บทที่ 515 ติดดินมาก

บทที่ 515 ติดดินมาก

สวี่เชิ่งเหม่ยจากไปด้วยใบหน้าซีดขาว ปกติด้วยนิสัยของหล่อนแล้ว หล่อนจะต้องรีบไปอธิบายให้บ้านใหญ่โจวฟัง

แต่ตอนนี้หล่อนกลับไม่กล้า ไม่กล้าไปที่นั่น

โจวเอ้อร์นีไม่แม้กระทั่งชายตามองหล่อนด้วยซ้ำ

เรื่องนี้ได้เกินขอบเขตที่จะรับได้ของทุกคนในตระกูลโจวแล้ว

คิดส่งเสริมหู่จือกับจางเหมยเหลียนอย่างนั้นเหรอ? เห็นว่าหู่จือเป็นคนซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยมอย่างนั้นสินะ เกิดจับคู่เขากับจางเหมยเหลียนสำเร็จขึ้นมาล่ะก็ เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป?

หล่อนตั้งใจจะทำอะไร? หล่อนต้องการแทงข้างหลังบ้านใหญ่โจวสินะ!

บ้านใหญ่โจวไม่เคยทำร้ายหล่อนเลย แต่หล่อนกลับตอบแทนบ้านใหญ่โจวแบบนี้ คนแบบนี้จะมีใครอยากคบหาสมาคมต่อกัน ขืนคบต่อจะโดนแทงข้างหลังขึ้นมาวันไหนบ้างก็ไม่รู้

หลินชิงเหอเลิกการเรียนการสอนตามเวลา เรื่องนี้ไม่ได้มีผลกระทบกับเธอเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อมาถึงที่ร้านในตอนเที่ยงวัน โจวชิงไป๋กลับลืมตุ๋นน้ำแกง

“น้ำแกงยังลืมตุ๋นเลย หรือว่าคุณไม่ต้องการลูกสาวแล้วคะ” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้นลอย ๆ ขณะมองหน้าเขา

“ผมจะตุ๋นเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” โจวชิงไป๋พูดยิ้ม ๆ

“ไม่ต้องตุ๋นแล้วค่ะ ไม่ใช่ว่าแช่สาหร่ายใบพาย(1)อยู่เหรอคะ เอาไปต้มกับซี่โครงหมูก็พอ” หลินชิงเหอพูด

“อืม” โจวชิงไป๋ตอบรับหนึ่งเสียง และเริ่มสับซี่โครง จากนั้นก็ทำการปรุงซุปสาหร่ายซี่โครงหมู

ไม่นานนักโจวเอ้อร์นีและหวังหยวนก็มาถึง หลินชิงเหอจึงพูดกับพวกเขา “เดือนนี้ได้สาหร่ายใบพายแห้งมาใหม่ไม่น้อย พวกเธอเอาไปด้วยสักหน่อยสิ ซุปสาหร่ายนี่ช่วยบำรุงได้ดีมากเชียว ดื่มเยอะ ๆ นะจ๊ะ”

“ค่ะ” โจวเอ้อร์นียิ้มพร้อมพยักหน้า

“ทำไมผมถึงรู้สึกว่าภรรยาของผมถึงไม่อ้วนเลย? ทั้งที่ผมเห็นซานนีอ้วนกว่าแต่ก่อนมาก” หวังหยวนพูด

“ซานนีอ้วนขึ้นไม่น้อยอยู่แล้ว แต่ว่าเอ้อร์นีก็ไม่เบาเช่นกัน เดือนนี้อาจจะยังไม่ใหญ่ขนาดนั้น ได้รับการบำรุงไม่ขาด ท้องก็จะไม่มีไขมันน่ะ” หลินชิงเหอพูด

หวังหยวนยิ้มแล้วมองไปที่ท้องของเอ้อร์นี

โจวเอ้อร์นีเอ่ยไล่ “คุณไปหยิบถ้วยกับตะเกียบสิคะ”

“จ๊ะ” หวังหยวนผละไปหยิบถ้วยกับตะเกียบ

จากนั้นโจวเอ้อร์นีจึงพูดเรื่องที่สวี่เชิ่งเหม่ยมาหาตนที่ร้านเมื่อช่วงสาย

“ไม่ต้องสนใจหล่อน คนที่นี่ตัดความสัมพันธ์กับหล่อนไปแล้ว” หลินชิงเหอเอ่ยเสียงเรียบ

เธอไม่เคยหวังอะไรในตัวของสวี่เชิ่งเหม่ย แต่เรื่องนี้ทำลายสิ่งที่เธอเคยรู้จักเกี่ยวกับสวี่เชิ่งเหม่ยทั้งหมด

เธอยอมรับว่าไม่เคยไว้หน้าสองพี่น้องสวี่เชิ่งเหม่ยอะไรนัก แต่นอกจากเธอแล้ว คนอื่น ๆ ก็ปฏิบัติกับหล่อนไม่เลวเลย

ก่อนหน้านี้พอหู่จือกับกังจือได้ยินเรื่องของหล่อนกับจ้าวจวิน พวกเขายังพาเจ้ารองไปซ้อมจนฝ่ายนั้นต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่เลย ทั้งหมดนี้ก็ทำเพื่อหล่อนไม่ใช่หรือ?

แต่หล่อนเองรู้ทั้งรู้ว่าจางเหมยเหลียนผ่านมือใครต่อใครมาหลายคนแล้ว หล่อนกลับคิดจับคู่หญิงคนนี้ให้หู่จือ นี่ต้องมีใจคอโหดเหี้ยมขนาดไหน

ในใจหล่อนเคยใส่ใจเรื่องของคนทางนี้บ้างไหม?

เมื่อเจ้าสามเอาเรื่องนี้กลับมาเล่าเมื่อวานนี้ หลังมื้อเย็นนั้นเธอจึงพูดออกมาต่อหน้าทุกคน

และไม่ต้องถามหาความจริงจากที่ไหน เพราะการที่จางเหมยเหลียนกับสวี่เชิ่งเฉียงคบหากันก็เป็นการยืนยันที่ดีที่สุดแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหล่อนอยู่ใกล้ชิดกับสวี่เชิ่งเหม่ย ถึงได้รู้จักกับสวี่เชิ่งเฉียงหรือ ทำให้ในตอนนี้จางเหมยเหลียนกับสวี่เชิ่งเฉียงเป็นเต่าที่มองเห็นเพียงเมล็ดถั่วเขียว*

*หมายถึง คู่รักที่มีกันและกัน ที่เปรียบเทียบกับเต่าเพราะว่าตาของเต่ามีขนาดเล็กเวลามันจ้องจะไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เหมือนกับคู่รัก

พูดไปแล้วก็เหมือนกรรมตามสนองตัวเองนั่นแหละ ไม่มีอะไรกล่าวได้ดีกว่านี้อีกแล้ว

เรื่องเมื่อเย็นวานทำให้ชิงไป๋ของเธอรู้สึกผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งชิงไป๋ของเธอเอ่ยปากออกมาเองว่าเขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ และบ้านใหญ่โจวก็จะไม่ก้าวก่ายกับเรื่องของบ้านสวี่อีก!

ก็คือแยกผิดถูกชั่วดีออกจากกันอย่างชัดเจนในประโยคเดียว ไม่มีอะไรให้พูดอีก

หวังหยวนก็จะขายสินค้าให้ตามปกติ ไม่จำเป็นก็จะไม่มีของแถมให้ อย่างไรเสียทางนั้นก็มาเอาสินค้าไปเหมือนกัน แต่ก็เป็นเพียงการร่วมงานกันแบบนี้ ไม่มีความสัมพันธ์อื่นเกี่ยวข้องกันอีก

โจวเอ้อร์นีพยักหน้า เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “คุณปู่คุณย่าที่อยู่ที่นั่นยังไม่รู้เรื่องนี้นะคะ”

“คนทางนั้นไม่ต้องพูดถึงแล้ว พี่น้องสองคนนั้นคงไม่กล้ามาที่นี่แล้วล่ะ” หลินชิงเหอพูด

ท่านพ่อท่านแม่โจวอายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว แม้จะมีร่างกายแข็งแรง แต่ถ้ารู้ว่าหลานสาวห่าง ๆ ต้องการแทงข้างหลัง หลานชายก็คบอยู่กับผู้หญิงประวัติฉาวโฉ่ เกรงว่าพวกเขาจะรับไม่ได้

ดังนั้นอย่าเอาเรื่องของสองคนนั้นมาทำให้คนแก่สองคนต้องปวดหัวเลย ให้พวกเขาอยู่อย่างมีความสุขเถอะ

หลินชิงเหอไม่บอกเรื่องนี้กับท่านพ่อท่านแม่โจว แต่ตอนที่ไปโรงอาบน้ำกับโจวเสี่ยวเหมย เธอกลับเล่าเรื่องนี้ให้หล่อนฟัง

เธอจำเป็นต้องบอกกับโจวเสี่ยวเหมย ไม่อย่างนั้นหล่อนจะยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย

โจวเสี่ยวเหมยอึ้ง “อะไรนะคะ? หล่อนกล้าทำเรื่องร้ายกาจเห็นแก่ตัวแบบนี้ได้ยังไง?”

“ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้สวี่เชิ่งเฉียงกับจางเหมยเหลียนคบกันแล้ว แถมจับสวี่เชิ่งเฉียงไว้อยู่หมัด หล่อนถึงได้วิ่งแจ้นมานี่ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้ว่าหล่อนปกปิดเรื่องราวเบื้องหลังไว้เยอะขนาดนี้” หลินชิงเหอกล่าว

โจวเสี่ยวเหมยโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ “พวกเราไม่ดีกับหล่อนตรงไหน มีตรงไหนที่พวกเราทำผิดต่อหล่อนบ้าง!”

ถึงกับส่งเสริมผู้หญิงประวัติฉาวโฉ่แบบนั้นให้กับหู่จือ ถ้าเกิดสำเร็จขึ้นมาล่ะ พี่สะใภ้สี่ของหล่อนจะบอกกับพี่สาวรองอย่างไร?

ภรรยาที่มีคุณธรรมจะไม่นำภัยพิบัติมาสู่สามี แต่งงานกับภรรยาแบบนั้นถือว่าเป็นความซวยโดยแท้!

“ไม่ต้องโมโหแล้ว ฉันแค่จะมาบอกให้เธอรู้ไว้เท่านั้น ครอบครัวของเราจะไม่รู้จักสองคนนั้นอีกต่อไป พี่ชายสี่ของเธอก็จะไม่ยุ่งเรื่องของสวี่เชิ่งเฉียงกับจางเหมยเหลียนแล้ว” หลินชิงเหอพูด

โชคดีที่ชิงไป๋ของเธอเข้าใจเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเธอต้องทะเลาะกับเขาแน่แล้ว เรื่องราวในครั้งนี้สร้างบาดแผลให้กับหัวใจของชายผู้เข้มแข็งแล้วจริง ๆ ไม่อย่างนั้นแม้แต่จะไปถามพวกเขาเองกับตัว ทำไมเขาถึงไม่ไปกัน?

โจวเสี่ยวเหมยพูด “ไม่ยุ่งนั่นแหละค่ะถูกแล้ว ไม่งั้นก็ต้องคอยพะวงอยู่เรื่อยว่าพวกเขาจะทำอะไร พี่สาวใหญ่ของฉันก็ทำพลาดครั้งใหญ่มากเช่นกัน สั่งสอนสองคนนี้ให้ออกมามีสภาพเป็นอะไรไปแล้ว!”

“พี่ก็มีส่วนผิดที่พามาเมืองหลวงเหมือนกัน” หลินชิงเหอพยักหน้าพูด

“พี่สะใภ้สี่อย่าคิดอย่างนี้สิคะ ต่อให้พี่ไม่พาพวกเขามา พี่สาวใหญ่ของฉันก็จะพาคนมาที่นี่อยู่ดี อีกทั้งขนาดพามาให้หล่อนไปเรียนหนังสือหล่อนกลับไม่สนใจจะไป ให้ดูแลร้านอยู่ดี ๆ หล่อนกลับไปทำเรื่องอะไรกับจ้าวจวิน เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพี่เลยค่ะ!” โจวเสี่ยวเหม่ยพูด

“พี่ไม่พูดเรื่องนี้แล้วล่ะ แล้วกิจการของสองสามีภรรยาลูกพี่ลูกน้องเธอเป็นอย่างไรบ้าง” หลินชิงเหอถาม

โจวเสี่ยวเหมยยังคงมีโทสะ แต่ก็ยอมเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พอไปได้อยู่ค่ะ ฉันได้ยินต้าหลินบอกมาว่าเดือนที่แล้วพวกเขามีรายได้ 200 กว่าหยวน”

หลินชิงเหอพยักหน้า “ขอแค่ทำการค้าต่อไปได้ก็พอ”

“นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเองค่ะ ต่อไปจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน ขอเพียงทำการตลาดดี ๆ จะต้องไม่ด้อยกว่าทางนี้แน่ แต่ภรรยาของลูกพี่ลูกน้องคนนั้นค่อนข้างอารมณ์ร้ายทีเดียวค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยพูด

“จะสนใจไปทำไมล่ะ เดี๋ยวสังคมก็จะสั่งสอนหล่อนเอง” หลินชิงเหอพูดเสียงเรียบ

ในโลกของผู้ใหญ่ ‘ความเจียมตัว’ นับเป็นกฎเกณฑ์สูงที่สุด ขอเพียงมี ‘ความเจียมตัว’ สักเล็กน้อย คุณก็จะมีชีวิตที่ดีและสามารถร่ำรวยอย่างเงียบ ๆ ได้

แม้หลินชิงเหอจะไม่ได้มีนิสัยแบบนี้ แต่ตอนอยู่ที่ชนบท คนในชนบทต่างรู้ว่าเธอมีชีวิตที่ดี แม้ในมือจะไม่มีเงินแต่เธอก็เป็นเจ้าแม่แห่งการใช้จ่ายอย่างไม่เป็นสองรองใคร

แต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าร้านเกี๊ยวร้านนั้นคือร้านที่เธอเป็นคนซื้อเอาไว้

พวกเขาต่างคิดว่าเป็นร้านเช่า มีสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าร้านเกี๊ยวนั่นคือบ้านของเธอ

กระทั่งร้านที่เปิดทีหลังยังมีคนรู้ไม่กี่คน

ความจริงแล้วพวกเขาก็ติดดินมากเหมือนกัน

………………………………………………………………………………………………………………………

(1)สาหร่ายคอมบุ หรือสาหร่ายเคลป์ นิยมใช้ต้มซุปให้มีรสอร่อยกลมกล่อม เพราะมีปริมาณกรดกลูตามิกสูง

ภาพซ้าย – หน้าตาสาหร่ายคอมบุแห้ง (ภาพจาก https://www.epochtimes.com/gb/17/6/28/n9328365.htm)

ภาพขวา – ซุปสาหร่ายคอมบุซี่โครงหมู (ภาพจาก https://www.xiachufang.com/recipe/102311478/)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset