บทที่ 492 ม้าที่ไม่รู้ตัวว่าหน้ายาว*

บทที่ 492 ม้าที่ไม่รู้ตัวว่าหน้ายาว*

หวังหยวนพักอยู่ที่บ้านของครอบครัวภรรยาตนในบ้านเกิดของหล่อน

ส่วนที่ปักกิ่ง ครอบครัวตระกูลโจวก็กำลังเตรียมการสำหรับปีใหม่เช่นกัน

ท่านแม่โจวได้ทำเป็ดพะโล้ขึ้น ซึ่งนางได้เรียนรู้วิธีการทำมาจากแม่เฒ่าคนหนึ่งในสวนสาธารณะ และได้ซื้อเป็ดมา 2 ตัวเพื่อลองทำดู

ขั้นแรกต้องหมักเนื้อเป็ดเอาไว้ก่อน และเมื่อต้องการจะกินก็นำบางส่วนออกมาผัด ซึ่งมันก็อร่อยมากเช่นกัน

เมื่อทำเสร็จนางก็เรียกหู่จือให้มาเอาไปส่งที่บ้านทางนั้น นอกจากนี้ยังเชือดไก่ไว้อีก 2 ตัวเตรียมไว้สำหรับทางนี้ด้วย

หลินชิงเหอได้วางมือในเรื่องนี้แล้ว โจวชิงไป๋จึงเป็นคนจัดการทำอาหารที่บ้านทั้งหมด

ตัวอย่างเช่น ปีนี้พวกเขาเก็บซี่โครงแกะและเนื้อไว้เป็นจำนวนมาก

ผลจากการปฏิรูปประเทศอย่างเข้มข้น ทำให้เนื้อเหล่านี้มีขายอย่างอุดมสมบูรณ์ในตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ตราบใดที่มีเงิน พวกเขาไม่ต้องกังวลเลยว่าจะหาซื้อพวกมันไม่ได้

หลินชิงเหอชอบน้ำแกงเนื้อแกะใส่เก๋ากี้ที่ชิงไป๋ของบ้านเธอตุ๋นให้ในถ้วยน้ำแกงขนาดเล็กมาก (1)

ในถ้วยจะใส่เนื้อแกะเอาไว้ ทำให้น้ำแกงในถ้วยมีรสชาติเข้มข้นมากเป็นพิเศษ หลินชิงเหอรู้สึกพึงใจทุกครั้งที่ได้ดื่มมัน

ไม่ใช่แค่น้ำแกงแกะเท่านั้น ยังมีน้ำแกงแบบอื่นด้วยเช่น น้ำแกงไก่ หลินชิงเหอดื่มน้ำแกงเหล่านี้ในฤดูหนาวจนส่งผลให้แก้มของเธอเปล่งปลั่งมีเลือดฝาด

เมื่อคุณแม่เวิงมาหาเธอที่นี่ หล่อนก็รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย “ชิงเหอ คุณกินอะไรเข้าไปคะ? หน้าคุณกลมเชียวค่ะ”

หลินชิงเหอกระแอมเสียงแห้งออกมา เธอตั้งใจบำรุงร่างกายก็จริง แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชิงไป๋ ฝีมือการทำอาหารของเขาก้าวหน้าขึ้นไปมาก น้ำแกงทุกอย่างที่เขาตุ๋นให้ดูจะมีรสชาติเหมือนความรัก

จริง ๆ เธอไม่ได้อยากจะดื่ม แต่ก็ไม่สามารถจะต่อต้านมันได้เลย

เธอยังได้กินโจ๊กถั่วแดงและพุทราจีน(2)อยู่บ่อย ๆ อีกด้วย เขาเปิดเตาเพื่อเธอโดยเฉพาะเป็นการส่วนตัว ไม่มีใครได้กินมันเลย

นอกจากนี้ตอนนี้ยังเป็นช่วงวันหยุด เธอจึงปล่อยตัวอย่างเต็มที่จนน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้รูปร่างของเธออวบขึ้นมานิดหน่อยอย่างไม่สามารถควบคุมได้

“พรุ่งนี้คุณว่างหรือเปล่าคะ? กุญแจรถของหวังหยวนอยู่กับฉัน ฉันเลยวางแผนไว้ว่าจะไปบ่อน้ำพุร้อนน่ะค่ะ เราชวนคุณเวิงไปด้วยกันดีไหมคะ?” หลินชิงเหอพูด

รถของหวังหยวนจอดทิ้งไว้ที่นี่ เขาให้กุญแจรถไว้กับเธอด้วย หลินชิงเหอขับมันไปที่ศูนย์ตัดเย็บขนาดย่อมและจอดมันไว้ที่นั่น ซึ่งสามารถเอารถออกมาใช้ได้

คุณแม่เวิงนั้นค่อนข้างคิดถึงการไปบ่อน้ำพุร้อน บวกกับอากาศอันหนาวเย็น นับว่าเป็นเวลาที่เหมาะมาก หล่อนจึงตอบกลับไป “ตกลงค่ะ พรุ่งนี้พวกเราไปที่นั่นกัน”

หลินชิงเหอตามหาโจวชิงไป๋เพื่อบอกข่าวกับเขา โจวชิงไป๋ไม่ได้คัดค้านอะไร ตั้งแต่แรกเขาก็ตามใจภรรยาของตนอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งตามใจอย่างไม่มีขอบเขตมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ตราบใดที่เป็นสิ่งที่ภรรยาของเขาพูดขึ้นมา ไม่มีทางเลยที่เขาจะไม่เห็นด้วย

ดังนั้นในวันต่อมา โจวชิงไป๋และหลินชิงเหอจึงไปรับคุณพ่อเวิงกับคุณแม่เวิง และทั้ง 2 คู่ก็เดินทางไปบ่อน้ำพุร้อนด้วยกัน

มันตรงกับวันที่ 27 เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งร้านเกี๊ยวปิดแล้ว เหลือเพียงร้านเครื่องดื่มและร้านอาหารแห้งเท่านั้นที่ยังเปิดทำธุรกิจต่อไป

ดังนั้นนี่จึงเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของ 2 พี่น้องโจว

กังจือก็อยู่ว่าง ๆ เช่นเดียวกันกับพวกเขา ในขณะที่หู่จือไม่มีเวลาว่างเลย เพราะหลินชิงเหอบอกให้เขาเอาเสื้อผ้าออกไปตั้งแผงขายบนถนน

เธอให้ส่วนต่างในการทำกำไรกับเขามากทีเดียว กำไรที่ได้ทั้งหมดจะตกเป็นของเขาเอง

ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ นี่ไม่ใช่งานที่ง่ายเลย แต่หู่จือก็มีความสุขมาก

ในช่วง 2-3 วันสุดท้ายของปียังคงค้าขายได้อยู่ ตราบใดที่เขายังสามารถขายสินค้าได้ก็ไม่เป็นปัญหาในการทำเงินได้สัก 2-3 หยวนต่อวัน

นอกจากการหาเงินแบบนี้แล้วเขายังออกไปเที่ยวกับซานซานด้วย นับว่าเขาก็เป็นคนที่ยุ่งคนหนึ่ง

“ช่างเถอะ เราไปช่วยงานที่ร้านเครื่องดื่มกันดีกว่า” โจวกุยหลายถอนหายใจ

“ที่นั่นมีคนอยู่เยอะแล้ว ไปที่นั่นพวกเราก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนักหรอก ไปบ้านคุณตาคุณยายกันดีไหม?” กังจือถาม

“ตกลง” โจวกุยหลายพยักหน้าและไปถามพี่รองของตน โจวเฉวี่ยนไม่อยากออกไปไหน ดังนั้นพวกเขาจึงไปที่นั่นกันเองเพียงลำพัง 2 คน

เมื่อมาถึงพวกเขาได้พบกับแม่เฒ่าจูพอดี ฝ่ายนั้นถามว่า “ทำไมพี่หงเสียของพวกเธอถึงไม่มาด้วยล่ะจ๊ะ?”

“พี่หงเสียต้องเฝ้าร้านครับ” กังจือตอบหล่อน

โจวหงเสียก็คือโจวซื่อนี หล่อนช่วยงานอยู่ที่ร้านเครื่องดื่ม ซึ่งไม่ได้หยุดในช่วงปีใหม่ แต่หล่อนจะได้เงินเดือนมากขึ้นเป็น 2 เท่า

หลังจากเดินเข้ามาในสวนแล้ว โจวกุยหลายก็พูดว่า “ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าคนนั้นถามถึงพี่ซื่อนีทำไม?”

“ใครถามถึงซื่อนีหรือจ๊ะ?” โจวเสี่ยวเหมยซึ่งบังเอิญออกมาเทน้ำถามขึ้น หลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้พอดี

“แม่เฒ่าจูที่อยู่ข้างบ้านครับ” โจวกุยหลายตอบ

เพราะเรื่องของจูเจินเจิน ความประทับใจที่โจวเสี่ยวเหมยมีต่อครอบครัวตระกูลจูจึงเป็นไปแบบธรรมดามาก หล่อนพูดว่า “หล่อนถามว่าอะไรจ๊ะ?”

“แค่ถามว่าทำไมพี่ซื่อนีถึงไม่มาที่นี่ด้วยน่ะครับ พี่ซื่อนีรู้จักมักคุ้นกับหล่อนดีหรือครับ?” โจวกุยหลายถาม

“ไม่คุ้นเคยกันเลยจ้ะ” โจวเสี่ยวเหมยบอกพร้อมกับเทน้ำทิ้ง

พวกเขาเดินเข้าไปข้างในพร้อมกัน ท่านแม่โจวกำลังกะเทาะเปลือกถั่วลิสงพร้อมกับดูทีวีไปด้วย โจวกุยหลายกับกังจือจึงเข้าไปช่วยนางกะเทาะเปลือกถั่ว

“กะเทาะเปลือกออกแล้วส่งไปให้พี่ซานนีของพวกหลานนะ ตอนท้องต้องกินถั่วลิสงให้มาก เด็กที่เกิดมาจะได้ออกมาตัวอ้วนขาว” ท่านแม่โจวพูด

“ตกลงครับ” โจวกุยหลายเห็นด้วย

เขากับกังจือไม่ได้สนใจกับคำถามของแม่เฒ่าจูและไม่ได้เอ่ยถึงมันอีก อย่างไรก็ตามโจวเสี่ยวเหมยกลับรู้สึกกังวล

จู่ ๆ แม่เฒ่าจูก็ให้ความสนใจในตัวซื่อนี นอกจากนี้นางยังไม่ใช่คนที่จะสนใจอะไรโดยไม่มีเหตุผล

โจวเสี่ยวเหมยจึงบอกเรื่องนี้กับแม่ของตน

ท่านแม่โจวรู้สึกตกใจ จากนั้นก็เอ่ยว่า “ฉันไม่เคยได้ยินจากซื่อนีเลยว่าเคยคุยกับหล่อนด้วย”

“แม่ต้องบอกซื่อนีให้คอยระวังนะคะ อย่าปล่อยให้หล่อนมาหลอกได้”

ท่านแม่โจวจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ อันที่จริง โจวเสี่ยวเหมยเดาเรื่องได้ถูกต้องจริง ๆ แม่เฒ่าจูเกิดความคิดบางอย่างในตัวโจวซื่อนี

เดิมทีแม่เฒ่าจูดูถูกเด็กสาวชนบทอย่างโจวซื่อนี แต่ไม่อาจดูถูกความสามารถของพี่สาวหล่อนได้

พี่สาวหล่อนได้แต่งงานกับเถ้าแก่ใหญ่ซึ่งบริหารโรงงานผลิตเสื้อผ้าเองคนเดียว และยังเดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถยนต์ส่วนตัว แถมยังมีราศีของคนรวยจับไปทั่วทั้งตัวอีกด้วย

ถึงไม่เห็นแก่หน้าพระภิกษุสงฆ์ พวกเขาก็ต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป หากพวกเขาได้กลายมาเป็นญาติกันแล้ว ไม่ได้หมายความว่าพวกตนจะได้มีเถ้าแก่ใหญ่เช่นนี้เป็นญาติหรอกหรือ? ต่อไปในอนาคตเรื่องการจัดหางานดี ๆ ไม่ใช่แค่เอ่ยปากก็สำเร็จได้หรอกหรือ?

รวมทั้งยังมีครอบครัวของคุณอาสี่ของหล่อนอีก พวกเขาสามารถซื้อรถบรรทุกขนาดใหญ่มาได้ สภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาก็ดีเช่นกัน

ครั้นมองไปที่โจวซื่อนี่ ถึงแม้หล่อนจะมาจากชนบทและมีกลิ่นอายความเป็นบ้านนอกอยู่ แต่ก็ไม่ได้แย่จนเกินไปนัก อีกอย่างหล่อนก็แทบจะไม่มีอะไรคู่ควรกับหลานชายของตนเลย

ดังนั้นแม่เฒ่าจูจึงมีจุดมุ่งหมายสำหรับการแต่งงานนี้

สำหรับเรื่องนี้แม่เฒ่าจูตั้งใจไปขอให้แม่เฒ่าหูช่วยเป็นคนกลางให้

อย่างไรก็ดีแม่เฒ่าหูได้ตอบปฏิเสธ นางยังรู้สึกเคืองที่ในครั้งก่อนแม่เฒ่าจูเยาะเย้ยนางเรื่องจับคู่จูเจินเจินกับหู่จือ

ดังนั้นครั้งนี้นางจึงไม่อยากจะช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสภาพความเป็นอยู่ของหลานชายแม่เฒ่าจูนั้นไม่ค่อยจะดีนัก

ด้วยเหตุนี้แม่เฒ่าจูจึงทำได้เพียงมาหาโจวซื่อนีด้วยตัวเอง หล่อนต้องการจะเลียนแบบวิธีการของแม่เฒ่าหูโดยการหลอกล่อหลานสาวของครอบครัวตระกูลโจว จากนั้นหล่อนจะปล่อยให้หนุ่มสาวทั้งคู่ได้คบหากันเอง

หล่อนไม่เชื่อหรอกว่าหงเสียเด็กสาวที่มีทะเบียนบ้านในชนบทจะสามารถต้านทานความเย้ายวนของทะเบียนบ้านในปักกิ่งได้ เมื่อถึงเวลานั้นการแต่งงานจะต้องถูกจัดขึ้นอย่างแน่นอน

แม่เฒ่าจูค่อนข้างพอใจกับการที่จะได้เป็นญาติจากการแต่งงานกับครอบครัวตระกูลโจว ถึงอย่างไรพวกเขาก็ค่อนข้างร่ำรวยเลยทีเดียว

สิ่งเดียวที่น่าเสียใจคือหลานสาวคนโตที่กตัญญูของหล่อนได้ถูกจัดการเรื่องการแต่งงานไปเรียบร้อยแล้ว และไม่สามารถแต่งกับโจวข่ายได้สำเร็จ เจ้าเด็กที่ซื่อตรงคนนั้นช่างไม่มีโชคเอาเสียเลย

…………………………………………………………………………………………………

*ม้าที่ไม่รู้ตัวว่าหน้ายาว ถูกใช้เปรียบเปรยสำหรับวิจารณ์ผู้ที่มองไม่เห็นความผิดหรือข้อด้อยของตนเอง

(1)ลักษณะของถ้วยน้ำแกงขนาดเล็กของจีน

(2)เป็นโจ๊กที่ทำจากถั่วแดงและพุทราจีน

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset