บทที่ 549 นี่ก็คือกลอุบาย

บทที่ 549 นี่ก็คือกลอุบาย

หลินชิงเหอมองสายตาที่จับจ้องมาที่ตัวเอง ใบหน้าแข็งค้างมองไปทางโจวชิงไป๋ “นี่มันอะไรกันคะเนี่ย?”

“พี่สะใภ้สี่ พี่ไม่รู้ว่าตัวเองท้องเลยเหรอคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม

“ถ้าพี่ท้องแล้วทำไมพี่จะไม่รู้ล่ะ?” หลินชิงเหอย้อนถาม มองไปทางโจวชิงไป๋

“เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วนี้” โจวชิงไป๋พูดราวกับว่าที่ตัวเองพูดนั้นมีเหตุมีผลยิ่ง

พอคำพูดนี้ถูกปล่อยออกมา ทุกคนจึงมีท่าทางกลับมาสู่สภาพเดิม สรุปก็คือไม่ได้ท้องสินะ เป็นเขาที่คาดหวังไปเองเท่านั้น

“ผมก็นึกว่าเป็นเรื่องจริงเสียอีก ดีใจเก้อเลย!” โจวกุยหลายพูด

โจวข่ายกับโจวเฉวี่ยนเองก็ไม่ต่างกัน จริง ๆ เลย พวกเขาหรือก็นึกว่าเป็นเรื่องจริง คิดไม่ถึงว่าต้องมาดีใจเก้อแบบนี้

“พี่สะใภ้สี่ พี่กับพี่สี่ยังอยากจะมีลูกอีกหรือคะ? ตอนนี้ไม่ใช่ว่าจะช้าเกินไปแล้วเหรอคะ?” โจวเสี่ยวเหมยพูดออกมาตรง ๆ

หลินชิงเหอพูดเสียงเรียบ “ปีนี้พี่อายุ 39 แล้ว เธอคิดว่าพี่ยังสามารถคลอดลูกได้อีกไหมล่ะ”

“ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ ที่หมู่บ้านของพวกเรามีคนอายุ 40 ปีไม่น้อยเลยที่คลอดลูกคนสุดท้องได้” ท่านแม่โจวพูด

“คุณแม่เห็นด้วยเหรอคะ?” หลินชิงเหอถามอย่างแปลกใจ

เธอนึกว่าแม่สามีคนนี้จะไม่อยากให้เธอคลอดลูกแล้วเสียอีก

“ทำไมฉันต้องไม่เห็นด้วยด้วยล่ะ ตอนนี้พวกเธอมีพร้อมทุกอย่างแล้วนะ” ท่านแม่โจวพูด

ครอบครัวของลูกชายคนนี้แม้แต่รถบรรทุกยังซื้อไหว เลี้ยงลูกอีกสักคนจะใช้เงินมากเท่าไหร่กันเชียว? มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยสำหรับพวกเขา

โจวชิงไป๋รู้สึกพอใจมาก หลินชิงเหอเหลือบมองเขาอย่างเอือมระอา “ถ้าฉันท้องล่ะก็ งานของฉันคงไม่ได้ทำแล้ว”

“ไม่ทำก็ไม่เป็นไร กิจการของเธอก็เป็นไปด้วยดีเสียขนาดนั้น และก็ไม่ได้ด้อยกว่าเงินเดือนนั้นของเธอด้วย” ท่านแม่โจวพูด

หลินชิงเหอไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ เพียงมองค้อนโจวชิงไป๋ไปทีหนึ่ง

“แม่ครับ หรือว่าแม่ไม่อยากท้อง?” โจวข่ายถาม

หลินชิงเหอพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดี “ลูกกำลังจะแต่งงานมีลูกแล้วนะ”

โจวข่ายแย้มยิ้ม “ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยครับ แต่ว่าครอบครัวเรามีลูกชายเยอะไปแล้ว ถ้าเกิดจะมีละก็ พยายามมีน้องสาวก็ดีนะครับ?”

ประโยคนี้ทำให้ใบหน้าที่ยากจะแสดงอารมณ์ของโจวชิงไป๋ดูสดใสขึ้นทันตา

หลินชิงเหอทำหน้าเหมือนไม่อยากจะพูด

ทุกคนมองออกกันหมดว่า โจวชิงไป๋นั้นอยากจะมีน้อง ส่วนแม่ของพวกเขานั้นไม่ได้อยากจะมีเลย

ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากจะมีเลย เพียงแต่รู้สึกว่าตัวเองอายุ 39 แล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะท้อง ถ้าเกิดต้องท้องตอนนี้แล้วตอนที่ยังอายุน้อยเธอมัวทำอะไรอยู่?

ทำหมันเล่น ๆ อยู่หรืออย่างไร

ไม่นานนักโจวซื่อนี โจวเฉวี่ยนและโจวกุยหลายก็ยกอาหารเย็นออกมา พวกเขาทำกับข้าวมาหลากหลายอย่างจนเต็มโต๊ะ

พวกเขาจึงเริ่มนั่งลงกินข้าวดื่มเหล้าในทันที

พอกินข้าวเสร็จ โจวชิงไป๋ก็พาหลินชิงเหอไปเดินเล่น ที่ด้านนอกนั้นคึกคักเป็นอย่างมากเช่นกัน การออกมาเดินเล่นเช่นนี้จึงเป็นเรื่องดี

ส่วนภายในบ้านตอนนี้ ท่านแม่โจวกับโจวเสี่ยวเหมยก็พูดเรื่องของเวิงกั๋วต้งกับโจวซื่อนีขึ้นมา

โจวซื่อนีฟังเพียงชั่วครู่เดียวก็ยิ้ม “มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะคะ”

“เธอไม่ชอบเขาเหรอ” โจวเสี่ยวเหมยถามอย่างงุนงง

“คุณอาพูดอะไรน่ะคะ พี่เวิงเขาแค่มาส่งหนูกลับเท่านั้นเอง เขาไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับหนูหรอกค่ะ คุณย่าอย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายเลยนะคะ” โจวซื่อนีพูดด้วยความรู้สึกร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก

“ย่าไม่ได้คิดไปเอง สะใภ้สี่เพิ่งจะมาบอกกับย่าว่าตระกูลเวิงฝั่งนั้นเขาพอใจในตัวหลานมาก คนที่ชื่อว่าเวิงกั๋วต้งน่ะ เขาก็อยากจะลองคบหาดูใจกับหลานเหมือนกัน จะเหมาะสมหรือไม่ก็ต้องลองคบกันดูก่อนจึงจะรู้” ท่านแม่โจวพูด

“ไม่ต้องคบหรอกค่ะ หนูกับเขาไม่เหมาะสมกัน” โจวซื่อนีพูดอย่างไม่เกรงใจ รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปแล้ว และพยักหน้าพูดเช่นนี้

หล่อนเคยเจอเวิงกั๋วต้งมาแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่คนอย่างเขาจะชอบในตัวหล่อน? คนคนนั้นไม่ต้องพูดให้มากความ หล่อนก็รู้แล้วว่าเขามาตรฐานสูงมากขนาดไหน

“ก็ลองดูก่อนก็ได้นี่จ๊ะ พ่อกับแม่ของเขาหลานก็เคยเจอมาหมดแล้ว พวกเขาเต็มใจมาก ๆ ที่จะในเขาได้ลองคบหากับหลาน ถ้าหลานคิดว่าไม่เหมาะสมกันก็ค่อยว่ากันก็ได้ อีกอย่างย่าเห็นพื้นฐานครอบครัวของเขาไม่เลวเลยทีเดียวนะ” ท่านแม่โจวพูด

“คุณย่าคะ เขาไม่สนใจหนูหรอกค่ะ” โจวซื่อนีพูดอย่างจนปัญญา

“คุณย่าของเธออยากให้เธออยู่ที่เมืองหลวงนี่ หาแฟนเป็นคนปักกิ่งสักคน อีกอย่างบ้านของเขาก็อยู่ใกล้แค่นี้ หลานสามารถไปมาหาสู่กับที่นี่ได้ตลอด เธอเชื่อฟังคุณย่าเธอเถอะนะ ลองคบกันดูก่อน ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็ไม่เป็นไร ตอนนี้อะไร ๆ มันก็เปิดกว้างหมดแล้ว ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น” โจวเสี่ยวเหมยพูด

อีกทั้งครอบครัวโจวสายหลักของพวกหล่อน นอกจากลิ่วนีของบ้านรองแล้ว คนอื่น ๆ ก็อยู่ระเบียบประเพณีกันหมด การคบหาดูใจกับใครหรือก็เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่มีการออกนอกกรอบธรรมเนียม หรือทำให้ลูกสาวที่เป็นเหมือนสมบัติล้ำค่าที่สุดของตระกูลต้องเสื่อมเสีย อย่างการจับมือถือแขนอะไรนั้น พวกหล่อนถูกวางไว้ราวกับของสูงค่าเสมอ

ดังนั้นเรื่องการคบหาดูใจนั่นไม่ใช่ปัญหาเลย

“หลานวางใจเถอะ เขาจะต้องชอบหลานอย่างแน่นอน หลานเป็นผู้หญิงที่ดีขนาดนี้ถ้าเขาไม่ชอบ งั้นเขาจะสามารถชอบคนแบบไหนได้อีก? ทั้งชีวิตนี้ของเขาก็อาจจะไม่ได้แต่งงานแล้วก็ได้” ท่านแม่โจวพูด

“คุณย่า….”

โจวซื่อนียังอยากจะพูดปฏิเสธ แต่หล่อนก็ถูกโจวเสี่ยวเหมยตัดบท “ลองดูเถอะจ้ะ อาสี่ของเธออยากให้ลองดูเช่นกัน ไม่ต้องคิดเยอะขนาดนั้น ถ้าเกิดไม่ได้จริง ๆ พวกเราค่อยหาใหม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้คนดี ๆ ขนาดนี้ไปได้ เธอจะไม่ลองดูก่อนเหรอจ๊ะ?”

โจวซื่อนีอับจนหนทาง ถูกคุณย่าและคุณน้าของตัวเองพูดแบบนี้แล้ว หล่อนจึงตอบตกลงไป แต่ก็ตอบเพียงว่าจะลองดูเท่านั้น แต่ในใจของหล่อนไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้นเลย

เงื่อนไขของครอบครัวหล่อนเป็นอย่างไรเธอรู้ดี ที่พี่เอ้อร์นีของหล่อนแต่งงานกับสามีของพี่เอ้อร์นีได้นั้นเป็นเพราะโชคชะตา ซึ่งหล่อนคิดว่าตัวเองไม่ได้โชคดีขนาดพี่เอ้อร์นีหรอก

อีกทั้งหล่อนก็เคยพบเจอเวิงกั๋วต้งมาก่อน เขาเป็นคนที่สูงเกินเอื้อมเกินไป ไม่มีทางที่จะมองมาที่หล่อนแน่ และหล่อนก็รอตอนที่เขาไม่มองหล่อนแล้วค่อยพูดกับคุณย่าอีกทีดีกว่า

ตอนที่โจวข่ายกลับมา พวกหล่อนก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก และในวันที่สองนั้น หลินชิงเหอก็มากินข้าวที่ฝั่งของบ้านตระกูลเวิงโดยมีโจวชิงไป๋และโจวข่ายมาด้วย

ทั้งยังหิ้วของมาด้วยไม่น้อยเลย

โจวข่ายเป็นคนปรุงอาหาร แสดงฝีมือทำอาหารให้ครอบครัวฝ่ายหญิงได้เห็น เวิงกั๋วต้งเข้าไปช่วยด้วย หลินชิงเหอจึงพูดเรื่องนี้กับคุณแม่เวิง

คุณแม่เวิงดีใจมาก พูดขึ้น “เขาหยุดถึงต้นปีนี้เท่านั้นก็ต้องไปทำงานแล้ว ช่วงเวลานี้ฉันต้องให้เขาพาซื่อนีออกไปเดินข้างนอกดูบ้าง”

หลินชิงเหอพูด “หากมีวาสนาต่อกัน อย่างไรก็ต้องได้ครองคู่กันแน่ค่ะ ถ้าไม่มีวาสนางั้นก็อย่าไปบังคับพวกเขาเลยค่ะ”

“ฉันรู้ค่ะ แตงที่ฝืนเด็ดจากต้น ย่อมไร้รสหวาน* แต่ฉันต้องพูดให้เขาใส่ใจหล่อนหน่อยก็ได้แล้ว แต่ถึงฉันจะไม่พูด ฉันก็คิดว่าเขามีใจให้ซื่อนีไม่น้อยเลยนะคะ” คุณแม่เวิงหัวเราะพูด

(*หมายถึง การบีบบังคับไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามไม่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี หรือสำนวนไทยทำนองเดียวกันว่าชิงสุกก่อนห่าม)

เนื่องจากเมื่อวานนี้ลูกชายของหล่อนเอ่ยปากจะไปส่งซื่อนีกลับบ้านอย่างหาได้ยาก นี่เห็นได้เลยว่าเขาน่าจะมีใจอยู่หลายส่วนทีเดียว หากเป็นก่อนหน้านี้ฝ่ายหญิงต้องมานั่งในบ้าน เขาจึงจะออกไปส่งตามมารยาท เนื่องจากเขาไม่อาจเสียมารยาทในฐานะเจ้าบ้านได้

แต่เมื่อวานเขาเป็นแขก ถ้าเกิดไม่คิดอะไร เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปส่งหรอก

“งานแต่งงานของพี่สาวหล่อนก่อนหน้านี้ฉันก็ไปด้วย พูดได้เลยว่าเป็นเพราะวาสนาแท้ ๆ ที่ทำให้พวกเขาได้พบกัน” คุณแม่เวิงพูดยิ้ม ๆ

“พี่สาวของหล่อนตอนนี้มีชีวิตที่ดีทีเดียวค่ะ คลอดเด็กแฝดมังกรหงส์ออกมาแล้วคู่หนึ่ง” หลินชิงเหอพูด

“แฝดมังกรหงส์หรือ?” คุณแม่เวิงชะงัก หล่อนยังไม่รู้เรื่องที่ว่าโจวเอ้อร์นีคลอดลูกแฝดชายหญิง

“ใช่ค่ะ” หลินชิงเหอยกยิ้มในใจ นี่เป็นคำที่ท่านแม่โจวกำชับมาว่าต้องพูด เพื่อให้ตระกูลเวิงเกิดความอยาก สำหรับเรื่องที่สามารถคลอดเด็กแฝดชายหญิงได้หรือไม่นั้นค่อยว่ากันทีหลัง ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นอะไร ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว

อีกอย่างเธอก็ไม่ได้รับประกันว่าโจวซื่อนีจะสามารถคลอดเด็กแฝดมังกรหงส์ได้เสียหน่อยจริงไหม?

พูดให้ดูโบราณหน่อย นี่ก็คือกลอุบายอย่างไรล่ะ

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พ่ออะ…พูดให้ดีใจเก้อ…คนอื่นนี่เตรียมฉลองกันทั้งโต๊ะแล้วนะคะ

เอาใจช่วยคู่กั๋วต้งซื่อนีนะคะ ฝ่ายชายก็ปากหนักสเป็คสูง จะได้คบกันหรือไม่รอติดตามต่อไปค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset