บทที่ 504 แต่งงานและตั้งครรภ์

บทที่ 504 แต่งงานและตั้งครรภ์

เดือนเมษายนจะว่าเร็วก็เร็วจะว่าช้าก็ช้า เพียงพริบตาเดียวก็วนมาถึงแล้ว

โจวหยางเป็นคนพาพี่ชายใหญ่ สะใภ้ใหญ่ และถู่โต้วมาร่วมพิธีแต่งงาน

ส่วนโจวต้านีและครอบครัวของหล่อนไม่ได้มาด้วยเพราะต้องทำงานในทุ่งนา

พี่ชายรองเองก็ไม่ได้มาเช่นเดียวกัน จริง ๆ แล้วเขาอยากมาด้วย เขาอยากจะเห็นว่าปักกิ่งเป็นอย่างไรบ้าง เพียงแต่ว่าช่วงเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมัวมาพักผ่อน

ถึงอย่างนั้นก็ยังพอส่งของขวัญแต่งงานมาแทนได้

เมื่อพี่ชายใหญ่และสะใภ้ใหญ่มาถึง พวกเขาก็รู้สึกเกร็งเป็นธรรมดา เนื่องจากทั้งชีวิตของพวกเขาไม่เคยได้มาเมืองหลวงเลย ไกลที่สุดก็แค่ตัวอำเภอเท่านั้น พอมาถึงเมืองหลวงที่มีถนนหนทางหลายสายแถมยังมีตึกสูงใหญ่อีกไม่น้อย มันก็ทำให้พวกเขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมา

ราวกับอยู่ในโลกที่ไม่ใช่โลกของพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น

หลินชิงเหอให้โจวซือนีหยุดเรียนและพาพ่อกับแม่ของหล่อนเดินเล่นรอบเมืองก่อนวันแต่งงาน 2 วัน โจวกุยหลายเองก็ใจกว้างไปเดินเล่นกับพวกเขาด้วย ทั้งยังถ่ายรูปให้อีกหลายใบ

หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่และทำหน้าที่ยืนรับแขกที่หน้าประตูงาน พี่ชายใหญ่กับสะใภ้ใหญ่ถึงค่อยสงบลงมาได้ แต่ยังคงระมัดระวังท่าทางอยู่เล็กน้อย

ท่านแม่โจวแนะนำพวกเขาอย่างใจเย็น “พวกเธอสองคนยืดตัว ผ่อนคลายเสียหน่อย มือไม้ไม่รู้จะวางไว้ที่ไหนแล้วหรือ ตระกูลโจวของพวกเราก็มีการศึกษาดีไม่น้อยหน้าเหมือนกัน พวกเรามีตั้งกี่คนแล้วที่ได้เรียนมหาวิทยาลัย? ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่า”

หญิงชราคนนี้มีความมั่นใจสูงมาก

นี่ไม่ควรยืดอกภูมิใจหน่อยหรือ? ลองนับนิ้วสิว่าตระกูลพวกเขามีคนได้เรียนมหาวิทยาลัยกี่คนแล้ว? บ้านสายสี่นอกจากอาสี่แล้ว คนอื่น ๆ รวมทั้งสะใภ้สี่และหลาน ๆ สามคนก็ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งกันทั้งนั้น

แม้ว่าบ้านใหญ่จะมีคนเรียนจบมหาวิทยาลัยแค่คนเดียว แต่ครอบครัวจน ๆ ครอบครัวนี้ก็เลี้ยงลูกมาได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กันเลย

บ้านสามก็มีคนได้เรียนมหาวิทยาลัยอีกคน รวมแล้วเป็นทั้งหมด 6 คน ตระกูลหนึ่งมีคนได้เรียนมหาวิทยาลัยถึง 6 คน นี่ไม่ถือว่ายอดเยี่ยมหรือ?

ที่สำคัญฐานะทางบ้านสี่เองก็ไม่มีจุดด้อย เปิดร้านค้าได้หลายร้านจนซื้อรถบรรทุกได้ขนาดนี้ แล้วทำไมพวกเขาต้องรู้สึกต่ำต้อยด้วย?

พี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่เหงื่อตกเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่มีทางเลือก ของบางอย่างไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงกันได้ง่าย ๆ

แต่สองสามีภรรยาถือว่ามีใจสู้ แม้จะแสดงออกมาไม่ค่อยดีนัก แต่ในพิธีแต่งงานของหวังหยวนและโจวเอ้อร์นี พวกเขาก็ไม่ทำพลาดแม้แต่นิดเดียว

ด้านโจวชิงไป๋และหลินชิงเหอก็มาช่วยต้อนรับแขกที่หน้าประตูเช่นกัน และหลินชิงเหอก็ยังเป็นคนเชิญท่านพ่อเวิงและท่านแม่เวิงเข้างานด้วย

พื้นฐานทางบ้านของหล่อนก็เป็นคนมีการศึกษาเช่นกัน

แม้ว่าฝ่ายหญิงจะไม่มีสง่าราศีเท่ากับฝ่ายตระกูลหวัง แต่ก็ไม่ได้ดูห่างชั้นมากนัก

ทั้งสองตระกูลเหมาะสมกันไม่เลวเลย

งานแต่งงานครั้งนี้ที่จริงไม่ได้เชิญสวี่เชิ่งเหม่ยมาด้วย แต่สวี่เชิ่งเหม่ยขอกับคุณยายของหล่อน หล่อนจึงได้มาร่วมงานด้วย

หล่อนย่อมต้องเห็นหลินชิงเหอยืนต้อนรับแขกให้กับโจวเอ้อร์นีหลานสาว ทั้งยังขึ้นเวทีพูดอวยพรภาษาอังกฤษให้กับคู่บ่าวสาว เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หล่อนอึดอัด

นั่นทำให้ฝ่ายเจ้าบ่าวรู้ว่าคุณอาสะใภ้ของโจวเอ้อร์นีเป็นอาจารย์สอนภาษาต่างประเทศที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ฝ่ายเจ้าบ่าวบางคนที่เดิมรู้สึกดูแคลน กลับยิ้มออกโดยพลัน

ไม่ว่าจะจริงใจหรือไม่จริงใจ ก็ต้องทำให้พิธีดำเนินไปอย่างราบรื่น

หลังเสร็จสิ้นพิธี พี่สะใภ้ใหญ่รู้สึกกังวลเล็กน้อย จึงพูดกับหลินชิงเหอ “แม่สามีของเอ้อร์นีคนนั้นพี่เห็นแล้วไม่สบายใจเลย”

สีหน้าของแม่หวังหยวนตั้งแต่เริ่มพิธีจนถึงตอนนี้กลับไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิดเดียว แต่หลินชิงเหอก็ไม่สนใจ โจวชิงไป๋ดื่มเหล้าแสดงความยินดีกับพ่อของหวังหยวน แต่หลินชิงเหอไม่ได้ดื่มให้กับแม่ของเขา

แค่เห็นก็รู้แล้วว่าหล่อนไม่อยากร่วมดื่มแสดงความยินดีด้วย

“ไม่ต้องสนใจหล่อนหรอกค่ะ หวังหยวนตกแต่งบ้านใหม่เสร็จแล้ว พี่ก็เคยไปแล้วนี่คะ อยู่ใกล้คุณพ่อกับคุณแม่ยังมีอะไรให้ต้องกังวลอีก?” หลินชิงเหอเอ่ย

พี่สะใภ้ใหญ่พูด “ดูเหมือนหล่อนจะไม่ชอบเอ้อร์นีเอามาก ๆ เลยนะ”

“เอ้อร์นีไม่ใช่ทรัพย์สิน จะให้ใครมาชอบหล่อนทั้งหมดก็เป็นไปไม่ได้ ขอเพียงหวังหยวนปฏิบัติกับหล่อนดี นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาหรอกค่ะ” หลิวชิงเหอพูด

หวังหยวนดูแลเอ้อร์นีเป็นอย่างดี ตอนนี้ยังพาหล่อนไปร่วมดื่มให้กับผู้อาวุโสอยู่เลย

สะใภ้ใหญ่ก็ไม่พูดอะไรอีกเช่นกัน หล่อนคงไม่ได้อยู่กับเธออีกนาน พรุ่งนี้ก็ต้องนั่งรถกลับบ้านตั้งแต่เช้า จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ต้องขอบใจเธอจริง ๆ นะ”

ถ้าไม่ได้เธอยืนต้อนรับแขกให้ บ้านใหญ่ของหล่อนก็คงไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรดีแน่

“เอ้อร์นีเป็นหลานสาวของฉันนะคะ ฉันอยากส่งหล่อนเข้าพิธีแต่งงานด้วยมือของตัวเอง จะทำให้หล่อนรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจได้อย่างไรคะ” หลินชิงเหอพูด

สะใภ้ใหญ่รู้สึกซาบซึ้งใจมาก “คุณพ่อคุณแม่คงได้รับการดูแลจากเธอดีสินะ ดูพวกท่านอ่อนเยาว์กว่าแต่ก่อนเยอะเลย”

“เพราะอิ่มเอมใจอย่างไรล่ะคะ ไม่มีเรื่องให้ปวดหัว เลยทำให้ยิ่งดูเด็กลง” หลินชิงเหอกล่าวพลางอมยิ้ม

วันนี้เป็นวันดี พี่ชายใหญ่และโจวชิงไป๋จึงดื่มเหล้าไปไม่น้อย ไม่นานนักพวกเขาก็หลับไป

ฝั่งโจวเสี่ยวเหมยที่เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วก็ได้มาที่งานเช่นกัน ใบหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยความปิติยินดีและพูดขึ้นอย่างร่าเริง “วันนี้จัดงานแต่งงานได้ดีจริง ๆ แถมพี่สะใภ้สี่ยังขึ้นเวทีไปอวยพรเป็นภาษาอังกฤษอีก พวกตระกูลหวังได้ยินถึงกับอึ้งไปเลย แถมพี่ยังพูดสำเนียงดีมากด้วย!”

โจวเสี่ยวเหมยก็เพิ่งรู้ว่าตระกูลหวังมีฐานะดีจนคาดไม่ถึง พวกเขามีรถยนต์ส่วนตัวกันมากมายเหลือเกิน

เปรียบเทียบกันแล้ว ตระกูลโจวกลับใช้รถบรรทุกของบ้านพี่สี่พาคนมาร่วมพิธี เลยดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ยังดีที่แม้เรื่องนี้จะดูไม่ดีนัก แต่ก็มีพี่สะใภ้สี่เป็นคนรับแขกอยู่

หลินชิงเหอเองก็ไม่ได้อยากจะขึ้นเวทีไปโอ้อวดตนหรอก หากไม่ใช่เพราะเห็นทางตระกูลหวังทำตัวหยิ่งยโสอวดดี จึงจำต้องขึ้นเวทีไปข่มเสียหน่อย

ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเพราะเรื่องนี้ เรื่องที่เอ้อร์นีจะได้ไม่ดูหัวเดียวกระเทียมลีบ

“ฉันเห็นสีหน้าของสวี่เชิ่งเหม่ยเขียวคล้ำอย่างมีโทสะไปหมดแล้ว คงคิดว่าทำไมพิธีแต่งงานคราวนั้นน้าสะใภ้สี่ถึงไม่ออกหน้าสนับสนุนหล่อนบ้างล่ะมั้ง” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย

“อย่าไปสนใจหล่อนเลย” หลินชิงเหอพูดอย่างไม่ใส่ใจ

สะใภ้ใหญ่พูดเรื่องอื่นอีกเล็กน้อย พอเห็นว่าหลินชิงเหอดูเหนื่อยแล้ว หล่อนก็ตามโจวเสี่ยวเหมยกลับไปพักที่บ้านของท่านพ่อท่านแม่โจว

สำหรับสองพี่น้องโจวหยางกับถู่โต้วก็แค่ขึ้นไปปูที่นอนนอนกันบนชั้นสองของร้านขายเสื้อผ้า ไม่ต้องจองห้องพักในโรงแรมเลย

พอถึงวันต่อมา ครอบครัวบ้านใหญ่ก็พากันกลับ

หวังหยวนไปส่งพวกเขาที่สถานีรถไฟ อีกทั้งยังซื้อของฝากประจำเมืองปักกิ่งติดไปด้วยไม่น้อย อย่างเช่นขนมอบแปดปักกิ่ง[1] และบอกให้พวกเขานำไปฝากเพื่อนบ้านและญาติ ๆ

พี่ชายใหญ่และสะใภ้ใหญ่กลับบ้านไปอย่างมีความสุข

โจวเอ้อร์นีถือว่าเป็นภรรยาของหวังหยวนเต็มตัวแล้ว หลังจากแต่งงานหล่อนก็ยังคงไปทำงานที่ร้านขายเสื้อผ้าอยู่แทนการไปทำงานที่โรงงานของหวังหยวน

อีกทั้งหล่อนยังเป็นคนจ่ายค่าอาหารให้ทางบ้านสี่ โดยที่หวังหยวนมาร่วมรับประทานด้วย หรือไม่อย่างนั้นหล่อนก็ไปกินข้าวกับท่านพ่อท่านแม่โจว สองสามีภรรยาคู่นี้ไม่ต้องทำกับข้าวเลย

เดิมทีหวังหยวนจะพาเอ้อร์นีไปเที่ยวเล่นดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ แต่เอ้อร์นีกลับไม่มีอารมณ์นั้น

หญิงสาวคนนี้เป็นคนจริงจัง หลังจากแต่งงานแล้วหล่อนก็คิดจะเตรียมเก็บเงินไว้เลี้ยงดูบุตร

หวังหยวนชายหนุ่มที่โสดมานานได้แต่งภรรยาแล้ว เขาจึงรู้สึกอยากมีลูกเร็ว ๆ และท่ามกลางความร่วมมือของทั้งสอง ทำให้ภายในหนึ่งเดือนหลังจากแต่งงาน โจวเอ้อร์นีก็ตั้งครรภ์

เป็นความเร็วที่เร็วมากจริง ๆ

…………………………………………………………………………………………………………………………

[1] ขนมอบแปดปักกิ่ง คือ ขนมอบแบบปักกิ่งดั้งเดิม มีที่มาจากครัวหลวงมีสองแบบ คือ แปดใหญ่ แทนคำอวยพรแปดข้อ ความสุข, ความสำเร็จ, อายุยืนยาว, ความโชคดี, ความมั่งคั่ง, การศึกษา ความมีเหลือกินเหลือใช้ และความอุดมสมบูรณ์ และแปดเล็ก ที่มีขนาดเล็กกว่า ไส้ในทำจากผลไม้แตกต่างกัน

อ้างอิงข้อมูล: เมื่อฉันได้กลิ่นอาหารจากนิยาย Foods from novels – โพสต์ | Facebook

อ้างอิงรูปภาพ: 京八件的搜索结果_百度图片搜索 (baidu.com)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset