บทที่ 533 สู้ชีวิตมาก

บทที่ 533 สู้ชีวิตมาก

โจวข่ายรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่กลับไม่ได้พูดอะไร ไม่ว่าอย่างไรย่าของเขาย่อมคิดถึงเขาเป็นธรรมดา

“ย่ารู้ว่าหลานยุ่ง แต่ถ้าว่างแล้ว หลานก็ต้องกลับมานะรู้หรือเปล่า?” ท่านแม่โจวพูด

“ครับคุณย่า ผมรู้แล้ว” โจวข่ายพยักหน้า

“คุณปู่ทูนหัวครับ พวกเราไปโรงอาบน้ำกันเถอะ” โจวกุยหลายพูด

“หลานไปเอาผ้าขนหนูให้ปู่หน่อยสิ” เฒ่าหวังพูดและส่งกุญแจให้เขา

โจวกุยหลายไปหยิบเสื้อผ้า ครั้นเดินออกมาก็มองเห็นหวังหยวนพอดี อีกฝ่ายมาพร้อมกับถุงผลไม้ขนาดใหญ่ทั้งสองถุง เป็นส้มหนึ่งถุงและแอปเปิลหนึ่งถุง

“จะไปไหนเหรอ?” หวังหยวนถาม

“ไปหยิบเสื้อผ้าให้ปู่หวังไปโรงอาบน้ำน่ะครับ” โจวกุยหลายพูด

หวังหยวนพยักหน้า เมื่อเดินเข้ามาถึงก็ได้เห็นโจวข่าย และเอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”

“วันนี้ครับ” โจวข่ายยิ้ม “ยินดีกับพี่เขยด้วยนะครับที่ได้ลูกแฝดมังกรหงส์”

ตอนเขาโทรศัพท์หาแม่ แม่ได้บอกเรื่องนี้เขาแล้ว

“ขอบใจมากนะ” หวังหยวนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“ขนผลไม้มาทำไมอีกตั้งเยอะแยะ เมื่อวานน้าต้าหลินเธอก็เพิ่งซื้อผลไม้กลับมาให้ตั้งสองกล่อง” ท่านแม่โจวพูด

“งั้นก็ต้องทานเยอะ ๆ ครับ” หวังหยวนพูด

เขาเองก็อยากจะไปโรงอาบน้ำเหมือนกันจึงพูดขึ้น “ผมขอกลับไปหยิบเสื้อผ้าก่อน รอสักครู่นะครับ”

นั้นย่อมไม่มีใครโต้เถียงอะไรอีก พวกเขาพากันไปโรงอาบน้ำด้วยกัน แม้ว่าบาดแผลที่หน้าอกของโจวข่ายจะหายแล้ว แต่ก็ยังหลงเหลือรอยแผลเป็นทิ้งไว้ ทำให้พวกเขามองเห็นมัน

“ถ้าพี่บอกให้ม้ารู้นะ ม้าคงจะห่อพี่เป็นเกี๊ยวได้ทันทีเลยล่ะ” โจวกุยหลายพูดอย่างหวาดหวั่น แค่เขามองก็รู้สึกเจ็บแทนแล้ว

“กลับไปแล้วห้ามบอกม้านะ” โจวข่ายประกาศขณะมองหน้าโจวเฉวี่ยนและโจวกุยหลาย

“วางใจเถอะ ผมไม่บอกหรอก” โจวเฉวี่ยนปรายตามองและพูดขึ้น

“อยู่ข้างนอกระวังตัวไว้ด้วย” หวังหยวนพูด

“ผมรู้ครับ พวกนี้เป็นอุบัติเหตุน่ะครับ” โจวข่ายพูด

เฒ่าหวังกับท่านพ่อโจวก็มองเห็นแล้วเช่นเดียวกัน แม้ทั้งคู่จะเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นท่าทางโจวข่ายที่บอกชัดว่าเขาจะไม่ละทิ้งอุดมการณ์ของเขาเพราะเรื่องนี้แน่นอน พวกเขาจึงไม่พูดอะไรอีก

“ตอนนี้ถ้านายตัวคนเดียวนายสามารถสู้ได้กี่คน” หวังหยวนถาม

“ก็ต้องดูฝีมือของอีกฝ่าย” โจวข่ายพูด ถ้าคนธรรมดาล่ะก็เขาคนเดียวสามารถสู้กับคนได้ทั้งกลุ่ม หากเป็นนักเลงที่มีประสบการณ์เขาก็สู้คนเดียวได้ไม่มีปัญหาเช่นกัน ส่วนพวกมีอิทธิพลมืดอะไรแบบนั้นถ้าเข้ามาทีละคนเขาก็สามารถรับมือไหว

โรงเรียนที่เขาอยู่จะต้องฝึกเรื่องเหล่านี้ทุกวัน บวกกับพรสวรรค์ของเขาที่มีเหนือคนอื่น ไม่ว่าจะอยู่ในโรงเรียนทหารหรือว่าในกองทัพเขาก็มีความสามารถโดดเด่น แม้ว่าบรรดาทหารใต้บังคับบัญชาส่วนมากจะมีอายุมากกว่าเขา แต่ก็ไม่มีใครไม่ยอมรับเขา

ต่อให้มีก็ถูกกำราบด้วยการวัดฝีมือไปแล้ว

หวังหยวนมองท่อนแขนของเขาก็รู้สึกนับถือเขาเล็กน้อย เห็นชัดว่าเป็นคนที่ฝึกฝนร่างกายตลอด

“พี่เขยรอง พี่ต้องปฏิบัติกับพี่เอ้อร์นีดี ๆ หน่อยนะ ไม่อย่างนั้นพี่โดนพี่ใหญ่ผมอัดหมอบแน่” โจวกุยหลายจีบปากจีบคอพูด

“งั้นพรุ่งนี้ไม่พาเจ้าสามไปแช่บ่อน้ำร้อนด้วยแล้ว” หวังหยวนโบกมือ

“พี่เขย ๆ ผมรู้ว่าพี่รักพี่เอ้อร์นีของผมที่สุด อย่างไรพี่ต้องดีต่อเธออยู่แล้ว เธอเป็นผู้หญิงที่ดีขนาดนั้น ผมต้องเชื่อใจพี่ได้ ต่อให้ดอกไม้ข้างนอกจะเยอะขนาดไหน พี่คงไม่เลือกมาสักคนแน่ ดังนั้นพรุ่งนี้พวกเราไปด้วยกันนะครับ” โจวกุยหลายพูด

“ฉันยังขาดคนขัดหลังอยู่คนหนึ่ง” หวังหยวนพูด

โจวกุยหลายจึงบริการให้เขาทันที

พูดถึงบริการอาบน้ำก็มีเรื่องน่าขันอยู่เหมือนกัน เดิมทีคนที่มาอาบน้ำในโรงอาบน้ำขนาดใหญ่ของภาคเหนือไม่ได้คิดเยอะขนาดนั้น แต่พอนักศึกษามหาวิทยาลัยทางภาคใต้เข้ามาเรียนที่นี่ เรื่องน่าขันทั้งหลายก็ได้บังเกิดขึ้น

แล้วยังมีเรื่องสวมกางเกงในเข้ามาอาบ เดิมทีเป็นเพราะความเขินอาย แต่ยิ่งเขินก็ยิ่งกลายเป็นที่จับตามองคนทั้งหมดในโรงอาบน้ำ

หลังจากอาบน้ำเสร็จ พวกเขาก็เดินออกจากโรงอาบน้ำอย่างสบายตัว

ส่วนด้านท่านแม่โจวรู้ว่าบ้านสี่ตุ๋นอาหารโอชะเอาไว้แล้ว นางจึงพูดขึ้น “พรุ่งนี้ตอนเที่ยงหลานมากินข้าวที่นี่สิ ย่าจะทำของอร่อย ๆ ให้กิน”

“ครับ” โจวข่ายรับปาก

โจวข่ายแวะไปเยี่ยมสองแฝดมังกรหงส์ก่อน หลังจากนั้นจึงได้เดินทางกลับ

“เจ้าใหญ่โตขึ้นแล้วทั้งสูงทั้งแข็งแรงเชียวนะ” โจวเอ้อร์นีพูดด้วยรอยยิ้ม

“ถ้ากลับไปตอนอยู่ที่ชนบท ทั้งหมู่บ้านมีเขานี่แหละค่ะที่สูงที่สุด” โจวซื่อนีก็ยิ้มเช่นกัน

แต่พวกหล่อนกลับไม่รู้สึกแปลกใจที่เห็นเขาตัวสูงขนาดนี้ อันดับแรกคืออาสะใภ้สี่ของพวกหล่อนตัวไม่เตี้ย ไหนจะชีวิตความเป็นอยู่ของพวกน้องชายสามคนนี้ตอนอยู่ในหมู่บ้านสมัยก่อน ซึ่งเรื่องอาหารการกินของพวกเขายังเป็นสิ่งที่ทำให้พวกหล่อนรู้สึกอิจฉาอยู่เลย

พวกหล่อนอิจฉาพวกเขาจริง ๆ ตอนนั้นความเป็นอยู่ยังขาดแคลนไม่เหมือนตอนนี้ การได้กินอาหารหนึ่งมื้อแบบอิ่มเพียงหกหรือเจ็ดส่วนก็ดีมากแล้ว

แต่อาสะใภ้สี่ของพวกหล่อนกลับต่างออกไป เธอทำอาหารอร่อย ๆ ให้พวกเจ้าใหญ่กินประจำ จนในหมู่บ้านมีคนไม่น้อยแอบนินทาลับหลังว่าอาสะใภ้สี่สิ้นเปลืองแบบนี้ต่อไปคงจะใช้ชีวิตลำบากแน่

แต่ตอนนั้นมีใครบ้างที่ไม่รู้สึกอิจฉา?

หลังอาสะใภ้สี่ได้สอนหนังสือในโรงเรียนมัธยมแล้ว เจ้าใหญ่ก็ยิ่งมีนมวัวดื่มทุกวัน จนคนอื่นอิจฉาเขาแทบจะไม่ไหว

ชาวบ้านต่างอิจฉาพวกเขาที่มีอาสะใภ้สี่ของพวกหล่อนเป็นแม่ นั่นเป็นความสุขที่หาไม่ได้เชียวล่ะ

ไม่ว่าจะโจวข่าย โจวเฉวี่ยน หรือน้องเล็กสุดอย่างโจวกุยหลาย ก็มีส่วนสูง 180 เซนติเมตรขึ้นทั้งนั้น พวกเขาตัวสูงมาก ๆ ซึ่งนั่นก็สอดคล้องกับพื้นฐานที่พวกเขาได้รับในตอนเด็กแล้ว

หวังหยวนพูด “เมื่อกี้เจ้าสามเตือนผมว่า ถ้าผมทำไม่ดีกับคุณ เขาจะให้พี่ชายใหญ่ของเขามาอัดผม”

โจวซื่อนีหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ โจวเอ้อร์นีก็พยายามกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นใจ หล่อนจากบ้านแม่มาไกลถึงปักกิ่ง ทั้งได้แต่งงานกับคนตระกูลสูง ในใจหล่อนทำไมจะไม่รู้สึกกังวลล่ะ? แต่ครอบครัวของอาสี่กับอาสะใภ้สี่ก็ทำให้หล่อนรู้สึกปลอดภัย

กลับมาที่ร้านเกี๊ยวอีกครั้ง ตอนนี้ทั้งครอบครัวเตรียมลงมือทานอาหารมื้อเย็นแล้ว แม้จะกินเร็วไปหน่อย แต่นั่นก็ไม่มีปัญหา

ต้องรีบกินให้เสร็จเร็ว ๆ จะได้ให้เจ้าใหญ่กลับไปพักผ่อนเร็วหน่อย

“หู่จือล่ะ” พอเห็นกังจือมาถึงแล้วแต่ไม่เห็นเงาของหู่จือ โจวข่ายจึงเอ่ยปากถาม

“หู่จือไปตั้งแผงขายของน่ะ เก็บข้าวไว้ให้เขาชามหนึ่งกับหมั่นโถว 2-3 ลูกก็พอแล้ว” หลินชิงเหอพูด วันนี้พวกเธอกินข้าวกันเร็วจึงไม่อยู่รอหู่จือแล้ว เดี๋ยวพอเขากลับมาค่อยอุ่นร้อนให้เขากินก็แล้วกัน

“เขากลับมากินอาหารหลังคนอื่นทุกวัน สู้ชีวิตมากเลยล่ะ” โจวเฉวี่ยนพูด

“ต้องสู้อยู่แล้ว ย้ายทะเบียนบ้านต้องใช้เงินเท่าไหร่ ไหนจะค่าจัดงานแต่งงานและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีก สู้ตอนนี้ถือว่าทำถูกแล้ว” โจวกุยหลายพูด

“คุณน้าครับ ปีหน้าผมก็ออกไปตั้งแผงขายของได้เหมือนกันหรือเปล่าครับ?” กังจือพูดด้วยรอยยิ้ม

“ปิดเทอมฤดูร้อนปีหน้าได้จ้ะ” หลินชิงเหอพยักหน้าพูด

“จะไม่เรียนต่อแล้วเหรอ” โจวชิงไป๋มองเขาขณะถาม

“ไม่แล้วครับ ๆ ผมเรียนเยอะพอเอามาใช้ประโยชน์ได้แล้ว” กังจือรีบส่ายหัว เขารู้ว่าคุณน้าหวังดีต่อเขา แต่เขาอยากจะทำงานหาเงินแล้ว

“กินข้าวเถอะ กินเสร็จแล้วลูกจะได้กลับไปพักผ่อนเร็ว ๆ” หลินชิงเหอพูดกับลูกชายคนโตของตัวเอง

“ครับ” โจวข่ายพยักหน้า

หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋กินเสร็จแล้วก็ไปดูหนังกัน ช่วงนี้พวกเขาไม่มีเวลาอยู่กับเด็ก ๆ มากนัก มีหนังออกใหม่ที่ควรมาดูอยู่

“ปีนี้ครอบครัวเรานอกจากพี่เอ้อร์นีพี่ซานนีคลอดหลานกันแล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลยเหรอ?” เมื่อเหลือแค่พวกเขาพี่น้องที่นั่งกินข้าวของตัวเองแล้ว โจวข่ายจึงถามขึ้น

“มีอีกเยอะเลยครับพี่ พูดไปแล้วพี่ต้องไม่อยากจะเชื่อแน่เลย” โจวกุยหลายพูด

……………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าสามพูดมากนักระวังอดไปบ่อน้ำพุร้อนนะ

เจ้าใหญ่ระวังแผลนะคะ ม้ารู้เมื่อไหร่โดนตีตายแน่ แล้วก็ทางปักกิ่งนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่นายยังไม่รู้ด้วยค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset