าหล่อนต้องการจะพาซื่อนีไปที่นั่นด้วย? หล่อนพาเอ้อร์นีจากบ้านสายหลักไปแล้ว ตอนนี้หล่อนยังจะพาซื่อนีไปอีก แต่กลับไม่ให้หนูไป!”

สะใภ้รองนิ่งงันไม่ไหวติง

“แม่ อย่างนี้ไม่ใช่ว่าหล่อนดูถูกบ้านของพวกเราหรอกหรือคะ? นี่เป็นเพราะว่าบ้านสายหลักกับบ้านสายสามมีนักศึกษามหาวิทยาลัยอยู่ด้วย หล่อนสนิทกับ 2 บ้านนั้น แต่ไม่อยากจะเสวนากับบ้านรองของเรา!” โจวลิ่วนีโมโหมากเสียจนจะพ่นออกมาเป็นไฟได้อยู่แล้ว

หล่อนอยากจะไปปักกิ่งจริง ๆ โดยเฉพาะยิ่งไปไม่ได้ หล่อนก็ยิ่งอยากจะไป คุณอาสะใภ้สี่คนนี้ใจหินเกินไปแล้ว ในครั้งนั้นหล่อนยังเด็กมากและก็ไปถึงที่นั่นได้สำเร็จ ทว่า เธอกลับไม่ยอมให้หล่อนอยู่แม้แต่คืนเดียวและส่งหล่อนกลับทันที

ตอนนี้หล่อนโตขึ้นแล้ว ถ้าหล่อนได้ไปที่นั่นอีกครั้ง หล่อนจะไม่เกรงใจเธออีกแล้ว

ดังนั้นหล่อนจึงได้ไปขอร้องเธอ แต่เธอก็ยังปฏิเสธอยู่ดี

สะใภ้รองนิ่งเงียบสีหน้าเคร่งขรึม

หลังจากที่โจวลิ่วนีบ่นโวยวายเรื่องหลินชิงเหอเสร็จ หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะออกไปหาพวกคนไม่เอาถ่านที่อยู่ในหมู่บ้าน

เขาฟังเรื่องบ่นของหล่อนแล้วจึงกล่าว “เธอจะไปโทษใครได้ล่ะ? ต้องโทษแม่ของเธอที่ไม่ถูกกับหล่อนเอง ป้าสะใภ้กับอาสะใภ้อีก 2 คนต่างก็สนิทสนมกับอาสะใภ้สี่ของเธอ หล่อนก็ต้องดูแลพวกเขาให้น่ะสิ แต่แม่ของเธอแสดงท่าทางแบบนั้นกับหล่อน ถ้าหล่อนดูแลเธอด้วยก็คงจะแปลกแล้ว”

“ทำไมนายยังจะพูดถึงแม่ฉันอยู่อีก!” โจวลิ่วนีไม่พอใจ

“แล้วฉันพูดอะไรผิดอย่างนั้นเหรอ?” หนุ่มไม่เอาถ่านพูด “คุณครูหลินเป็นคนที่เยี่ยมมาก

เขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับโจวข่าย ย้อนกลับไปในสมัยนั้น มีใครบ้างที่อายุเท่านั้นแล้วไม่อิจฉาโจวข่ายกับน้อง ๆ ที่มีแม่แบบคุณครูหลินบ้าง?

คุณครูหลินไม่ใช่คนใจแคบ เขาเคยไปเคาะประตูเพื่อขอน้ำกับเธอ ตอนนั้นเขาหิวมาก คุณครูหลินซึ่งในเวลานั้นกำลังทำอาหารอยู่ ให้มันเทศหัวเล็กกับเขามาหนึ่งหัว

โจวข่ายกับน้องมีแม่แบบนี้ ทำให้คนอื่นรู้สึกอิจฉามาก

เดิมที โจวลิ่วนีรู้สึกไม่พอใจ แต่ความจริง สิ่งที่เขาพูดก็มีเหตุผล

ไม่ใช่เป็นเพราะแม่หล่อนไม่ถูกกับคุณอาสะใภ้สี่หรอกหรือ? คุณป้าสะใภ้ใหญ่จะโทรศัพท์ไปหาอาสะใภ้สี่ทุกเดือน ในขณะที่แม่หล่อนไม่เคยพูดด้วยมาตลอดทั้งปี

ด้วยเหตุนี้ โจวลิ่วนีจึงกลับไปหาแม่หล่อนที่บ้านอีกครั้ง สะใภ้รองตอบกลับด้วยการตบหน้าหล่อน “แกไม่มีความสามารถเองแล้วยังจะกล้ามาขอให้ฉันไปประจบหล่อนอย่างนั้นเหรอ? นังเด็กเปรต แกอยากโดนตีใช่ไหม?”

โจวลิ่วนีวิ่งร้องไห้ออกไป

ตอนที่พี่ชายรองกลับมาถึงบ้าน เขาเห็นหล่อนกำลังวิ่งออกไปพอดี

“ลิ่วนีทำอะไรเหรอ คุณถึงได้ตีหล่อน?” พี่ชายรองถาม

“ทำไมฉันถึงตีหล่อนอย่างนั้นเหรอ? หล่อนไปหาอาสะใภ้สี่ของหล่อนเพราะอยากไปปักกิ่งด้วย แต่อาสะใภ้สี่ของหล่อนจะพาซื่อนีไปแทน หล่อนถึงได้ร้องไห้ไงละ!” สะใภ้รองทำเสียงขึ้นจมูกออกมาอย่างเย็นชา

พี่ชายรองขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “ซื่อนีเป็นคนทำงานคล่องแคล่ว ลิ่วนีที่เป็นอย่างนี้ เอาไปเทียบกับซื่อนีไม่น่าอายไปหน่อยเหรอ?”

เดิมที สะใภ้รองแค่อยากจะบ่นกับเขาเท่านั้น แต่พอได้ยินอย่างนี้ หล่อนก็หงุดหงิดขึ้นมา “อะไรนะ? ลูกสาวของคนอื่นดี แต่ลูกสาวของตัวเองไม่ดีงั้นซินะ? งั้นคุณก็ไปเป็นพ่อของคนอื่นเลยไป เป็นพ่อลิ่วนีประสาอะไร!”

พี่ชายรองตำหนิ “คุณพูดอะไร? เอาลิ่วนีไปเปรียบเทียบกับซื่อนี? เทียบไม่ได้แม้แต่ปลายผมด้วยซ้ำ!”

ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกลูกสาวคนรองของตน แต่ปกติแล้ววัน ๆ หล่อนไม่ทำอะไรเลย เห็นแก่กิน ขี้เกียจตัวเป็นขน และยังขี้ขโมยด้วย

ในขณะที่ซื่อนีหลานสาวของเขาน่ะหรือ? หล่อนทำงานเก่งทั้งในบ้านและนอกบ้าน มีหล่อนอยู่ที่บ้าน แม่ของหล่อนไม่จำเป็นต้องมาทำงานให้มือต้องเปื้อนเลย

มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือที่สะใภ้สี่จะต้องการซื่อนี แทนที่จะเป็นลิ่วนี?

นอกจากนี้ ด้วยลักษณะนิสัยของลูกสาวตน 9 ใน 10 หากได้ไปอยู่ที่นั่น หล่อนจะต้องไปก่อเรื่องขึ้นแน่ ไม่ให้หล่อนไปจะดีกว่า

ตอนนี้ก็ได้แต่อดทนรอจนกว่าหล่อนจะอายุ 18 ในปีหน้า และแต่งงานออกไป

สะใภ้รองเกรี้ยวกราด “แทนที่จะเข้าข้างครอบครัว คุณกลับช่วยแต่คนนอกตลอด ฉันไม่เคยเห็นใครเป็นอย่างคุณเลย!”

พี่ชายรองทนหล่อนต่อไปไม่ไหว จึงกลับเข้าห้องไป

หลินชิงเหอไม่รู้เรื่องเลยว่าครอบครัวสายรองเกิดเรื่องโต้เถียงกัน ถึงกระนั้นเธอก็ขี้เกียจเกินกว่าจะเอามาใส่ใจ

โจวชิงไป๋เมากลับมา หลินชิงเหอเอาน้ำมาให้ล้างหน้าพลางถาม “ทำไมถึงต้องดื่มมากขนาดนี้คะ?

“ไม่มากหรอกครับ” โจวชิงไป๋พูดพร้อมกับเขย่ามือของเธอ

เมื่อเห็นท่าทางที่ทุกข์ใจของพี่ชายรองตน โจวชิงไป๋ก็ตระหนักถึงความสำคัญของการแต่งงานกับภรรยาที่ดี

ด้วยเหตุผลอะไรบ้างอย่าง เขารู้สึกได้ว่าชีวิตเดิมของตนคงจะเป็นแบบพี่ชายรอง ไม่น่าจะต่างไปจากนี้มากนัก

แต่เพราะภรรยาของเขา เขาถึงได้เดินไปอีกเส้นทางหนึ่ง เส้นทางที่มั่นคงซึ่งทำให้เขารู้สึกมีความสุขมาก

หลินชิงเหอไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่พลางพูด “เร็วค่ะ รีบล้างหน้าก่อน แล้วไปนอนซะ”

“เราจะไปหาซานนีกันเมื่อไหร่ครับ?” โจวชิงไป๋ถาม

“เช้าตรู่วันพรุ่งนี้ค่ะ คืนนี้เราไปให้โจวต้งเลี้ยงข้าวกันนะคะ” หลินชิงเหอบอกยิ้ม ๆ

โจวชิงไป๋พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วก็ขอให้ภรรยาล้างหน้าให้ตน หลินชิงเหอค้อนใส่เขา “โตจนเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว”

แม้จะพูดเช่นนั้น แต่เธอก็ล้างหน้าและล้างมือให้เขา ก่อนที่จะส่งเขาเข้าห้องไปนอน

หลินชิงเหอกำลังจะล้มตัวลงนอนพร้อมกับเขา คุณป้าไฉ่ก็มาหาเสียก่อน

หลินชิงเหอจึงออกไปคุยกับคุณป้าไฉ่

หลังจากคุยกับคุณป้าไฉ่ไปสักพัก โจวต้งก็มาหาเพื่อเชื้อเชิญเธอเป็นพิเศษ “คุณอาสะใภ้ครับ คืนนี้คุณอาสะใภ้กับคุณอาสี่ไปกินอาหารเย็นที่บ้านผมนะครับ คุณอากลับมาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่เคยไปกินอาหารที่บ้านผมเลยสักครั้ง คืนนี้คุณอาต้องไปนะครับ”

“อาเพิ่งจะพูดไปว่า อาจะไปกินอาหารเย็นที่บ้านเธอคืนนี้อยู่เลย เธอก็มาพอดี ถ้าอย่างนั้นคุณอาเธอกับอาจะไม่เกรงใจเธอแล้วนะจ๊ะ” หลินชิงเหอพูดอย่างร่าเริง

“ใช่แล้วจ้ะ เธอต้องไปกินมื้อเย็นที่นั่นนะ โจวต้ง คืนนี้ทำอาหารเพิ่มอีกสัก 2-3 อย่างนะ ฉันจะไปกินที่นั่นด้วย” คุณป้าไฉ่พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ไม่มีปัญหาครับ” โจวต้งตอบกลับอย่างรื่นเริง

เขาเดินอ้อมไปแจ้งข่าวกับพี่ชายใหญ่และสะใภ้ใหญ่ก่อนเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องทำอาหารเผื่อทั้งคู่

คุณป้าไฉ่อยู่คุยกับหลินชิงเหอต่อ ซึ่งก็ได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

หลังจากนั้นสักพัก คุณป้าไฉ่จึงได้กลับไป

หลินชิงเหอกลับไปนอนพักผ่อนที่ห้องกับโจวชิงไป๋ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น เธอจึงเอาพัดลมไฟฟ้าออกมาใช้

ตอนนี้ที่บ้านมีไฟฟ้าใช้แล้ว รวมทั้งในห้องนี้ด้วย

เนื่องจากเมื่อเช้านี้ทั้งคู่ตื่นนอนเช้าเกินไป จึงได้นอนหลับไปจนกระทั่งเวลาบ่าย 4 โมง

“คุณล้างหน้าก่อนค่ะ เราจะไปรอกินข้าวที่บ้านโจวต้งกับปาเม่ยกัน” หลินชิงเหอบอกด้วยรอยยิ้ม

พวกเขาไม่ได้ไปมือเปล่า แต่เอานมผง 1 กระป๋อง นมผงมอลต์สกัด 1 กระป๋องและลูกอมกระต่ายอีก 2 ห่อไปด้วย

เมื่อพวกเขาไปถึง โจวต้งกำลังสับไก่อยู่ และไฉ่ปาเม่ยก็กำลังทำอาหารอยู่ที่หน้าเตา ส่วนคุณป้าไฉ่กำลังดูทีวีกับหลาน ๆ อยู่ในห้อง

“คุณอา คุณอาสะใภ้ เข้ามาดูทีวีก่อนครับ อีกไม่นานก็จะเสร็จแล้ว” โจวต้งกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“เธอแค่มากินอย่างเดียวก็พอ ต้องเอาของมาให้เยอะแยะทำไมกัน” คุณป้าไฉ่พูด

“สำหรับพวกเด็ก ๆ น่ะค่ะ บำรุงให้มาก ในอนาคต พวกเขาจะได้ตัวสูงขึ้น” หลินชิงเหอยิ้ม

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ดูท่าอีกไม่นานพี่ชายรองคงทนไม่ไหวประกาศขอหย่าเสียแล้วล่ะค่ะ แล้วทีนี้สะใภ้รองเธอจะรู้สึก ว่าการอยู่ตัวคนเดียวไม่มีใครคบมันเป็นยังไง

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset