บทที่ 498 เธอไม่ชอบฉันหรือเปล่า?

บทที่ 498 เธอไม่ชอบฉันหรือเปล่า?

ตอนเย็นหลินชิงเหอไปหาโจวเสี่ยวเหมยเพื่อชวนไปโรงอาบน้ำ

โจวเสี่ยวเหมยได้ทีก็บ่นให้ฟัง “พี่สะใภ้สี่ พี่รู้ไหมคะว่าสวี่เชิ่งเฉียงเจ้าอันธพาลนั่นออกไปทำธุรกิจคนเดียวแล้ว”

“ออกไปทำคนเดียวไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” หลินชิงเหอตอบอย่างไม่ใส่ใจ

นิสัยของสวี่เชิ่งเฉียงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เขาไม่สามารถทำอะไรสำเร็จได้ ถึงทำได้ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น หางกระต่ายไม่มีทางจะยาวได้หรอก (1)

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้โจวเสี่ยวเหมยไม่พอใจ เรื่องที่ทำให้โจวเสี่ยวเหมยไม่พอใจก็คือการที่สวี่เชิ่งเฉียงมีท่าทางไม่ให้ความเคารพต่อซูต้าหลินเป็นอย่างมาก

มี 2 ครั้งในตอนที่ซูต้าหลินพูด สวี่เชิ่งเฉียงได้แสดงท่าทางหมดความอดทนที่จะรอฟังและพูดขัดจังหวะขึ้นมาทันที

“เขายังหาเงินไม่ได้มากมายอะไรเลยก็ยังเป็นแบบนี้ไปแล้ว แค่ได้มา 100 กว่าหยวนต่อเดือนก็ทำให้เขาเหลิงได้แล้ว!” โจวเสี่ยวเหมยด่า

ครอบครัวของหล่อนไม่ได้กินข้าวบ้านครอบครัวสวี่เสียหน่อย จะยอดเยี่ยมอะไรนักหนา? ร้านซาลาเปาของหล่อนก็กำไรดีมากเช่นกัน กำไร 500 หยวนต่อเดือนคือการประเมินในขั้นต่ำเท่านั้น!

แค่ 100 กว่าหยวนก็ทำให้เขาเป็นแบบนี้ได้แล้วหรือ?

หลินชิงเหอพอจะจินตนาการออกโดยที่ไม่ต้องถาม เขาน่าจะไม่กล้าแสดงท่าทางอวดดีมากเกินไปนักกับทางนี้ ในขณะที่กับทางคุณน้าเขยเล็ก เขาแสดงท่าทีจองหองออกมา

“ทำงานให้หนักและพยายามซื้อบ้านให้ได้ในปีนี้นะจ๊ะ” หลินชิงเหอเปลี่ยนเรื่องคุย

ปีนี้เป็นปีที่สำคัญมาก เนื่องจากการปฏิรูปค่าแรงในปีหน้าจะทำให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น เริ่มจากปีหน้าเป็นต้นไปราคาสินค้าจะขึ้นในช่วงกลางปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาบ้านก็จะสูงขึ้นไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ต้าหลินกับฉันกำลังวางแผนกันอยู่ แต่พวกเราก็ยังขาดเงินอยู่อีกเยอะเลยค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยส่ายหัว

“ถ้าจำเป็นก็มาเอาจากที่นี่ไปก่อนนะจ๊ะ ยิ่งซื้อเร็วยิ่งดีนะ” หลินชิงเหอแนะนำ

กับผู้อื่นนั้นหลินชิงเหอจะไม่พูดอะไรมากนัก แต่โจวเสี่ยวเหมยกับเธอเป็นเพื่อนกันมาหลายปีแล้ว การบอกให้หล่อนซื้อบ้านในเวลานี้ก็เป็นการให้หลักประกันกับหล่อนเช่นกัน

มิฉะนั้นพอราคาเพิ่มขึ้นในอนาคตแล้วพวกเขาอาจจะซื้อมันไม่ได้

“ขอบคุณนะคะพี่สะใภ้สี่” โจวเสี่ยวเหมยยิ้ม “ถ้าถึงคราวจำเป็น ฉันจะบอกพี่นะคะ”

“อีกเรื่องหนึ่ง ถ้ามีหนทางที่จะโอนย้ายทะเบียนบ้านมาได้ เธอกับต้าหลินสนใจไหมจ๊ะ?” หลินชิงเหอถาม

“ถ้าย้ายมาได้ก็ดีสิคะ แต่ฉันได้ยินมาว่ามันไม่ง่ายเลยนี่คะ” โจวเสี่ยวเหมยลังเล

ในตอนนี้ที่พวกเขาได้มาอยู่ที่ปักกิ่ง โจวเสี่ยวเหมยก็ปรับตัวกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้แล้ว หล่อนจึงไม่มีแผนจะกลับไปที่อำเภอบ้านเกิดอีก แม้ในอำเภอจะไม่ได้แย่ แต่มันก็เทียบกับที่ปักกิ่งไม่ได้เลย

ดังนั้นโจวเสี่ยวเหมยจึงตั้งใจจะอาศัยอยู่ที่นี่ไปแบบนี้ ถึงอย่างไรอาชีพของพวกเขาก็อยู่ที่นี่ใช่ไหมล่ะ?

เธอก็รู้เช่นกันว่าการโอนย้ายทะเบียนเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก หากไม่มีเส้นสายแล้ว ถึงแม้จะมีเงินหลายพันหยวนที่พร้อมจะจ่ายสำหรับค่าธรรมเนียมก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถโอนย้ายได้สำเร็จ

“ลูกชายคนโตของพี่สาวเวิงกำลังจะกลับมาอยู่ที่ปักกิ่งในปีนี้ ฟังดูจากคำพูดของพวกเขาแล้ว ในอนาคตเขาน่าจะเข้าไปทำงานในสำนักงานกิจการพลเรือน ถึงตอนนั้นถ้ามีหนทาง ฉันจะถามให้นะจ๊ะ” หลินชิงเหอกล่าว

เมื่อวันที่ 2 ของปีใหม่คุณพ่อเวิงและคุณแม่เวิงได้พาเวิงกั๋วต้งมากินมื้อเย็นที่บ้าน พวกเขาจึงได้รู้ว่าเวิงกั๋วต้งกำลังจะโอนย้ายตำแหน่งกลับมาอยู่ที่บ้าน

เมื่อถึงเวลานั้นเขาอาจจะได้เข้าไปทำงานในสำนักงานกิจการพลเรือน

ถึงจะกล่าวว่าเขาอาจจะได้เข้าไป แต่โดยพื้นฐานถือว่าเรื่องนี้ได้รับการยืนยันแล้ว มีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะไปทำงานที่นั่น

หลินชิงเหอจึงมีความตั้งใจเช่นนี้

“แต่ก็ต้องหาคนมาช่วยกรุยทางให้เหมือนกัน” หลินชิงเหอบอกโจวเสี่ยวเหมย

หากมีเส้นสายอยู่ภายในแล้ว ค่าใช้จ่ายก็จะไม่สูงมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันยังปลอดภัยอีกด้วย สถานการณ์อย่างเรื่องที่ผู้คนเอาเงินไปแล้วแต่กลับไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ให้ก็จะไม่เกิดขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นพอถึงตอนนั้นพี่สะใภ้สี่ช่วยบอกฉันด้วยนะคะ!” โจวเสี่ยวเหมยตอบ

หลินชิงเหอรับปาก

“ถ้าโอนทะเบียนบ้านมาได้ ต่อไปในอนาคตพวกเราก็จะกลายเป็นคนปักกิ่งไปเลยสินะคะ” โจวเสี่ยวเหมยพูด

ด้วยเหตุที่พวกเขาไม่ได้เป็นคนท้องถิ่น การเข้าโรงเรียนของลูก ๆ จึงเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก ต้องใช้เส้นสายของพี่สะใภ้สี่ของหล่อน พวกเขาจึงสามารถเข้าโรงเรียนชั้นประถมกันได้โดยราบรื่น

ทว่าจะปล่อยให้มันเป็นอยู่เช่นนี้ต่อไปไม่ได้ แก้ปัญหาเรื่องทะเบียนบ้านโดยเร็วย่อมจะดีกว่า

คู่พี่สะใภ้น้องสามีอาบน้ำและกลับบ้านด้วยความรู้สึกสดชื่น

โจวเสี่ยวเหมยย่อมนำเรื่องนี้มาเล่าให้ซูต้าหลินฟัง ซึ่งเขาก็พูดด้วยความซาบซึ้งใจ “ต้องขอบคุณ…พี่สะใภ้…สี่ด้วยนะครับ”

ตั้งแต่ทั้ง 2 คนมาอยู่ที่นี่ พวกเขาได้รับการดูแลจากพี่สี่และพี่สะใภ้สี่มากมายจริง ๆ

“เมื่อไหร่ที่แก้ปัญหาเรื่องทะเบียนบ้านได้แล้ว พวกเราก็สามารถซื้อบ้านที่นี่กันได้แล้วนะคะ ทีนี้พวกเราก็จะเป็นคนปักกิ่งกันจริง ๆ แล้วล่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยพูด

ซูต้าหลินยิ้มกว้าง แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่เขาก็ชอบปักกิ่งเช่นกัน ถึงในฤดูหนาวอากาศจะหนาวจัดไปสักหน่อย ทว่านอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่มีข้อตำหนิอื่นเลย

“ปี…ปีนี้…ญาติผู้พี่…กับพี่สะใภ้จะ…มาที่นี่แล้ว” ซูต้าหลินเอ่ย

“มาก็มาเถอะค่ะ พอถึงเวลานั้น หาร้านให้อยู่ไกลออกไปสักหน่อยนะคะ อย่ามาอยู่ทำเลเดียวกันกับพวกเรา แล้วก็เช่าบ้านให้ห่างออกไปด้วย ที่เหลือก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยตอบ

ซูต้าหลินพยักหน้า

หลังจากวันที่ 5 แล้วบรรยากาศการเฉลิมฉลองของเทศกาลปีใหม่ก็ค่อย ๆ เลือนหายไป หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ขับรถพาท่านพ่อโจว เฒ่าหวังและซูต้าหลินไปพักผ่อนที่บ่อน้ำพุร้อน

ส่วนท่านแม่โจวนั้นไม่ได้พาไปด้วย ค่าเข้าบ่อน้ำพุร้อนตอนนี้ราคาแพงมาก หากพานางไปด้วย อย่าหวังจะได้พบความสงบสุขในเดือนแรกของปีนี้เลย

ท่านแม่โจวรู้สึกเสียใจ ที่จริงนางก็อยากจะไปด้วย นางแค่รู้สึกว่ามันแพงมากเกินไปเท่านั้นเอง ที่นั่นไม่มีส่วนลดให้สำหรับคนที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ และคิดราคาต่อหัว ช่างขี้โกงอะไรอย่างนี้?

“แม่ทำอะไรอยู่คะ? แม่ดูไม่ร่าเริงเลย” โจวเสี่ยวเหมยตั้งข้อสังเกตขึ้นเมื่อหล่อนกลับมาพร้อมกับลูกสาวทั้ง 2 คน

“พี่สะใภ้สี่ของแกไม่ชอบฉันหรือเปล่า?” ท่านแม่โจวพูดอย่างน้อยใจ

โจวเสี่ยวเหมยแอบหัวเราะพร้อมกับคิดอยู่ในใจว่า พี่สะใภ้สี่ไม่ได้ไม่ชอบแม่หรอก แต่ขยาดแม่ต่างหาก ในเมื่อไม่อยากยั่วโมโหแม่ เธอก็ได้แต่หลีกเลี่ยง

ดังนั้นเธอจึงไม่พาแม่ไปเที่ยวด้วย

“พี่สะใภ้สี่กตัญญูมากแค่ไหน? แม่ลองไปถามแม่เฒ่าพวกนั้นในสวนสาธารณะดูสิคะว่ามีลูกสะใภ้คนไหนที่เป็นแบบหล่อนบ้าง?” โจวเสี่ยวเหมยไม่สามารถบอกความจริงออกไปได้ เธอจึงพูดเช่นนี้

แน่นอนท่านแม่โจวรู้ดีและเอ่ยว่า “แต่พี่สะใภ้สี่ของแกไม่พาฉันไปที่นั่นด้วย”

“รถคันนั้นมีที่ไม่พอนี่ค่ะ รถของหวังหยวนนั่งได้ 5 คนเท่านั้น” โจวเสี่ยวเหมยอธิบาย

“เธอไม่ได้ไม่ชอบฉันจริง ๆ ใช่ไหม?” ท่านแม่โจวถาม

“ถ้าเธอไม่ชอบแม่ เธอจะกตัญญูต่อแม่มากขนาดนี้หรือคะ? ปีใหม่พี่สะใภ้สี่ให้อั่งเปาแม่กับพ่อไปตั้งเท่าไหร่คะ?” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าท่านแม่โจวก็ระบายยิ้มออกมา สะใภ้สี่มอบอั่งเปาให้นางกับสามีคนละซอง ซองละ 50 หยวน เธอมอบเงินของขวัญ 100 หยวนให้แก่พวกเขา

“พูดถึงเรื่องสวี่เชิ่งเหม่ย ตั้งแต่หล่อนเสียลูกคนก่อนไป ทำไมหล่อนถึงยังไม่ท้องสักที? หรือเรื่องครั้งก่อนจะมีผลให้หล่อนมีอาการป่วย?” ท่านแม่โจวถาม

โจวเสี่ยวเหมยไม่อยากสนใจกับเรื่องของสวี่เชิ่งเหม่ยจึงตอบกลับไป “แม่คะ อย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้เลยค่ะ พวกเขาไม่ได้ต้องการความเป็นห่วงเป็นใยของแม่หรอกนะคะ”

หล่อนจะไม่ไปกังวลกับพวกที่ดูถูกต้าหลินของตนหรอก ต่อให้พวกเขาจะเป็นลูกชายและลูกสาวของพี่สาวคนโตของตนก็ตาม พวกเขาเป็นเหมือนกันหมด!

“ฮ้า พี่น้อง 2 คนนี้ ทำให้คนต้องรู้สึกเป็นทุกข์จริง ๆ” ท่านแม่โจวถอนหายใจออกมาเบา ๆ “จริง ๆ เลยนะพี่สาวใหญ่ของแกนี่ หล่อนไม่รู้วิธีสั่งสอนพวกเขาให้ดีเลยเหรอไง”

โจวเสี่ยวเหมยปอกเปลือกผลส้มให้แม่ของตนแล้วบอกให้นางกิน “กินส้มสิคะ”

และหยุดคุยได้แล้ว

อย่างไรก็ดีแม่เฒ่าจูผู้เป็นเพื่อนบ้านได้แวะมาหา

สีหน้าของท่านแม่โจวเฉยชาขึ้นเมื่อได้เห็นนาง จากนั้นก็พูดด้วยท่าทางมีมารยาทอย่างเสแสร้งว่า “ทำไมเธอถึงได้มีเวลาว่างแวะมาหาได้ล่ะจ๊ะ?

……………………………………………………………………………………………….

(1) เปรียบกับ สิ่งที่ไม่คงทนยาวนาน / ไม่ยั่งยืน

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset