บทที่ 461 การทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย

บทที่ 461 การทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย

โจวซานนีหลานสาวคนนี้แต่งงานไปเมื่อปีที่แล้ว ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวก็รับรู้ในเรื่องนี้ด้วย และได้บอกสะใภ้ใหญ่ให้มอบเงินในส่วนของนางให้กับหล่อนด้วย แม้ว่านางจะได้ยินมาว่าฝ่ายชายจะอายุมากไปหน่อยและขาพิการเล็กน้อย แต่เขาก็รักและเอ็นดูซานนี

ยิ่งกว่านั้นครอบครัวสายรองก็ได้รับเงินสินสอดมาแล้ว ดังนั้นพวกเขาซึ่งเป็นปู่และย่าจึงไม่มีข้อคัดค้านใด ๆ

อย่างไรก็ตามพวกเขายังไม่เคยได้เจอกับหลี่อ้ายกั๋วหลานเขยคนนี้เลย

พวกเขาไม่มีแผนที่จะกลับไปที่นั่นอีกแล้ว และอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอเขาไปชั่วชีวิต แต่คาดไม่ถึงว่าทั้งคู่ได้เดินทางมาที่ปักกิ่ง

“คุณย่าดูสาวขึ้นมากเลยค่ะ” โจวซานนีดีใจมากเมื่อได้เจอคุณปู่คุณย่า ในขณะเดียวกันก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้

กล่าวได้ว่าวิถีชีวิตที่ดีและชีวิตที่ราบรื่นสะดวกสบายทำให้ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวดูอ่อนวัยขึ้นมาก

เมื่อมาอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่ต้องกังวลในเรื่องใดทั้งสิ้น อย่างมากก็แค่ดูแลพวกเด็ก ๆ จากนั้นก็ไปที่สวนสาธารณะเพื่อพักผ่อน เมื่อเร็วๆ นี้ ท่านแม่โจวยังได้เรียนไท่จี๋(1) จากแม่เฒ่าในสวนสาธารณะอีกด้วย ทุกเช้านางจะมุ่งหน้าไปที่นั่น และทิ้งหลาน ๆ ไว้ให้ท่านพ่อโจวเป็นคนดูแล

คนเราก็เป็นเช่นนี้ เมื่อกินดีอยู่ดี ก็จะดูอ่อนกว่าวัย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาไปตรวจสุขภาพกันทุก ๆ 6 เดือน ผลตรวจสุขภาพที่ออกมาทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ดี

นอกจากนี้สภาพแวดล้อมในปักกิ่งยังช่วยหล่อเลี้ยงผู้คน ไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อโจวหรือท่านแม่โจว ทั้งคู่ต่างก็ผิวขาวขึ้นมาก ดูเหมือนว่าหลังจากที่มาอยู่ปักกิ่งแล้ว ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่แก่ขึ้น แต่ยังเด็กลงอีกด้วย?

แม้ว่าท่านพ่อโจวจะไม่ได้เอ่ยอะไร แต่สีหน้าก็แสดงความอิ่มเอมใจออกมา

ท่านแม่โจวหัวเราะ “ยายหนูคนนี้ หัดเป็นคนช่างพูดตั้งแต่เมื่อไหร่? สาวขึ้นอะไรกัน? ย่าแก่ขนาดนี้แล้ว”

“คุณปู่คุณย่าครับ ผมจะทิ้งพี่ซานนีกับพี่เขยสามไว้กับคุณปู่คุณย่าก่อนนะครับ ผมจะกลับไปช่วยงานก่อน” โจวกุยหลายพูด

ท่านแม่โจวตอบกลับ “เจ้าสาม รอก่อน เอาไข่นี่กลับไปด้วย” นางหยิบถุงขึ้นมาแล้วใส่ไข่ลงไปจนเต็มครึ่งถุง

โจวกุยหลายไม่ได้แสดงท่าทางเกรงใจและนำมันกลับไปด้วย

ท่านแม่โจวพาหลานสาวและหลานเขยเข้าไปในบ้านแล้วเอ่ยถาม “พวกเธอมาทำอะไรกันที่นี่จ๊ะ?”

“คุณย่าครับ ซานนีกับผมจะมาอยู่ที่ปักกิ่งครับ” หลี่อ้ายกั๋วบอก

ท่านแม่โจวรู้สึกประหลาดใจ “ไม่ได้มาเที่ยวกันหรอกเหรอ? อยู่ที่นี่ก็ดี แต่จะทำมาหากินอะไรกันล่ะ”

“คุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่ไปหาเราที่หมู่บ้านหลี่เจี่ยมาครับ บอกว่าพวกเขาจะเปิดร้านค้าอีกร้าน พอถึงเวลานั้นคนจะไม่พอ ก็เลยให้ซานนีกับผมมาที่นี่ครับ” หลี่อ้ายกั๋วอธิบาย

“อาสี่กับอาสะใภ้สี่ของพวกเธอจะเปิดร้านงั้นหรือ?” ท่านแม่โจวตกใจ

“ค่ะ” โจวซานนีพยักหน้า “ซื่อนี่ก็มาที่นี่ด้วยค่ะ”

“ซื่อนีก็มาที่นี่หรือ?” ท่านแม่โจวยิ่งประหลาดใจขึ้นไปอีก

“พวกเธอมาที่นี่กันทั้งหมดกี่คน? อย่าบอกนะว่าลิ่วนีก็มาที่นี่ด้วย” ท่านพ่อโจวกล่าว

“ลิ่วนีไม่ได้มาค่ะ แค่เรา 2 คนกับซื่อนีเท่านั้น” โจวซานนีตอบ

ท่านแม่โจวพยักหน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น “แค่พวกเธอ 3 คนก็ดีแล้ว แต่ย่าต้องบอกพวกเธอไว้เลยนะว่า หลักการทำธุรกิจของอาสี่กับอาสะใภ้สี่พวกเธอก็คือ ความสงบสุขสร้างความมั่งคั่ง นิสัยอย่างลิ่วนีอย่าได้เรียกหล่อนมาที่นี่ เข้าใจไหม?”

ฤดูร้อนปีนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ด้วยความที่ธุรกิจร้านซาลาเปาของโจวเสี่ยวเหมยและซูต้าหลินนั้นขายดีมาก ดังนั้นที่นั่นจึงมีร้านซาลาเปาเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ร้าน

รวมกับร้านของโจวเสี่ยเหมยและซูต้าหลินแล้ว มีร้านซาลาเปาทั้งหมด 3 ร้าน อย่างไรก็ตามร้านของโจวเสี่ยวเหมยและซูต้าหลินเป็นร้านที่มีลูกค้าประจำเข้าออกอย่างสม่ำเสมอมากที่สุด

ก่อนหน้านี้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่เมื่อเดือนก่อน ร้านซาลาเปาร้านหนึ่งเพิ่งมีเรื่องทะเลาะกับลูกค้า

ลูกค้าของร้านนั้นมีครอบครัวที่มีอำนาจพิเศษหนุนหลังอยู่

สาเหตุเนื่องมาจากลูกค้าผู้นั้นได้ซื้อซาลาเปาไปเป็นจำนวนมาก และเขาบังเอิญเจอแมลงสาบอยู่ในซาลาเปาของร้านนั้น เรื่องนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกขยะแขยงมาก

แน่นอนว่าคนผู้นั้นกลับมาเรียกร้องค่าชดเชย ก็เขาจะยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไรล่ะ?

ทว่าร้านซาลาเปาร้านนั้นปฏิเสธที่จะแบกหม้อดำ(2) ใบนี้ โดยกล่าวว่า คนผู้นั้นต้องการจะฉ้อโกงและขู่กรรโชก จากนั้นไม่นานร้านซาลาเปาร้านนั้นก็ถูกถล่มจนร้านพังเสียหาย

เมื่อได้ฟังเรื่องนี้จากโจวเสี่ยวเหมย ท่านแม่โจวถึงกับตกตะลึง

โจวเสี่ยวเหมยรู้สึกโชคดีมากที่ต้าหลินของบ้านหล่อนเชื่อตามอย่างพี่ชายสี่ของหล่อน ทุกอย่างจะต้องสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ทัศนคติต้องดีเยี่ยม เมื่อมีคนซื้อซาลาเปาทีละมาก ๆ เขาก็แถมซาลาเปาให้ด้วย ไม่มุ่งหากำไรมากนัก แต่เน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์และความประทับใจที่ดี

ร้านซาลาเปาร้านนั้นก็ค่อนข้างจะเย่อหยิ่งไปสักหน่อย เมื่อมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น สิ่งที่จะต้องทำคือทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็กให้ได้ ดูสิว่าตอนนี้เรื่องราวกลายเป็นอย่างไรไปแล้ว? ร้านพังยับเยิน

ท่านแม่โจวยังจำได้ในตอนที่สะใภ้สี่ปฏิเสธไม่อนุญาตให้สวี่เชิ่งเฉียงและโจวลิ่วนีมาที่นี่

ไม่ใช่แค่เรื่องที่พวกเขาไม่สามารถช่วยงานอะไรได้ แต่อย่ามาเพื่อสร้างปัญหาให้กับที่นี่จะดีกว่า และ 2 คนนี้ก็ไม่ใช่คนที่จะทำงานอย่างเชื่อฟังได้!

ดังนั้นท่านแม่โจวจึงได้เอ่ยเตือนโจวซานนี

รวมทั้งเป็นการเตือนหลี่อ้ายกั๋วด้วยเช่นกันว่า ความสงบสุขสร้างความมั่งคั่ง ไม่เป็นไรถ้าจะมาอยู่ที่นี่ เพียงแต่อย่าสร้างปัญหาเท่านั้น

“คุณย่าคะ พวกเราทราบดีค่ะ” โจวซานนีบอก

หลี่อ้ายกั๋วก็พยักหน้าเช่นกัน “คุณย่า ไม่ต้องเป็นห่วงครับ พวกเราจะช่วยคุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่ดูแลร้านเองครับ”

ท่านแม่โจวไม่ได้พูดอะไรอีก

“ที่บ้านของชิงไป๋ไม่มีที่พอจะให้อยู่แล้วละ ซื่อนีกับเอ้อร์นีอยู่ที่ร้านเกี๊ยวกัน พวกเธอ 2 คนก็มาอยู่ที่นี่เหมาะที่สุดแล้ว” ท่านพ่อโจวเปลี่ยนเรื่องพูด

ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวพาโจวซานนีกับหลี่อ้ายกั๋วไปดูห้องพัก นี่เป็นห้องที่สวี่เชิ่งเหม่ยเคยมานอนก่อนหน้านี้ เป็นห้องพักแขกซึ่งกว้างขวางดีทีเดียว

ตอนนี้ซูเฉิงและคนอื่นมานอนอยู่ที่ห้องนี้ ในเมื่อทั้งคู่มาอยู่ที่นี่ พวกเด็ก ๆ ก็ต้องย้ายออกไปชั่วคราว แต่ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับพวกเด็ก ๆ ที่จะไปนอนบนพื้นในห้องพ่อแม่ของพวกเขา ซึ่งก็ไม่ได้ต้องอยู่แบบนั้นกันนานมากนัก

“คุณย่า ทีวีกับพัดลมพวกนี้ต้องแพงมากเลยใช่ไหมคะ?” โจวซานนีถาม

“ยังมีเครื่องซักผ้าอยู่ข้างนอกด้วยนะจ๊ะ อาสะใภ้สี่ของหนูซื้อมาให้เรา” ท่านแม่โจวพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

โจวซานนีถอนหายใจ หลังจากมาอยู่ที่นี่แล้ว ชีวิตของคุณปู่กับคุณย่าสุขสบายมากจริง ๆ เครื่องใช้ภายในบ้านเหล่านี้ก็มีหมดทุกอย่าง

อย่าว่าแต่หลี่อ้ายกั๋วเลย การได้มาที่นี่ เกือบเหมือนพวกเขาได้เข้าไปอยู่ในโลกใบใหม่เลยทีเดียว

“ตอนนี้เมื่อเธอมาอยู่ที่นี่ ก็ตั้งใจทำงานกันให้ดี ชิงไป๋กับภรรยาเขาเป็นคนใจดี จะไม่ทำให้เธอต้องลำบากแน่” ท่านพ่อโจวพูดกับหลี่อ้ายกั๋ว

“ผมทราบครับคุณปู่ เป็นเพราะคุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่เป็นห่วงพวกเรา ถึงได้เต็มใจพาเรามาที่เมืองใหญ่นี้ด้วย” หลี่อ้ายกั๋วตอบรับ

โจวชิงไป๋และหลินชิงเหอคอยดูแลโจวซานนีหลานสาวของพวกเขา ตัวเขาเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น เขารู้ดี ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร เขาแต่งซานนีเป็นภรรยา ไม่เช่นนั้น เขาคงจะไม่ได้ถูกพามาที่นี่ด้วยหรอก

บางทีชั่วชีวิตนี้ เขาอาจจะไม่ได้มาที่เมืองใหญ่เช่นนี้เลยก็ได้

“อาเล็กกับอาเขยยังไม่กลับบ้านกันหรือคะ?” โจวซานนีถาม

“ยังเลยจ้ะ แต่ใกล้แล้วล่ะ” ท่านแม่โจวตอบ

ท่านพ่อโจวไปล้างมะเขือเทศให้พวกเขาคนละลูกเพื่อให้กินเป็นของว่างไปก่อน

“ธุรกิจร้านซาลาเปาดีไหมคะ?” โจวซานนีรับมะเขือเทศพร้อมกับถามขึ้น

“การทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะจ๊ะ เมื่อเดือนที่แล้วร้านที่อยู่ติดกับร้านซาลาเปาของอาเล็กหนูไปทะเลาะกับลูกค้า ร้านถูกทำลายจนพังเลยละจ้ะ” ท่านแม่โจวเอ่ยน้ำเสียงทอดถอนใจ

……………………………………………………………………………………………..

(1) ไท่เก๊ก

(2) แบกหม้อดำ หมายถึง รับความผิดที่ไม่ได้ก่อหรือเป็นแพะรับบาป

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset