บทที่ 506 ราชาเกี๊ยว

บทที่ 506 ราชาเกี๊ยว

“ลูกไปทำของตัวเองเถอะ ร้านเกี๊ยวของป๊าเอาไว้ฆ่าเวลาเท่านั้นแหละ” หลินชิงเหอบอก

แม้ว่ากำไรของร้านเกี๊ยวจะไม่ได้สูงมากนัก แต่ว่าร้านเกี๊ยวนี้ก็ทำให้ชิงไป๋ของบ้านเธอมีงานทำ ต่อให้ได้กำไรไม่มากนักก็ไม่มีผลอะไร

อีกอย่างเขาจะได้ไม่รู้สึกเบื่อเหงาตอนที่เธอไปทำงาน รอให้ถึงปิดเทอมฤดูร้อนก่อนค่อยทิ้งร้านเอาไว้ให้ลูก ๆ หรือไม่ก็ปิดไปเลยก็ยังได้ เขาจะได้พาเธอไปเที่ยวเล่น

“ก็ได้ครับ ไว้ผมเรียนจบเมื่อไหร่จะลองดูว่ามีอะไรน่าทำบ้าง” โจวกุยหลายตอบ

รอจนเขากินข้าวเสร็จ โจวชิงไป๋ก็ให้เขาดูแลร้านเกี๊ยวต่อ หลังจากนั้นก็พาภรรยาตัวเองไปดูหนัง

หู่จือไปหาเฉินซานซาน โจวเฉวี่ยนกลับไปทบทวนบทเรียนต่อ ซื่อนีก็ไปเรียนภาคค่ำกับกังจือ โจวเอ้อร์นีไม่ได้มากินข้าวที่นี่ แต่พากันไปกินข้าวเย็นกับหวังหยวนที่บ้านท่านพ่อท่านแม่โจว

ทำให้ในร้านเกี๊ยวเหลือเพียงโจวกุยหลายคนเดียว พอเฒ่าหวังมาถึงก็เห็นเพียงเขาแล้ว

“ทำไมเหลือเธอคนเดียวล่ะ?” เฒ่าหวังถาม

“นั่นสิ พวกเขาไปดูหนังไปเดทกัน ทิ้งผมไว้คนเดียว ปู่บุญธรรมกินข้าวหรือยังครับ” โจวกุยหลายถาม

“กินมาแล้วล่ะ” เฒ่าหวังพยักหน้า

ตอนนี้คุณป้าหม่าเลิกงานแล้ว งานล้างจานจึงเป็นของโจวกุยหลาย เขาล้างจานไปด้วยคุยกับปู่บุญธรรมตัวเองไปด้วย “ปู่บุญธรรมครับ ปู่ว่าผมเรียนจบแล้วทำธุรกิจอะไรดี?”

“ร้านเกี๊ยวพ่อเธอไม่ดีหรือไง?” เฒ่าหวังยิ้มตอบ

“ป๊าของผมทำฆ่าเวลาเท่านั้นล่ะครับ พอถึงปิดเทอมหน้าหนาวกับหน้าร้อนม้าก็จะทิ้งร้านไว้ให้ผม” โจวกุยหลายตอบ

อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ชอบร้านนี้เกี๊ยวเหมือนกัน ร้านใหญ่ขนาดนี้ ดันให้ตายก็ไม่รู้ว่าจะได้กำไรเท่าใด

“เธอวางแผนไว้ว่ายังไงล่ะ?” เฒ่าหวังถาม

“ปู่บุญธรรม ปู่ว่าผมเปิดโรงงานเกี๊ยวเป็นของตัวเองดีไหมครับ” โจวกุยหลายถูจานและถามไปด้วย

“หืม?” เฒ่าหวังนิ่งไปเล็กน้อย

“ก็คือโรงงานที่ทำเกี๊ยวโดยเฉพาะน่ะครับ พอทำเสร็จแล้วก็ใส่ในบรรจุภัณฑ์ หลังจากนั้นก็ส่งไปที่ร้านค้าต่าง ๆ ในสภาพที่เก็บไว้ในช่องแช่แข็งได้ พอถึงเวลาก็เอาออกมาขาย” โจวกุยหลายพูด

เฒ่าหวังจินตนาการถึงกรรมวิธีเหล่านั้นไม่ออก เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน “ถ้าเธออยากทำละก็ ลองพูดกับแม่เธอดูสิ แม่เธอเขาความรู้เยอะ น่าจะแสดงความคิดเห็นอะไรเธอได้ไม่น้อย”

“ผมกังวลว่าต้นทุนมันจะเยอะไป ถึงตอนนั้นแม่อาจจะไม่ยอมให้ผมทำ” โจวกุยหลายเอ่ยอย่างลังเล

“ปู่มีเงินให้ยืมอยู่อีกเยอะนะ ถึงเวลานั้นเธออยากยืมก็มาขอยืมได้” เฒ่าหวังเอ่ย

เดิมทีเขาไม่มีความจำเป็นที่จะเอาเงินไปใช้กับอะไร แต่รายรับของเขาไม่น้อยเลย ทั้งรายรับที่มหาวิทยาลัยกับค่าเช่าจากเรือนสี่ประสาน

เขาคิดว่าในวันข้างหน้าจะมอบเงินให้หลานชายบุญธรรมตัวเองอยู่แล้ว จะนำออกมาเป็นทุนสนับสนุนธุรกิจของหลานชายบุญธรรมก็ไม่มีปัญหา

“ผมจะยืมเงินจากปู่ได้ยังไงละครับ” โจวกุยหลายยิ้ม “ถ้าถึงตอนนั้นผมค่อยไปขอยืมเงินป๊ากับม้าดีกว่า พวกเขามีเงินเยอะทีเดียว”

เขารู้ว่าพ่อกับแม่มีเงิน ดูจากกิจการร้านค้าที่มีเยอะขนาดนี้ อีกทั้งกิจการยังเป็นไปด้วยดี ต้องทำรายได้หลายพันหยวนต่อเดือนอย่างแน่นอน ซึ่งไม่ใช่จำนวนที่น้อย ๆ เลย

รอจนเขาเรียนจบ พวกเขาก็คงเก็บสะสมได้ไม่น้อยแล้ว เขาจึงคิดว่าจะขอยืมเงินป๊ากับม้า และพวกเขาก็น่าจะมีให้

“เอาไปใช้เถอะ ไว้กับฉันก็ไม่ได้เอาไปทำประโยชน์อะไร” เฒ่าหวังเอ่ยอย่างไม่สนใจ

“อีกอย่าง นี่ก็ยังอีกนานนะครับ” โจวกุยหลายพูดขึ้น พอมีลูกค้าเข้ามาเขาก็ล้างมือก่อนจะออกไปเสริฟเกี๊ยว และกลับมาล้างชามล้างตะเกียบต่อ

โจวกุยหลายโม้กับปู่บุญธรรมตนเรื่องโรงงานเกี๊ยวต่อ ที่จริงเรื่องโรงงานเกี๊ยวของเขายังเป็นเพียงความคิด แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำให้เป็นรูปธรรมอย่างไร แต่ฟังเขาโม้ก็ไม่เสียหาย โม้ไปโม้มาตอนนี้กลายเป็นราชาเกี๊ยวไปแล้ว

เฒ่าหวังฟังแล้วก็ดีใจ อีกทั้งยังสนับสนุนเขา

ร้านเกี๊ยวปิดร้านตอนประมาณสามทุ่ม เมื่อหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋กลับมาก็เป็นเวลาปิดร้านพอดี

โจวกุยหลายไปส่งปู่บุญธรรมเขาที่หอพักของมหาวิทยาลัย บอกให้ปู่บุญธรรมของเขาพักผ่อนดี ๆ หลังจากนั้นจึงค่อยกลับมา

“ไปไหนมา?” หลินชิงเหอถาม

“ปู่บุญธรรมมาหาที่ร้านเกี๊ยวน่ะครับ ผมเลยไปส่งปู่กลับ” โจวกุยหลายตอบ

หลินชิงเหอพยักหน้า “ว่าง ๆ ก็พาปู่ลูกไปเดินเล่นบ้างนะ”

“ได้อยู่แล้วครับ ปิดเทอมฤดูร้อนผมว่าจะพาปู่บุญธรรมออกไปเที่ยว เห็นปู่บอกว่าอยากไปภูเขาไท่ซานเหมือนกัน” โจวกุยหลายพูด

“งั้นลูกลองถามพี่รองลูกนะ ว่าปิดเทอมนี้เขารับช่วงต่อร้านเกี๊ยวได้หรือเปล่า ลูกจะได้พาปู่บุญธรรมลูกไปเที่ยวข้างนอกได้” หลินชิงเหอกล่าว

ฤดูร้อนนี้เธอวางแผนว่าจะพาชิงไป๋ของครอบครัวเธอไปเที่ยวต้าเหลียน ดังนั้นจึงไม่มีเวลาว่างเลย

โจวเฉวี่ยนถอนหายใจ “ปิดเทอมนี้ ผมมีคาบเรียนเสริมกับเพื่อนน่ะสิครับ ไหนจะวาดรูป…”

“พี่รอง ปีที่แล้วก็เป็นผมที่อยู่ทำงาน พี่จะชุบมือเปิบตลอดไม่ได้นะรู้ตัวไหม อีกอย่างปู่บุญธรรมก็อายุเยอะแล้ว เขาอยากออกไปดูโลกข้างนอกบ้าง หรือว่าคำขอนี้จะทำให้พวกเขาไม่พอใจ?” โจวกุยหลายพูด

“อย่าเอาเรื่องบุญคุณมาอ้างเลย ไม่ใช่ว่านายออกไปเที่ยวเองมากกว่าเหรอ” โจวเฉวี่ยนปรายตามอง

“งั้นพวกเราก็พูดทีละคนเลยดีกว่า ใช่ ผมอยากออกไปเที่ยว แต่จะพาปู่บุญธรรมไปเที่ยวด้วยเหมือนกัน” โจวกุยหลายพูด

“นายดูร้านเถอะ ฉันจะพาปู่บุญธรรมไปเที่ยว” โจวเฉวี่ยนพูด

“พี่รอง มันจะเกินไปหน่อยแล้วมั้ง ผมพูดกับพวกปู่บุญธรรมแล้ว อีกทั้งปีที่แล้วพี่ก็ไม่อยู่ช่วย ปีนี้ยังจะให้ผมทำอีกเหรอ?” โจวกุยหลายพูด

“ฉันไปเที่ยวยังสามารถวาดรูปได้….”

“พี่จะออกไปเรียนหรือว่าจะพาพวกปู่บุญธรรมไปเที่ยว ผมจะเอากล้องไปด้วย ถึงตอนนั้นถ้าเจอวิวสวย ๆ ยังสามารถถ่ายได้ทั้งหมด พอกลับมาแล้วพี่อยากวาดรูปไหนก็เชิญเลือกได้เลย” โจวกุยหลายพูด

สองพี่น้องโต้เถียงกัน โดยที่หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋นั่งดูทีวีกันอย่างสบายใจไร้ซึ่งความสนใจใด ๆ

ตั้งแต่เด็กที่พวกเขาทะเลาะกัน หลินชิงเหอจะไม่สนใจพวกเขา เว้นแต่ว่าสถานการณ์เริ่มเลยเถิดเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเธอก็จะไม่ยุ่ง พอทะเลาะกันเสร็จพวกเขาก็แบ่งแผ่นไข่ทอดกันกินต่อ คนเป็นพ่อแม่จะเข้าไปยุ่งด้วยทำไม ให้พวกเขาจัดการกันเอาเองน่ะดีแล้ว

หลังจากจบสงครามน้ำลายแล้ว เจ้าสามก็เป็นฝ่ายชนะ เจ้ารองเถียงอีกฝ่ายไม่ชนะจึงต้องกลายเป็นคนดูแลร้านเกี๊ยวไป

“ถ้าจะพาปู่บุญธรรมออกไปเที่ยว งั้นลูกก็ต้องละเอียดรอบคอบ สถานที่อันตรายห้ามไปเด็ดขาด ดื่มน้ำให้เยอะ ๆ ยาก็ต้องเอาไปด้วย” หลินชิงเหอเอ่ยปากพูดกับเจ้าสาม

“ผมรู้ครับ ผมจะวางแผนอย่างดีเลย” โจวกุยหลายพูดขึ้นอย่างดีใจ

แม้ว่าเขาจะอายุ 16 ปี แต่ว่าเขาสามารถรับผิดชอบธุระบางอย่างได้บ้างแล้ว อีกอย่างเขาก็โตขนาดนี้ ให้เขาได้ออกไปข้างนอกเองบ้างก็เป็นเรื่องดี

ดังนั้นหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋จึงไม่ได้ว่าอะไร

โจวเฉวี่ยนถอนหายใจผ่านลำคอ ปิดเทอมฤดูร้อนนี้ตัวเองต้องอยู่เฝ้าร้านเกี๊ยวเสียแล้ว

“สมุดบัญชีนี้แม่ให้ลูกดูแลนะจ๊ะ” หลินชิงเหอที่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบอะไรแม้แต่นิดเดียวพูดกับเขา

“ก็ได้ครับ” โจวเฉวี่ยนตอบตกลง

…………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ความคิดเจ้าสามดีมากเลยค่ะ ในยุคนั้นถือว่าเป็นสตาร์ทอัพอายุน้อยคนหนึ่งเลย ถ้าได้ทุนสนับสนุนก็น่าจะได้เป็นราชาเกี๊ยวอย่างที่โม้ไว้นะคะ

เจ้ารองน่าสงสาร เถียงน้องไม่ชนะต้องเฝ้าร้านไปนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset