บทที่ 500 น้ำหนักเพิ่มสามชั่งรับปีใหม่

บทที่ 500 น้ำหนักเพิ่มสามชั่งรับปีใหม่

หม่าเฉิงหมินกลับไปบอกเรื่องนี้กับภรรยาของตน หวงเสี่ยวลิ่วได้ฟังก็ดีใจมาก หล่อนดีใจมากจริง ๆ เพราะหลังจากมาที่ปักกิ่งนี้หล่อนก็ยังไม่ได้กลับบ้านเลย ดังนั้นพอหม่าเฉิงหมินพาหล่อนกลับมาชนบท ใบหน้าของหล่อนจึงเผยยิ้มอย่างหาได้ยากออกมา

ได้ยินว่าเป็นเพราะหลินชิงเหอ หวงเสี่ยวลิ่วจึงทำเค้กนึ่ง(1)ไปให้หนึ่งถาด มันมีเนื้อสัมผัสนุ่มนวลไม่เลวเลยทีเดียว

นอกจากนี้หล่อนยังเก็บไว้ให้หม่าเสี่ยวตั้นผู้เป็นลูกชายอยู่บ้าง ส่วนที่เหลือทั้งหมดหล่อนนำไปให้หลินชิงเหอ

“เค้กนึ่งนี้รสชาติไม่เลวเลยจริง ๆ เธอเป็นคนทำหมดเลยเหรอจ๊ะ” หลินชิงเหอไว้หน้าหล่อนอย่างมาก พอกินไปชิ้นหนึ่งแล้วก็ถามหวงเสี่ยวลิ่ว

“นี่เป็นขนมขึ้นชื่อของบ้านเกิดฉันเองค่ะ ถ้าอาจารย์หลินไม่รังเกียจก็ดีแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันกลับมาแล้วจะทำมาให้คุณอีก” หวงเสี่ยวลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

พอได้ยินว่าจะได้กลับบ้านที่ชนบทแล้วหล่อนก็ดีใจมาก

หลินชิงเหอเองก็เข้าใจว่าเธออยู่ที่ปักกิ่งคงจะหาคุณค่าในตัวเองไม่เจอจริง ๆ ดังนั้นจึงตอบตกลงไป

เค้กนึ่งนี่รสชาติไม่เลว รอให้โจวชิงไป๋กลับมาก่อน แล้วเธอจะให้เขาชิม

โจวชิงไป๋เองก็รู้สึกว่ารสชาติไม่เลวเหมือนกัน หลินชิงเหอเห็นดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น “คุณว่าเราเอาเค้กนึ่งนี่ไปวางขายที่ร้านเป็นอาหารเช้าดีไหมคะ?”

“?” โจวชิงไป๋มองภรรยาอย่างไม่เข้าใจ

เค้กนึ่งนี้รสชาติไม่เลว เขากินแล้วก็รู้สึกว่ามันอร่อยดี แต่น่าจะทำกำไรได้ไม่สูงนัก

“ให้หวงเสี่ยวลิ่วทำเค้กพวกนี้ไปลองขายที่ร้านดู ถือเป็นการเปลี่ยนรสชาติน่ะค่ะ” หลินชิงเหอพูด

เดิมทีหล่อนไม่มีความคิดนี้ด้วยซ้ำ แต่เค้กนึ่งนี้รสชาติดีจริง ๆ ดังนั้นหลินชิงเหอจึงมีความคิดแบบนี้ขึ้นมา

“ก็ได้ครับ” แม้ว่าโจวชิงไป๋ไม่ได้สนใจเรื่องกำไรนัก แต่เมื่อเห็นภรรยาตนมีความตั้งใจจะทำจริง ๆ เขาก็ไม่ขัด

พรุ่งนี้หม่าเฉิงหมินกับหวงเสี่ยวลิ่วก็ต้องพาหม่าเสี่ยวตั้นกลับไปแล้ว หลินชิงเหอจึงมาหาหวงเสี่ยวลิ่วเพื่อพูดเรื่องนี้

“จะเอาเค้กนึ่งนี้ไปขายอย่างนั้นเหรอคะ? มีคนต้องการซื้อด้วยเหรอคะ?” สำเนียงท้องถิ่นของหวงเสี่ยวลิ่วยังค่อนข้างชัดเจน แต่ก็เป็นภาษาจีนกลางอยู่

“ฉันกินแล้วรู้สึกว่ามันอร่อยมาก รสมือของคุณไม่ธรรมดาเลยนะคะ” หลินชิงเหอพูด

น้อยครั้งมากที่หวงเสี่ยวลิ่วจะถูกคนชม พอถูกหลินชิงเหอชมแบบไม่ยั้งปากก็รู้สึกเกรงใจเล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตื้นตันใจด้วย

“แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะชอบกินรสชาติแบบไหนหรอกนะ รอให้คุณกับเฉิงหมินกลับมา คุณก็ตื่นเช้าหน่อยทุกวัน แล้วลองทำเค้กนึ่งนี้ขายดูดีไหมคะ? ถ้าเกิดขายดี ก็ค่อยทำแบบนี้ต่อไปดีไหมล่ะคะ?” หลินชิงเหอพูด

“ฉันกลัวว่ามันจะขายไม่ออกน่ะค่ะ” หวงเสี่ยวหลิวทั้งดีใจทั้งเป็นกังวล

“ปกติแล้วไม่มีทางที่จะขายไม่ออกหรอกค่ะ หากทำตามที่คุณทำให้วันนี้ละก็จะต้องมีคนชอบแน่” หลินชิงเหอพูด

เธอเป็นคนค่อนข้างเลือกกิน แต่เค้กนึ่งนี้รสชาติไม่เลวจริง ๆ หากคนที่ไปกินที่ร้านเกี๊ยวเป็นประจำได้เปลี่ยนรสชาติบ้างเป็นบางครั้งก็คงไม่เลว มีโจวชิงไป๋แนะนำสักประโยคสองประโยคแล้ว ปกติไม่มีทางที่จะขายไม่ออกหรอก

หม่าเฉิงหมินไปซื้อตั๋วรถไฟ พอกลับมาถึงบ้านแล้วก็ได้ยินเรื่องนี้

ในใจเขาก็รู้สึกซาบซึ้งเช่นกัน เขารู้ว่าหลินชิงเหอต้องการอะไร เป็นเพราะเธอเห็นว่าสภาพจิตใจของภรรยาเขาที่ดูกังวลใจอยู่เล็กน้อย จึงให้วันหยุดเขาเพิ่มขึ้นอีก 2-3 วันเพื่อให้เขาพาหล่อนกลับไปพักผ่อนจิตใจที่บ้านในชนบท แถมยังหางานแบบนี้ให้หล่อนทำ เรื่องนี้น่าจะทำให้จิตใจภรรยาของเขาดีขึ้นได้

เพราะมีเรื่องดี ๆ สองเรื่องติดต่อกัน ใบหน้าของหวงเสี่ยวลิ่วก็เผยรอยยิ้ม เช้าวันถัดมาหล่อนกับหม่าเฉิงหมินก็พาหม่าเสี่ยวตั้นกลับบ้านที่ชนบทกันทั้งสามคน

สำหรับหลินชิงเหอในเรื่องนี้แล้วเธอเพียงต้องการยื่นมือเข้าไปช่วยหวงเสี่ยวลิ่ว ดึงหล่อนเอาไว้ก็เท่านั้น

ภรรยาสาวชนบทคนนี้มีความรับผิดชอบมาก ภายใต้ความรับผิดชอบนี้มันก็ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไปด้วย ในใจของหล่อนรู้ดีว่าถ้าไม่ใช่เพราะหม่าเฉิงหมินถูกส่งไปที่ชนบท ผู้หญิงที่ไม่รู้ตัวหนังสือเลยสักตัวแบบหล่อนก็คงไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายแบบนี้

หลังจากมาถึงที่นี่หล่อนก็ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านนัก แต่ทุกครั้งที่หลินชิงเหอไปนั่งเล่นที่บ้านนั้น เธอก็จะเห็นว่าในบ้านถูกจัดเก็บอย่างสะอาดเรียบร้อยตลอด เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าหล่อนเป็นคนรักความสะอาดและเป็นระเบียบมาก

เพียงแต่หล่อนยังไม่ชินกับที่นี่นัก เวลา 4 สัปดาห์ที่นี่แตกต่างจากชีวิตเดิมที่ชนบทมากเกินไป บวกกับการได้ยินคนบางคนพูดซุบซิบกดดันหล่อนยามออกไปข้างนอก มันก็ทำให้หล่อนเริ่มหมดกำลังใจ

หลินชิงเหอไม่อยากให้คนดี ๆ คนหนึ่งต้องถูกผลกระทบเหล่านั้นจนทำให้สภาพจิตใจเคร่งเครียด เพราะมันไม่คุ้มเอาเสียเลย ดังนั้นพอเห็นว่าหล่อนมีฝีมือทำอาหารแบบนี้ หลินชิงเหอก็ยินดีจะให้หล่อนลองดูสักตั้ง

หากหาเรื่องอะไรบางอย่างให้ทำนอกจากการดูแลบ้าน หล่อนก็จะได้มีโอกาสเห็นคุณค่าในตัวเอง คราวนี้ก็จะไม่เกิดความสงสัยหรือไม่ยอมรับในตัวเอง

ตอนนี้ร้านเกี๊ยวของโจวชิงไป๋เปิดแล้ว และยังต้องการพนักงานงานล้างจานด้วย

กว่ามหาวิทยาลัยจะเปิดคงเป็นอีกสักพักหนึ่ง หลินชิงเหอที่ว่างจนไม่มีอะไรทำก็ไปสอนพิเศษให้กับซื่อนี และเลยไปเยี่ยมซานนีที่ร้านขายอาหารทะเลแห้ง

โจวซานนีอยู่ดีกินดี ผ่านมาปีหนึ่งหล่อนจึงดูอ้วนขึ้นไม่น้อย

“ดูเหมือนอ้ายกั๋วจะเอาส่วนนั้นของเขามาให้เธอกินหมดแล้วสินะ”หลินชิงเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

โจวซานนีหน้าแดงเล็กน้อยขณะตอบกลับ “หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าทำไมตัวเองถึงกินเก่งแบบนี้”

ปกติหล่อนจะรู้สึกหิวเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก และพอผ่านไปได้อีกสักพักหล่อนก็หิวอีกแล้ว ขนาดตัวหล่อนเองยังรู้สึกเลยว่าตัวเองอ้วนขึ้นจริง ๆ

“เป็นธรรมดาจ๊ะ คนท้องน่ะจะเจริญอาหารค่อนข้างดี” หลินชิงเหอพูด แม้เธอจะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่ก็รู้ว่าจะกินเยอะมากไม่ได้เช่นกัน จึงบอกให้โจวซานนีควบคุมตัวเองบ้าง ทานอาหารให้พอดีก็พอ

โจวซานนีตอบตกลงและเปลี่ยนเรื่องพูด “อาสะใภ้สี่คะ หู่จือหมั้นกับแฟนคนนั้นแล้วเหรอคะ?”

ในวันเลี้ยงฉลองปีใหม่ หล่อนรู้ว่าหู่จือพาเฉินซานซานไปด้วยเช่นกัน แต่ไม่ได้รู้อะไรมากนักจึงถามออกไป

“ถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัยอะไรล่ะก็ ทั้งคู่ก็จะหมั้นกันไว้น่ะจ๊ะ” หลินชิงเหอยิ้ม

ความรู้สึกของหู่จือและเฉินซานซานพัฒนาไปอย่างเร็ว หรืออาจเป็นเพราะสภาพสังคมของยุคนี้ที่ความรู้สึกไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก เพียงผู้ใหญ่ของเด็กสองคนยอมรับก็สามารถคบหากันได้อย่างถูกต้องแล้ว

“งั้นก็ไม่เลวเลยนะคะ ถ้าป้าหญิงรองรู้จะต้องดีใจแน่เลยค่ะ” โจวซานนีพูดด้วยรอยยิ้ม

หลินชิงเหอไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้นัก อะไร ๆ ล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้ว การมีวาสนาต่อกันย่อมเป็นเรื่องดี หากไม่มีวาสนาต่อกันก็คงจะบังคับกันไม่ได้

โจวเอ้อร์นีกับหวังหยวนกลับมาที่ปักกิ่งหลังเทศกาลโคมไฟพอดี

ปีนี้พายุหิมะค่อนข้างหนัก จนกระทั่งถึงเทศกาลโคมไฟแล้วก็ยังคงมีหิมะตกหนักอยู่ สภาพอากาศหลังจากนี้อีก 2-3 วันก็คงไม่ค่อยดีนักเช่นกัน

เมื่อโจวเอ้อร์นีและหวังหยวนกลับถึงปักกิ่ง หลินชิงเหอก็เปิดเทอมแล้ว

ครอบครัวสามคนของหม่าเฉิงหมินกับหวงเสี่ยวลิ่วก็กลับมาแล้วเช่นกัน การเปิดร้านในช่วงที่หิมะตกเช่นนี้ทำให้ค้าขายอะไรไม่ค่อยดีนัก แต่เวลาพักผ่อนได้หมดลงแล้ว หลินชิงเหอยังคงเปิดร้านอยู่ คนที่ควรจะต้องทำงานจึงพากันไปทำงาน

เมื่อหลินชิงเหอกลับมาหลังเลิกการเรียนการสอน เธอก็เห็นใบหน้าของโจวเอ้อร์นีอิ่มเอิบขึ้นมากจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กลับไปที่บ้านโดนแม่เลี้ยงของอร่อย ๆ เยอะเลยสิท่า?”

โจวเอ้อร์นีรู้สึกเขิน เพราะในแต่ละวันของช่วงปีใหม่หล่อนไม่มีอะไรต้องทำเลย วัน ๆ เอาแต่กินอยู่กับบ้าน โดยเฉพาะรอบนี้ที่มีหวังหยวนกลับไปด้วย แม่หล่อนก็ยิ่งทำของกินอร่อย ๆ ให้กินทุกวัน ดังนั้นจึงยากมากที่จะคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เพิ่มขึ้นได้

กลับมาครั้งนี้หล่อนก็ได้เอาของประจำถิ่นกลับมาด้วย “แม่ของหนูดองไข่เค็มไว้ไม่น้อยเลยค่ะ เลยฝากเอามาให้ที่บ้านคุณปู่ส่วนหนึ่ง แล้วก็บ้านนี้ส่วนหนึ่ง”

……………………………………………………………………………………………………………………….

(1) สปันจ์เค้กของจีนที่ใช้วิธีนึ่งแทนการอบ (ภาพจาก https://www.xinshipu.com/zuofa/74577)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset