บทที่ 462 รังเงินรังทองหรือจะสู้รังหญ้าของตน

บทที่ 462 รังเงินรังทองหรือจะสู้รังหญ้าของตน

หลี่อ้ายกั๋วกับโจวซานนีถึงกับตะลึงไปทั้งคู่ ในเมืองหลวงมีเรื่องโหดร้ายแบบนี้ด้วยหรือ?

โดยเฉพาะหลี่อ้ายกั๋วที่วางแผนไว้ในเรื่องนี้ เขาจึงถามรายละเอียดเชิงลึกกับหญิงชรา

ท่านแม่โจวไม่ได้ปิดบังและเล่าออกมาในทันที

ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมยกลับมาได้ในตอนเย็นย่ำ ตอนนั้นเองพวกเขาก็เจอหลี่อ้ายกั๋วกับโจวซานนี

“ซานนี?” โจวเสี่ยวเหมยอุทานอย่างประหลาดใจ “ทำไมหนูมาอยู่ที่นี่ล่ะ? แล้วนี่ใครเหรอ?”

“อ้ายกั๋ว นี่คืออาเล็กกับอาเขยของฉันค่ะ” โจวซานนีแนะนำคนในครอบครัวให้กับหลี่อ้ายกั๋ว

หลี่อ้ายกั๋วเอ่ยทักทาย โจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินจึงเข้าใจในทันทีว่าชายคนนี้คือหลานเขยของพวกเขา

“พวกเธอนาน ๆ มาทีเหรอจ๊ะ? ได้มาพร้อมคุณอากับคุณอาสะใภ้สี่หรือเปล่า?” โจวเสี่ยวเหมยยิ้มกว้าง

“ค่ะ เรามาที่นี่เพื่อมาดูแลร้านของคุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่น่ะค่ะ” โจวซานนีโค้งมุมปากเป็นรอยยิ้ม

ตั้งแต่ได้มาที่นี่ โจวซานนีก็ดูร่าเริงขึ้น หล่อนพูดคุยและหัวเราะมากกว่าเดิม

“ดูเหมือนทางฝั่งพี่สี่กับพี่สะใภ้สี่จะไม่ขาดคนแล้วนะจ๊ะ” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ยตามตรง

“คุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่บอกว่าพวกเขาจะเปิดร้านขายของแห้งอีกร้านหนึ่งน่ะครับ” หลี่อ้ายกั๋วเอ่ยขึ้นมาบ้าง

“พี่สี่กับพี่สะใภ้สี่ช่างขยันกันจริง ๆ พวกเขากำลังจะเปิดร้านอีกร้านแล้วเหรอ? มีร้านค้าทั้งหมดกี่ร้านแล้วเนี่ย?” โจวเสี่ยวเหมยอึ้งไป

หล่อนกำลังคิดจะเปิดร้านซาลาเปาร้านที่สอง แต่ติดว่าเด็ก ๆ ยังเล็กนักและยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ถ้ามีแค่พวกเขาสองคนก็คงจะจัดการร้านค้ามากขนาดนั้นไม่ไหว

พวกเขาอยากจ้างใครบางคนมาเหลือเกิน แต่ก็ไม่เคยจ้างใครมาก่อน เพราะเป็นกังวลว่าจะขัดกับอุดมการณ์ของร้าน

ขณะที่พี่ชายสี่และพี่สะใภ้สี่มีร้านเกี๊ยวหนึ่งร้าน ร้านเสื้อผ้าสามร้าน ร้านเครื่องดื่มหนึ่งร้าน และศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าที่มีระบบงานแบบสองกะหนึ่งร้าน พวกเขางานเยอะขนาดไหนกัน?

แล้วพวกเขายังอยากจะเปิดร้านเพิ่มอย่างร้านขายของแห้งอีกหนึ่งร้านเนี่ยนะ?

“ฉันเดาว่านี่ต้องเป็นความคิดพี่สะใภ้สี่ของแกแน่ ๆ อาสี่ไม่มีหัวคิดขนาดนี้หรอก ร้านขายของแห้งนี่จะขายอะไรบ้างล่ะเนี่ย?” ท่านแม่โจวฟังแล้วถึงกับจับต้นชนปลายไม่ถูก

“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยเองก็ไม่รู้เหมือนกัน หล่อนหันไปหาโจวซานนีและหลี่อ้ายกั๋ว “ดีแล้วล่ะจ้ะที่พวกเธอมาที่นี่ตอนนี้ อยู่ที่นี่แล้วก็ขยันทำงานให้มาก ๆ นะ ภายหลังจะได้รู้ว่าอยากออกมาทำงานเองหรือเปล่า”

“หนูได้ยินมาจากอาสะใภ้สี่ว่าในอนาคตหู่จือกับกังจือจะออกมาเปิดร้านเองใช่ไหมคะ?” โจวซานนีถาม

“จ้ะ ตราบใดที่พวกเขามีความสามารถ อาสะใภ้สี่ก็จะสนับสนุนพวกเขาอย่างแน่นอน หล่อนไม่เคยคิดจะให้พวกเขาอยู่เป็นลูกจ้างตลอดชีวิตหรอก” โจวเสี่ยวเหมยบอก

เพราะว่าตอนนี้เย็นมากแล้ว โจวเสี่ยวเหมยจึงไม่ได้คุยอะไรกับโจวซานนีต่อเพื่อไปเตรียมอาหารเย็น

โจวซานนีกับหลี่อ้ายกั๋วแยกไปกินอาหารกันเอง

โจวซื่อนีกำลังช่วยงานอยู่ที่ร้านเกี๊ยว เด็กสาวคนนี้ช่างคล่องแคล่วและหัวไวอย่างยิ่ง หล่อนเสิร์ฟเกี๊ยวให้กับลูกค้าในทันทีโดยไม่จำเป็นต้องบอก

หลินชิงเหอออกไปซื้อของกินของใช้ และซื้อวัตถุดิบมาเป็นจำนวนมาก โจวซานนีกับหลี่อ้ายกั๋วก็ได้ไปกินเลี้ยงที่ฝั่งนั้นเช่นกัน เพราะคนทางนี้เองก็ต้องการงานเลี้ยงฉลอง

โจวเอ้อร์นีเป็นคนที่รู้สึกประหลาดใจแกมดีใจมากกว่าใครทั้งหมดเมื่อรู้ว่าโจวซื่อนีมาที่นี่โดยไม่ได้นัดหมาย

เมื่อหล่อนเลิกงานและมาที่ร้านเกี๊ยวเพื่อจะช่วยทำเกี๊ยว หล่อนก็ต้องตะลึงไปเมื่อเห็นน้องสาว “ซื่อนี?”

“พี่สาวรอง” โจวซื่อนีสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพี่สาวคนรอง หากหล่อนกลับหมู่บ้านไปในตอนนี้ จะต้องเป็นที่สั่นสะเทือนไปทั้งหมู่บ้านแน่ พี่สาวของหล่อนช่างเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง

หล่อนดูงดงามสะคราญโฉมไปทั่วทั้งกาย!

“เกิดอะไรขึ้น? เธอมากับคุณอาสี่และอาสะใภ้สี่เหรอ?” โจวเอ้อร์นีถามด้วยความปิติยินดี

“ค่ะ” โจวซื่อนีพยักหน้า

“แล้วเธอจะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่จ๊ะ?” โจวเอ้อร์นีถาม

โจวซื่อนียิ้มกว้าง “คราวนี้หนูจะอยู่ที่นี่ตลอดเลยค่ะ”

“อาสะใภ้สี่คะ?” โจวเอ้อร์นีรีบหันไปมองอาสะใภ้สี่ของหล่อนทันที

“นับแต่นี้ไปซื่อนีจะมาอยู่กับหนูแล้วนะ อาวางแผนว่าจะส่งหล่อนเข้าเรียนโรงเรียนภาคค่ำ หนูก็สอนหล่อนให้มากขึ้นแล้วกันนะจ๊ะ” หลินชิงเหอยิ้ม

โจวเอ้อร์นีได้ยินก็รู้สึกปลื้มปิติ “หนูจะสอนหล่อนและให้หล่อนมาทำงานแทนหนูให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้เลยค่ะ”

จากนั้นสองสาวพี่น้องก็ช่วยงานในครัวกับหลินชิงเหอ ทันทีที่สำเร็จ อาหารของเหล่าพนักงานก็ถูกบรรจุลงกล่องอาหาร ส่วนหู่จือกับกังจือมาถึงพอดี พวกเขาจึงขี่จักรยานไปส่งอาหารให้พวกพนักงานก่อนที่ทั้งสองจะกลับมากินอาหารด้วยกัน

เป็นเรื่องปกติที่ทั้งครอบครัวจะกินอาหารด้วยกันขณะดำเนินกิจการไปด้วย เมื่อลูกค้าเข้าร้านพวกเขาถึงจะลุกไปทำเกี๊ยว

“อาสะใภ้สี่ ทำไมจู่ ๆ อาถึงพาคนมาที่นี่เยอะแยะเลยล่ะคะ? หนูคิดว่าคุณอาหมินยังรับสมัครคนอยู่เสียอีก มีคนมาสมัครงานสองคนที่รอให้อาตรวจสอบอยู่นะคะ” โจวเอ้อร์นีเอ่ยขึ้น

“ไม่มีปัญหาหรอกจ้ะ เย็นนี้อาจะไปคุยกับคุณอาเฉิงหมินแล้วให้เขาพาพวกเขามาพรุ่งนี้เอง” หลินชิงเหอพยักหน้า

ตอนนี้ร่างกายของเธอยังไม่อยากรับรู้เรื่องใด ๆ หลังกินเสร็จเธอจึงเรียกโจวชิงไป๋กับโจวซื่อนี เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พวกเขาก็ไปหาหลี่อ้ายกั๋วกับโจวซานนี

แน่นอนว่าพวกเขากำลังจะไปอาบน้ำด้วยกัน ไม่อย่างนั้นแล้วมันจะให้ความรู้สึกไม่ถูกสุขลักษณะ

โจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินก็ไปอาบน้ำกับพวกเขาด้วย เมื่อพวกเขามาถึงโรงอาบน้ำ บรรดาผู้ชายกับผู้หญิงก็ได้แยกย้ายกันเข้าโรงอาบน้ำของตนเอง

“พี่สะใภ้สี่นี่ไม่เคยหยุดเคลื่อนไหวก้าวใหญ่เลยนะคะ” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย

“เคลื่อนไหวก้าวใหญ่อะไรกัน? พี่แค่ลงใต้แล้วก็ไปเจออะไรแบบนี้มาต่างหาก ถึงได้เกิดความคิดนี้ขึ้นมา” หลินชิงเหอบอก

“ฉันได้ยินอ้ายกั๋วบอกว่าจะขายของแห้งเหรอคะ? มันเป็นกิจการแบบไหนกันเหรอ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม

“เป็นพวกอาหารทะเลแห้งน่ะ อย่างเช่นปลิงทะเล เป๋าฮื้อ กระเพาะปลา ทำนองนี้” หลินชิงเหอตอบ

เดิมทีเธอต้องการซื้อกระเพาะปลากลับมาเพื่อเก็บไว้เป็นอาหารเสริมคอลลาเจน แต่หลังจากได้ไปที่โรงงานใหญ่แล้วไปเห็นแหล่งวัตถุดิบเข้า ไม่สู้ตั้งธุรกิจด้านนี้ขึ้นมาเสียจะดีกว่าเหรอ?

เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอจึงได้ตัดสินใจทำ ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายยังเต็มใจจะส่งสินค้ามาให้ด้วย แล้วทำไมถึงจะไม่ทำกิจการนี้ล่ะ?

ส่วนร้านค้าน่ะเหรอ? ก็ต้องหาที่ทำเลดีหน่อย

“ของพวกนั้นหายากมากเลยนะคะ พวกเขามีเก็บไว้เหรอคะ?” โจวเสี่ยวเหมยตะลึงไป

โจวซานนีกับโจวซื่อนีต่างพากันมองอาสะใภ้สี่ของพวกหล่อน หลินชิงเหอคลี่ยิ้ม “ทางใต้มีขายอยู่น่ะ”

ไม่เพียงแต่จะมีขาย แต่ยังมีขายในปริมาณมหาศาลอีกด้วย

เธอประมาณว่าโรงงานขนาดใหญ่นั้นไม่ได้เล็กเลย ต่อให้มันเพิ่งถูกก่อตั้งในยุคหลัง ๆ ก็ตาม

พวกหล่อนขัดถูตัวให้กันและกันในขณะอาบน้ำ จากนั้นก็มานั่งเล่นอยู่ที่บ้านท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจว

โจวชิงไป๋บอกซูต้าหลินว่าลุงของเขาอาจถูกปลดออกจากงาน เขาเป็นคนที่เคยดูแลซูต้าหลินมา ตอนนี้เขาถูกปลดออกแล้ว ซูต้าหลินจึงต้องช่วยเขา

แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของซูต้าหลินเอง พวกเขาจะไม่เข้าไปยุ่งเพราะถือว่าอยู่คนละสายตระกูลกัน

พรุ่งนี้พวกเขาจะไปดูร้านค้าว่าพอมีที่ไหนให้เช่าได้บ้างไหม แต่ตอนนี้พวกเขาให้โจวซานนีกับหลี่อ้ายกั๋วอยู่ที่นี่ไปก่อน

หลังนั่งอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็พาโจวซื่อนีกลับไปที่อะพาร์ทเมนต์ในชุมชน

หลินชิงเหอไปบอกหม่าเฉิงหมินให้พาพนักงานใหม่ที่จะว่าจ้างมาหาเธอในวันพรุ่งนี้ จากนั้นเธอก็กลับบ้าน

“ดูทีวีเองได้เลยนะ พี่สาวของหนูกับคนอื่น ๆ จะกลับมาหลังจากเลิกเรียนแล้ว ส่วนคุณอากับอาเองทนรอไม่ไหวแล้วล่ะ พวกเราอายุเยอะแล้วต้องขอตัวนอนกันก่อน” หลินชิงเหอบอก

“ค่ะ หนูจะนั่งรอพี่สาวหนูกับคนอื่น ๆ ค่ะ” โจวซื่อนีพยักหน้า

หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋จึงกลับเข้าห้องไปนอนกันก่อน

เมื่อได้นอนบนเตียงแล้ว หลินชิงเหอก็เอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์บางอย่าง “มิน่าล่ะคะเขาถึงบอกกันว่ารังเงินรังทองหรือจะสู้รังหญ้าของตน”

การได้นอนมันช่างสุขสบายอะไรอย่างนี้?

“พรุ่งนี้คุณไม่ต้องตื่นเช้ามากนะครับ ผมไปติดต่อสอบถามที่สำนักงานจัดการที่อยู่อาศัยเองได้” โจวชิงไป๋รู้ว่าภรรยาของเขาทำงานหนักมาก เขาจึงนวดเอวและบ่าของเธอไปด้วยขณะที่เอ่ยขึ้น

“นวดนาน ๆ นะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยงึมงำ

…………………………………………………………………………………

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset