แต่ท่านชายหงเย่เงียบไปสักพัก แล้วก็พูดขึ้นว่า “แต่ ไม่ควรไม่คิดถึงความเป็นไปได้ที่พวกเขาเข้าไปในแดนหลงหาย เข้าไปในแดนหลงหายของวงแหวนพิภพ หากไม่มีใครบอก พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองอยู่ในแดนหลงหาย จะเดินต่อไปข้างหน้าอยู่เรื่อยๆ แต่เป็นการเดินวนอยู่ตลอด”
ท่านชายหงเย่พูดเช่นนี้ ทำให้ในใจทุกคนต่างก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
ความหมายของท่านชายหงเย่ก็คือ หากพวกเขาอยู่ในแดนหลงหายของวงแหวนพิภพ หากไม่เข้าไปพาพวกเขาออกมา ก็จะไม่สามารถออกมาได้ตลอดไป
ท่านชายหงเย่ได้ยินว่าพวกเขาจะเข้าไปในแดนหลงหาย ก็นิ่งอึ้งไป พร้อมพูดขึ้นอย่างไม่คาดคิดว่า “พวกเจ้าเข้าไป มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะออกมาไม่ได้ตลอดไป พวกเจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ที่จะไปตายร่วมกับพวกเขา? ข้าจะไม่บ้าไปกับพวกเจ้า”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องเข้าไปในแดนหลงหายกับพวกเรา เพียงแค่นำทางพวกเรา เหมือนอย่างที่เจ้าพูดนั้น พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองอยู่ในแดนหลงหาย ต้องมีคนไปเตือนพวกเขา”
“เตือนแล้วก็จะสามารถออกมาได้หรือ? อย่ามองโลกในแง่ดีขนาดนั้น ข้าบอกแล้ว ข้ามาเพื่อห้ามไม่ให้เจ้าไปตาย ข้าไม่มีทางพาเจ้าเขาไป” ท่านชายหงเย่พูดขึ้นอย่างเฉยเมย
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “นางไม่เข้าไป ข้าเข้าไป เจ้าพาเข้าไปได้ไหม?”
ท่านชายหงเย่มองดูเขา พร้อมพูดขึ้นด้วยท่าทีไม่เข้าใจว่า “ทำไมต้องเสียสละ?”
“พวกเขาเป็นพี่น้องของข้า ข้าจะต้องไปพาพวกเขาออกมา” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างหนักแน่น
“เสียสละตนเอง?” ท่านชายหงเย่ยิ่งไม่เข้าใจ พี่น้องแล้วยังไง? เข้าไปแล้ว นั่นก็คือตายอย่างเดียว
หยู่เหวินเห้าพาท่านชายหงเย่ไปอีกด้าน งั้นก็ยกมือประสานทำความเคารพเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านชาย ถือว่าข้าติดหนี้บุญคุณเจ้า หากข้าเข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ ขอร้องให้เจ้าช่วยพาพวกเขาไปจากเจียงเป่ย หยู่เหวินเห้าขอขอบพระคุณอย่างยิ่ง”
ท่านชายหงเย่พูดขึ้นว่า “เจ้ากำลังเดินหาความตาย”
“ใช่ ขอท่านชายช่วยด้วย” หยู่เหวินเห้าไม่พูดอธิบายอะไรมาก เพียงขอร้องอย่างเดียว
ท่านชายหงเย่หัวเราะเยาะพร้อมพูดขึ้นว่า “นี่คือสัจจะและความชอบธรรมที่พวกเจ้าพูดถึงหรือ? สำหรับข้ากลับเป็นการกระทำที่โง่เขลาอย่างมาก ข้าสามารถพาเจ้าเข้าไปได้ แต่เจ้าจะต้องคิดให้ดี”
“คิดดีแล้ว” แววตาหยู่เหวินเห้ายังคงมุ่งมั่น ถึงแม้ท่านชายหงเย่จะพูดจาเต็มไปด้วยความประชดประชัน
ท่านชายหงเย่จ้องมองดูเขาสักพัก พร้อมค่อยๆพูดขึ้นว่า “ได้ ข้าพาเจ้าเข้าไป”
หยู่เหวินเห้าจะไป จิ้งถิงกับหยวนชิงหลิงก็จะตามไป จิ้งถิงไป จิ่นหนิงก็ไม่ไปไม่ได้แน่ พวกเขาสี่คนไป เสี้ยวหงเฉิงกับลู่หยวนก็จะตามไป
ท่านชายหงเย่ไม่เคยเห็นคนที่โง่เขลาได้ขนาดนี้ คนกลุ่มหนึ่งที่พร้อมจะไปตาย โง่เขลาขนาดไหน?
หงเย่มีข้อแม้เพียงข้อเดียว คนอื่นใครก็สามารถไปได้ แต่หยวนชิงหลิงไปไม่ได้ เพื่อให้ท่านชายหงเย่พาพวกเขาไป หยวนชิงหลิงจึงตกลง หยู่เหวินเห้าก็หวังเช่นนี้อยู่แล้ว เขาไม่อยากให้หยวนชิงหลิงเข้าไปเสียงอันตราย
ท่านชายหงเย่ส่ายหัวหัวเราะเยาะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่เข้าใจจริงๆว่าเพื่ออะไร? คุ้มค่าหรือ?”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “บางครั้งพวกเราจะคิดถึงความคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่า แต่มีบางครั้ง ก็ไม่จำเป็นต้องคิด”
ภายใต้การนำทางของท่านชายหงเย่ มุ่งหน้าไปยังแดนหลงหาย
ค่อยๆมุ่งหน้าไป จนเข้าใกล้แดนหลงหาย ท่านชายหงเย่เด็ดใบไม้ข้างทางมาหนึ่งใบ ยื่นให้กับหยู่เหวินเห้า พร้อมพูดขึ้นว่า “หลังจากเข้าไปแล้ว หากเจ้ารู้สึกว่าหมอกหนาแน่น ก็ให้มองใบไม้สีเขียวใบนี้ ไม่ต้องมองระยะไกล หากรู้สึกหายใจลำบาก ก็ให้มองใบไม้สีเขียวนี้ หมอกที่หนาแน่นพวกนั้นล้วนเป็นภาพหลวงตา หากเจ้าเข้าไปในภาพหลวงตา กลบังตาพวกนี้จะทำให้หายใจไม่ออก ขาดลมหายใจจนตาย”
คนที่จะเข้าไป ล้วนเด็ดใบไม้สีเขียวหนึ่งใบ หยวนชิงหลิงก็แอบเด็ดหนึ่งใบ แอบซ่อนไว้
ถนนบนภูเขาที่คดเคี้ยวปรากฏขึ้นตรงหน้า ทางขึ้นเขาปกคลุมไปด้วยใบไม้ที่ร่วงลงเป็นกองขึ้นมา สีเขียวปนสีเหลือง แลดูงดงามอย่างมาก มีเมฆและหมอกจางๆ แผ่ออกมาจากภูเขา ท่านชายหงเย่ชี้ไปบนถนนเส้นนี้ พร้อมพูดขึ้นว่า “เข้าไปตรงนี้ ก็คือแดนหลงหาย”
หยู่เหวินเห้ายกมือประสาน พร้อมพูดขึ้นว่า “ขอบคุณ”
เขามองดูหยวนชิงหลิง เดิมอยากที่จะพูดด้วย แต่หยวนชิงหลิงกลับเดินเข้าไปก่อนแล้ว ท่านชายหงเย่ ตกตะลึง พร้อมพูดขึ้นว่า “หยวนชิงหลิง เจ้าไม่รักษาคำพูด”
เขายื่นมือ อยากที่จะดึงนางออกมา แต่หยวนชิงหลิงวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว วิ่งไปด้วยพูดไปด้วยว่า “ขอบคุณที่ท่านชายนำทาง ที่ต้องผิดคำพูดเพราะไม่มีทางเลือก”
หยวนชิงหลิงเข้ามาก่อน หลังจากที่นางเข้าไป ก็ไม่เห็นแล้ว ได้ยินเพียงเสียงสะท้อนกลับ หยู่เหวินเห้าตกใจ รีบวิ่งตามเข้าไป ดีที่เข้าไปภายในหมอกบางๆ ก็มองเห็นนางอยู่ข้างหน้า
เขาเดินไปคว้าจับมือหยวนชิงหลิง ทั้งสองคนหันมามองดู ด้านหลังไม่มีใครเลย แต่ไม่ช้า จิ้งถิงกับจิ่นหนิงปรากฏตัว เสี้ยวหงเฉิงกับลู่หยวนปรากฏตัว สักพักท่านชายหงเย่กับอะโฉ่วก็ปรากฏตัว เพียงแต่สีหน้าท่านชายหงเย่ดูไม่พอใจเลย
พูดอีกอย่างก็คือ ทุกคนเข้ามาหมดแล้ว
ส่วนพวกอ๋องเว่ยเดินวนอยู่ในหุบเขาเนิ่นนาน คนที่ล้มลงยิ่งอยู่ก็ยิ่งเยอะ หลังจากถึงเช้าวันรุ่งขึ้นฟ้าสว่าง มีหลายคนเกิดอาการนอนตาย ในใจทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยความหมดหวัง
ทำไมถึงเดินวนออกไปไม่ได้?
กลุ่มคนที่หมดเรี่ยวแรง เดินวนอยู่ภายในหุบเขาต่อไป เนื้อแห้งที่เอามาด้วยยังมี แต่น้ำแทบจะดื่มหมดแล้ว คนสามารถไม่ทานข้าวหลายวันได้ แต่ไม่สามารถที่จะไม่ดื่มน้ำ ทำให้ความสิ้นหวังแผ่ซ่านต่อไป
แม่นมฉินรู้สึกได้ถึงว่าพวกเขาอาจจะไม่สามารถออกไปได้ แต่นางไม่กล้าพูด เพราะเมื่อพูดออกไปแล้ว ทุกคนจะยิ่งหมดหวัง แม้กระทั่งอาจจะฆ่านางเพื่อระบายความโกรธ
ดังนั้นวันนี้นางจึงพยายามที่จะหาทางออกอยู่ตลอด นางเริ่มค่อนข้างหายใจลำบาก เพราะจิตใจของนางเริ่มไม่มั่นคงแล้ว นางก็เริ่มมีความหวาดกลัว แรกก็เริ่มเห็นภาพหลวงตา
แต่เมื่อเทียบกับคนอื่น สถานการณ์ของนางถือว่าดี นี่จึงทำให้นางดูมีเรี่ยวแรงมากกว่าใครๆ ตามหารอบๆอยู่ตลอด
พอถึงตอนบ่าย มีทหารคนหนึ่งชักดาบขึ้นมาฆ่าตัวตายแล้ว เขาเป็นคนแรกที่สลบไป ทนทุกข์กับการหายใจลำบาก ต้องให้คนอื่นแบกเดินอยู่ตลอด ในที่สุดหลังจากคนที่แบกเขาคนนั้นเป็นลมไป เขาใช้แรงสุดท้ายทั้งหมดที่มีชักดาบออกมาฆ่าตัวตาย ไม่อยากให้ตนเองเป็นตัวถ่วงของทุกคนอีก
มีคนรีบเข้าไปช่วยห้ามเลือด แต่เหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายนี้ ทนอยู่ได้อีกไม่นาน
เกือบตายไปอีกคนหนึ่ง ทำให้ขวัญกำลังใจของพวกทหารจมลงสู่เหวลึก
การสิ้นหวังก็เป็นอาการป่วยอย่างหนึ่ง สามารถติดต่อกันได้ ผ่านไปสักพัก ทุกคนต่างก็นั่งอยู่บนพื้น มีทหารคนหนึ่งกำหมัดตะคอกพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “พวกเราจะตายอยู่ที่นี่แล้ว ยังจะดิ้นรนเพื่ออะไร? ไม่เดินแล้ว”
อ๋องเว่ยทั้งตกใจทั้งโมโหทั้งสิ้นหวัง การมาเจียงเป่ยในครั้งนี้ อันตรายยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ เขาค่อนข้างเสียใจที่นำทหารมา เขาน่าจะมาเอง ช่วยนางไว้ไม่ได้ ก็ตายอยู่ที่นี่ไปพร้อมกับนาง
ตอนนี้กลับทำให้คนหลายพันชีวิต ต้องมาเดือดร้อนด้วย
อ๋องอานก็นั่งลงบนพื้นอย่างหดหู่ วินาทีนี้ เขาพูดไม่ออกแล้วว่าเสียใจหรือเปล่า แต่ไม่พอใจ ลูกของเขากำลังจะคลอด แต่เขาอาจจะไม่ได้เห็นหน้าลูกอีกต่อไปแล้ว
ลูกทำให้เขากลับมาลุกขึ้นสู้ ลุกยืนขึ้นมาอีกครั้ง แล้วตามหาทางออกพร้อมกับแม่นมฉิน
ทั้งสองคนเดินวนอยู่ในหุบเขากว่าครึ่งชั่งโมง แล้วก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียก
ตอนแรกเขานึกว่าเป็นภาพหลวงตา ทั้งเหนื่อยทั้งสิ้นหวังอย่างที่สุด จึงทำให้เกิดภาพหลวงตา
แต่แม่นมฉินกลับวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ปากก็ตะโกนพูดขึ้นว่า “พวกเราอยู่ที่นี่ พวกเราอยู่ที่นี่”
ได้ยินว่าเป็นเสียงของหยู่เหวินเห้า หัวสมองที่มึนของอ๋องอาน กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที เขาไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนในชั่วชีวิต หวังอยากที่จะให้หยู่เหวินเห้าปรากฏอยู่ตรงหน้า