บทที่ 545 รอฉันสองปี

บทที่ 545 รอฉันสองปี

“วันนี้ผมขี่จักรยานมา กำลังจะออกไปเดินเล่นรับลมพอดี ให้ผมไปเถอะครับ” เวิงกั๋วต้งพูดพลางลุกขึ้น

“แล้วพี่ขี่ไหวไหม? เมื่อกี้ผมเห็นพี่กั๋วต้งดื่มเหล้าไปไม่น้อย” โจวกุยหลายพูด

“ดื่มแค่นั้นไม่แรงหรอก” เวิงกั๋วต้งพูด

“ให้เจ้าสามไปส่งฉันก็พอค่ะ” โจวซื่อนียิ้มอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นไรจ๊ะ ๆ ให้กั๋วต้งไปส่งก็ได้ รีบพาซือนีไปสิ ต้องพาเขาไปส่งบ้านปู่ย่าให้ได้นะ ได้ยินไหม?” คุณแม่เวิงพูดด้วยอาการสงบทั้งที่ในใจปิติยินดีสุดขีด

“รู้แล้วครับ” เวิงกั๋วต้งพูด

“ไปเถอะ” หลินชิงเหอมองเวิงกั๋วต้งนิด ๆ ถึงค่อยเอ่ยกับโจวซื่อนี

โจวซื่อนีก็พยักหน้า หลังจากนั้นก็เดินลงไปข้างล่างตึกกับเวิงกั๋วต้ง ให้เวิงกั๋วต้งพาไปบ้านท่านพ่อท่านแม่โจว

“ชิงเหอ พวกเราออกไปเดินเล่นข้างนอกกันไหมคะ?” คุณแม่เวิงพูดพลางยิ้มออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“ไปสิคะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

“พวกคุณอยากไปด้วยกันไหมคะ” คุณแม่เวิงถามคุณพ่อเวิงและโจวชิงไป๋

“พวกคุณไปกันเถอะ” คุณพ่อเวิงไม่อยากออกไป

“ไปกับม้าของลูกสิ” โจวชิงไป๋พูดกับเจ้าใหญ่

“เหม่ยเจี่ย ออกไปเดินด้วยกันครับ” โจวข่ายพูดกับเวิงเหม่ยเจี่ย

เวิงเหม่ยเจี่ยมองเขาและเดินไปหยิบกระเป๋า หลังจากนั้นคุณแม่เวิงกับหลินชิงเหอก็พาโจวข่ายกับเวิงเหม่ยเจี่ยออกไปด้วยกัน

โจวกุยหลายไม่ได้ไปด้วยและเลือกที่จะอยู่บ้าน เขามักจะให้โอกาสพี่ใหญ่สร้างสถานการณ์เสมอ

เขาไปต้มน้ำผึ้งมาให้คุณพ่อเวิงและพ่อของเขาสองแก้วเพื่อดื่มแก้อาการเมาค้าง

ด้านนอกเวิงเหม่ยเจี่ยกับโจวข่ายเดินคู่กัน โจวข่ายมีรูปร่างสูงใหญ่ ส่วนสูงของเวิงเหม่ยเจี่ยไม่ได้ถือว่าเตี้ย แต่พอยืนข้างโจวข่ายทำให้เธอดูเหมือนนกน้อยที่ยืนข้างมนุษย์

พวกเขาสองคนเดินตามหลังคุณแม่เวิงและหลินชิงเหอ และพูดคุยกันอยู่อย่างนั้น

คุณแม่เวิงและหลินชิงเหอไม่สนใจพวกเขา

“เจ้าลูกคนนั้นของฉัน ดูเหมือนว่าจะฉลาดขึ้นมาแล้ว” คุณแม่เวิงพูด

ไอ้หยา นี้เปรียบเสมือนต้นไม้เหล็กจริง ๆ นั่นแหละ* ที่เขาไปส่งหญิงสาวกลับบ้าน คุณแม่เวิงเป็นคนที่รู้นิสัยของลูกชายตัวเอง เขาเป็นคนที่ซื่อตรงมาก ไม่มีทางทำเรื่องหวาน ๆ แบบนั้น ถ้าเขาไม่สนใจไม่มีทางที่เขาจะเอ่ยปากพูดหรอก

(*หมายถึง สถานการณ์ที่พบเห็นได้ยาก)

หลินชิงเหอก็มองออกว่าเวิงกั๋วต้งเองก็มีความหมายในเชิงนั้นเช่นกัน แต่พูดตามตรงว่านี้มันค่อนข้างจะเหนือความคาดหมายจากที่หลินชิงเหอคิด

“ก็แค่ไปส่งซื่อนีกลับเท่านั้นเองค่ะ คงไม่ได้มีอะไรมากอย่างที่คุณคิดหรอก” แต่หลินชิงเหอก็ยังไม่ได้พูดออกมา

เธอไม่อยากให้หลานสาวต้องเจ็บปวด ถ้าเกิดคบกับเวิงกั๋วต้งแล้ว เวิงกั๋วต้งเกิดไม่พอใจขึ้นมาละ? แม้ว่าหลินชิงเหอจะรู้ว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่จะสมหวัง แต่ถ้าเกิดซื่อนีชอบเขาขึ้นมาล่ะจะทำอย่างไร?

คุณแม่เวิงพูด “ชิงเหอเชื่อฉันเถอะ ลูกชายของฉันเป็นคนที่ฉันเข้าใจมากที่สุด เขาเอ่ยปากออกมาขนาดนี้แล้ว แสดงว่าเขาก็ต้องมีใจบ้างล่ะ เขาไม่ใช่คนที่จริงจังอะไรแบบนั้นก็จริง แต่ถ้าเกิดตกลงคบกันจริง เขาจะต้องตั้งใจคบกับเธออย่างจริงใจแน่ค่ะ อีกอย่างซื่อนีก็ดีขนาดนี้ เขาจะต้องพอใจในตัวหล่อนได้แน่ค่ะ”

หลินชิงเหอยิ้มแล้วพูด “ฉันรู้จักเวิงกั๋วต้งดีค่ะ แต่พวกเขาสองคนมีระยะห่างมากเกินไปจริง ๆ”

“แล้วอย่างไรคะ ซื่อนียังไปเรียนภาคค่ำเพื่อพัฒนาตัวเองขึ้น อีกทั้งเงื่อนไขของครอบครัวเราก็คือแค่แต่งเข้ามา ซื่อนีเป็นคนที่เข้าเกณฑ์นั้นมาก คุณก็ให้หล่อนกับเวิงกั๋วต้งลองคบกันดูก่อนเถอะ อย่างไรก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าบ้านอื่นหรอกคะ” คุณแม่เวิงพูดอย่างพยายามแย่งตัวซื่อนีเพื่อลูกชายสุดชีวิต

“ฉันไม่ได้เป็นคนตัดสินเรื่องนี้หรอกนะคะ ฉันต้องลองถามซื่อนีแล้วค่อยว่ากัน อีกอย่างอายุของกั๋วต้งกับซื่อนีก็ห่างกันไม่น้อยเลย” ความสัมพันธ์ของหลินชิงเหอกับคุณแม่เวิงนั้นดีมากก็จริง แต่เธอก็ยังต้องประเมินข้อบกพร่องของเวิงกั๋วต้งอยู่ดี

อีกทั้งเธอก็พูดตามความจริงด้วย

“ฉันรู้ค่ะ กั๋วต้งอายุมากหน่อยแต่เขาก็มีความรักและทะนุถนอมคนอื่นเหมือนกัน หลังจากแต่งงานกันไปแล้วเขาไม่มีทางที่จะรังแกซื่อนีอย่างแน่นอนค่ะ คุณวางใจในคนของฉันได้” คุณแม่เวิงพูด

หลินชิงเหอยิ้มแล้วพูดขึ้น “งั้นถ้าฉันมีเวลาจะถามให้นะคะ”

“ถามเลยค่ะ ปีหน้ากั๋วต้งก็จะย้ายออกไปอยู่ตัวคนเดียวแล้ว ถ้าเกิดสำเร็จ สองคนนั้นจะต้องสามารถมีชีวิตที่ดีได้แน่” คุณแม่เวิงพูด “เรื่องเงินเขาก็เป็นคนหาเอง หนึ่งเดือนได้ 100 กว่าหยวน ปีหน้าเงินก็จะขึ้นอีก สามารถเอามาให้ฉันกับพ่อเขานิดหน่อยก็พอ อย่างอื่นไม่ต้องสนใจ พวกเรามีเงินเก็บเป็นของตัวเองแล้ว”

ไม่ต้องพูดเลยว่าเรื่องนี้ทำให้หลินชิงเหอรู้สึกเห็นด้วยจริง ๆ เพราะการหาคนที่สมบูรณ์แบบสักคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เงื่อนไขของตระกูลเวิง ทั้งคุณแม่เวิงและคุณพ่อเวิงนั้นใจกว้างมาก ไม่ใช่ประเภทไม่ฟังเหตุผล ถ้าได้แต่งงานกันไปก็เป็นเรื่องดีจริง ๆ นั่นแหละ

ดังนั้นหลินชิงเหอจึงคิดว่าตัวเองควรจะต้องถามโจวซื่อนีอย่างจริงจังเสียแล้ว

ส่วนคุณแม่เวิงก็พูดกับโจวข่ายและลูกสาวของตนว่า “เอาล่ะ พวกเธอสองคนไปดูหนังเดินดูอะไรกันเถอะ พวกแม่ขอกลับก่อนล่ะ”

“ทำไมเร็วจังคะ” เวิงเหม่ยเจี่ยพูด

“อากาศหนาวออกขนาดนี้ เด็กวัยรุ่น ๆ อย่างพวกลูกทนไหว แต่พวกแม่ทนไม่ไหวน่ะสิ” คุณแม่เวิงพูด

“ดูแลเหม่ยเจี่ยดี ๆ นะลูก” หลินชิงเหอก็พูดกับลูกชายตัวเองเช่นกัน หลังจากนั้นก็กลับไปพร้อมกับคุณแม่เวิง

โจวข่ายกับเวิงเหม่ยเจี่ยสบตากัน ต่างฝ่ายต่างหน้าแดงละสายตาออกจากกัน เช่นนี้ก็หมายความว่าครอบครัวของพวกเขาต่างให้การยอมรับพวกเขาโดยดุษณี* แล้ว

*อาการนิ่ง ซึ่งแสดงถึงการยอมรับ

“ไปเดินเล่นกันเถอะ” โจวข่ายกระแอมไอพูดขึ้น

“ค่ะ” เวิงเหมยเจี่ยตอบรับ

โจวข่ายพาหล่อนเดินไปด้วยกัน เดินไปเรื่อย ๆ ก็ถึงสวนสาธารณะ

เวิงเหม่ยเจี่ยกำลังจะพูดว่าทำไมมาที่นี่ ก็ได้ยินโจวข่ายพูดว่า “เหม่ยเจี่ย เธออย่ารับรักจากพวกทหารบัดซบนั้น รอฉันสองปีเถอะนะ”

เวิงเหม่ยเจี่ยนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ใบหน้าพลันขึ้นสีแดงระเรื่อดึงผ้าเช็ดหน้าในมือไปมา

“ตอนนี้พวกเรายังเด็กไปหน่อย ตำแหน่งของฉันก็ยังต่ำเกินไป รอฉันเลื่อนขั้นแล้วถึงตอนนั้นพวกเรามาแต่งงานกันนะ?” โจวข่ายพูดถาม

เวิงเหม่ยเจี่ยใบหน้าร้อนผ่าว ๆ มองเขานิด ๆ แล้วตอบรับเขาเสียงแผ่วเบา

โจวข่ายคลี่ยิ้มออกมา หลังจากนั้นก็มองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีคนก็ดึงมือหล่อนเข้าหาตัว

“ทำอะไรคะ?” เวิงเหม่ยเจี่ยใบหน้ายิ่งแดงก่ำ แต่กลับไม่ได้ผลักไส

“เธอเป็นคนที่ฉันเห็นมาตั้งแต่เด็ก แต่งกับฉันดีที่สุดแล้ว ฉันสามารถดูแลเธอได้ตลอดชีวิตนี้ของเธอ จะไม่ทำให้เธอเสียใจ” โจวข่ายพูด

“ปากหวานจริง ๆ ก่อนหน้านี้ทำไมฉันถึงไม่รู้ว่าพี่เป็นคนพูดจาหลอกลวงคนได้แบบนี้นะ” เวิงเหม่ยเจี่ยหัวใจเต้นระรั่วเร็ว เบือนหน้าหนีพูด

“ก็ก่อนหน้านี้เธอยังเด็กอยู่” โจวข่ายพูด ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจแต่หลังจากปีใหม่นี้เขาก็จะอายุ 21 ปีแล้ว ก็ควรที่จะมีภรรยาเป็นของตัวเองได้แล้วไม่ใช่หรือ? คบกันก่อนแล้วค่อยแต่งงาน อย่างไรก็ได้ฝากฝังกันไว้ในใจแล้ว

เวิงเหม่ยเจี่ยยิ้มกว้างมองเขา

ทั้งสองเดินวนรอบหนึ่งถึงค่อยกลับบ้าน โจวข่ายยังขับรถไปส่งเหล่าเวิงกลับบ้านก่อนจะขึ้นบ้านมา

“ทำไมผมถึงรู้สึกว่าก่อนพี่ออกไปข้างนอกกับพี่เหม่ยเจี่ย กับตอนนี้ถึงไม่ค่อยเหมือนกันนะ?” โจวกุยหลายเริ่มทำการสอบสวนพี่ชายใหญ่ของเขา

“ไม่เหมือนเดิมยังไง?” โจวเฉวี่ยนที่ถึงบ้านสักพักแล้วเอ่ยถาม

“ไม่รู้สิครับ รู้สึกว่าพี่เหม่ยเจี่ยไม่กล้ามองพวกเรา ใบหน้ายังแดงราวกับลูกตำลึง” โจวกุยหลายพูด

หลินชิงเหอไม่เอ่ยถามเรื่องนี้แล้ว เพียงพูดเตือนว่า “ห้ามทำร้ายจิตใจเหม่ยเจี่ยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแม่ไม่มีทางตอบตกลงแน่!”

พูดจบเธอก็เดินเข้าห้องนอนแล้วก็เห็นโจวชิงไป๋ที่เย็นวันนี้ดื่มกับคุณพ่อเวิงมากกว่าปกติไปหน่อย

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ดูท่าจะมีข่าวดีทั้งสองคู่เลยค่ะ คนหนึ่งปากไม่ตรงกับใจ อีกคนหนึ่งแค่รอจังหวะเหมาะแล้วสารภาพรักก

บทสารภาพรักของเจ้าใหญ่นี่มัน…ฮือออ…ใจเหลวไปหมดเลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset