ซาลาเปาก็ไปกลับระหว่างเป่ยถังและเมืองก่วงเช่นนี้ทุกวัน แน่นอนตัวตนในยุคปัจจุบันศาสตราจารย์หยวนได้ไปทำการชี้แจง แล้วไปยื่นคำร้องขอรับเลี้ยงดูเด็กคนนี้เป็นลูก แต่ก่อนหน้าการรับเลี้ยงดูเด็กเป็นลูกจะได้รับอนุมัติ เดิมทีซาลาเปาจะต้องกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่จะเป็นจะตายเขาก็ไม่ยอมกลับไป บังคับพาไปก็หนีกลับมา วุ่นวายเช่นนี้อยู่สองรอบ สำนักกิจการพลเรือนทางนั้นทำได้เพียงเพิ่มความรวดเร็วในการตรวจสอบ ให้ศาสตราจารย์หยวนสามีภรรยารับเลี้ยงเด็กคนนี้เป็นลูก
เพราะเด็กคนนี้ สภาพร่างกายมีความผิดปกติเล็กน้อย ขณะที่เกิดก็เพราะป่วยดังนั้นจึงถูกทิ้งไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า มีครอบครัวหมอรับเลี้ยงนั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
สำหรับแม่ของหยวนชิงหลิง เป็นการปลอบโยนที่ดีที่สุด รอยยิ้มที่หายไปนานได้กลับสู่ใบหน้าของนาง ไม่ได้เป็นทุกข์เหมือนแต่ก่อนอีก
เพราะว่าฟางหวูบอกเขาแล้ว หลังจากนี้เด็กทั้งสามล้วนสามารถผลัดกันมาได้ เวลาที่พวกเด็กๆไม่มา ร่างกายนี้ก็จะไม่เกิดปัญหา เพราะว่ามีการควบคุมของพลังความคิดทำให้ร่างกายนี้สามารถรักษาชีวสัญญาณไว้ได้
คนที่หยู่เหวินเห้าส่งคนออกไปย้ายกลับมาแล้ว ไม่ได้ไปคิดบัญชีกับหยู่เหวินอัน เพราะกองทำใหญ่กำลังกรีธาทัพกลับราชสำนัก ในช่วงเวลาแห่งชัยชนะ ก็ไม่อยากทำจนคาวเลือดเช่นนี้ หากหยู่เหวินอันถูกจับกลับมา เรื่องนี้จะไม่มีทางปรับความเข้าใจกันได้ง่ายๆเป็นแน่
แน่นอน สำคัญที่สุดคือไท่ซ่างหวงที่ตอนนี้เพราะเรื่องของฉางกงกง อารมณ์เศร้าหดหู่เป็นที่สุด ราชวงศ์ไม่สามารถเกิดเรื่องอะไรสักนิดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ได้อีก
พฤติกรรมนี้อยู่ในสายตาของฮ่องเต้หมิงหยวน เขาคิดว่าเจ้าห้าประนีประนอมให้เขาอีกครั้งหนึ่ง เขากล่าวต่อฮู่เฟย: “ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าทำให้เจ้าห้าพวกเขาลำบากใจ อนาคตค่อยชดเชยให้ดีๆเถอะ”
ฮู่เฟยอยู่ต่อหน้าเขาพูดจาโดยไม่มีความหวาดกลัว จึงกล่าวตรงๆ “เวลาที่ชดเชยหลังจากนี้ บาดแผลตกสะเก็ดแล้ว การชดเชยนี้ก็ไม่มีความหมายเพคะ ตอนนี้เป็นเวลาที่เจ้าห้าลำบากที่สุด ฝ่าบาทควรเอาใจใส่ให้มากหน่อยเพคะ พระองค์ว่าฐานะของเขาอยู่ตรงนี้ ได้รับความไม่เป็นธรรมก็เลี่ยงไม่ได้ แต่คนที่มีความสามารถก็ไม่สามารถได้รับความไม่เป็นธรรมได้ตลอด ทำให้คนผิดหวัง ในสองปีนี้ รัชทายาทได้เผชิญกับเรื่องราวมากมายเพียงใด? เรื่องของเสียนเฟยก็ทำให้เขาปวดใจเป็นอย่างมาก มารดาไม่อยู่ บิดาเมินเฉย เป็นความรู้สึกอย่างไรพระองค์สามารถจินตนาการได้หรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ฟังคำพูดรอบนี้ ในใจรู้สึกไม่ดีเป็นพิเศษ
ฮู่เฟยกล่าวต่อ: “ในช่วงเวลาที่ท่านทุกข์ระทม เจ้าห้าสามีภรรยาเข้ามาอยู่ด้วยวังแทบจะวันเว้นวัน แม้ว่าปากไม่พูด ในใจกลับเอาพระองค์วางไว้ในอันดับแรก กตัญญูภักดี พวกเราไม่พูดถึงความเป็นธรรม พูดถึงความสัมพันธ์ในสายเลือด พวกเขาสามีภรรยาทำได้ ฝ่าบาท พระองค์ยังทำไม่ได้เพคะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนถอนใจเบาๆ “คำพูดของพระสนมมีเหตุผล เพียงแต่ ข้าไม่รู้ว่าจะสามารถเริ่มช่วยได้จากตรงไหน”
“แม้ว่าพ่อลูกสองคนจะนั่งลงพูดคุยด้วยความจริงใจ กินอาหารมื้อหนึ่ง ดื่มชา สนทนาความใจใน พยายามดึงให้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันขึ้น ก็ดีกว่าอะไรทั้งสิ้นแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนก็รู้สึกว่าเป็นเหตุผลเช่นนี้ ครั้นแล้วจึงออกพระราชโองการเรียกหยู่เหวินเห้าเข้าวัง ครั้งแรกจัดโต๊ะอาหาร กินอาหารมื้อหนึ่งร่วมกับลูกชาย
จนถึงวันนี้เขาก็ไม่ยอมกินอาหารพร้อมกับผู้ใดเพียงลำพัง ครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษ
ตอนแรกเริ่มหยู่เหวินเห้ามีอารมณ์ความรู้สึกขัดแย้ง แต่พ่อลูกสองคนได้พูดคุยบางอย่าง ปมในใจก็ค่อยๆเปิดออก กลับใกล้ชิดกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อยแล้ว
สุดท้ายกลับเป็นหยู่เหวินเห้าที่เอ่ยถาม “ได้ยินว่าท่านพี่สะใภ้สี่ได้รับบาดเจ็บ ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”
“คนที่ส่งไปสืบข่าวบอกว่านางตกรถม้าได้รับบาดเจ็บ ท่านพี่สะใภ้สี่ของเจ้าช่วยพระชายารัชทายาท สามีภรรยาสองคนเกิดความขัดแย้งขึ้น ไม่รู้ว่าเจ้าสี่พูดอะไร ภายใต้ความเสียใจของนาง กระโดดลงจากรถม้า สถานการณ์ก็ยังดี ไม่ได้บาดเจ็บตรงจุดที่สำคัญ ครั้งนี้ออกพระราชโองการให้เขาออกไปจากเมืองหลวง ทีแรกไม่ได้คิดจะให้เขาพาพระชายาอานจากไป แต่เขายืนยันว่าจะพาไปด้วย”
“ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ก็ดีพ่ะย่ะค่ะ” หยู่เหวินเห้ากล่าว
“เจ้าห้า วันนั้นเจ้าถามถึงความเป็นธรรมกับข้า อันที่จริงมีหลายครั้ง ความเป็นธรรมอยู่ในใจของตัวเอง ก็เปรียบกับท่านพี่สะใภ้สี่ของเจ้า ผู้หญิงในเรือนแต่กลับเข้าใจหลักการเช่นกัน เพื่อพระชายารัชทายาทก็ไม่เสียดายความเป็นสามีภรรยาขัดแย้งกับท่านพี่สี่ของเจ้า นี่ก็คือพลังของความเป็นธรรมในจิตใจของคน”
หยู่เหวินเห้ามองดูนัยน์ตาของเขา ในความเคร่งขรึมแอบซ่อนความตึงเครียดเล็กน้อย เขารู้ว่าตัวเองก็ทำให้เสด็จพ่อลำบากใจแล้ว คนสองคนที่มีความกดดันมากที่สุดในเป่ยถัง ทำไมถึงต้องทำให้ต่างฝ่ายต่างลำบากใจด้วยล่ะ?
ไตร่ตรองจุดนี้ทะลุปรุโปร่งแล้ว ในใจของหยู่เหวินเห้าก็ไม่มีอะไรขุ่นเคืองอีก กล่าวว่า: “เสด็จพ่อ หม่อมฉันเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของฮ่องเต้หมิงหยวนปรากฏความปลื้มใจออกมา “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี ไป พวกเราทั้งสองไปเยี่ยมเสด็จปู่ของเจ้ากัน”
ในพระตำหนักฉินคุน ยังคงเป็นบรรยากาศอึมครึม สถานการณ์ของฉางกงกงก็ไม่ค่อยดีนัก สองวันนี้ก็ฟื้นขึ้นมาเป็นบางครั้งบางคราว พูดประโยคหนึ่งว่าข้าน้อยมีความผิด แล้วก็สติเลอะเลือนหลับไปอีก แม้หมอหลวงจะบอกว่าหลังจากโรคลมแล้วจะขี้เซามาก แต่ไท่ซ่างหวงก็ยังเป็นกังวลมาก เฝ้าเขาทั้งวัน
เห็นฮ่องเต้หมิงหยวนพ่อลูกเข้ามาพร้อมกัน เขากลับค่อนข้างประหลาดใจ ออกไปนั่งกับพวกเขาสองคน
ทั้งสามรุ่นในห้องโถงเดียวกัน กลับไม่มีถ้อยคำจะเอ่ย โดยเฉพาะไท่ซ่างหวงที่สภาพจิตใจยังค่อนข้างย่ำแย่
ฮ่องเต้หมิงหยวนสงวนท่าทีมาโดยตลอด อยู่ต่อหน้าพระบิดายิ่งไม่ถนัดที่จะเอ่ยวาจา ดังนั้น จึงมีเพียงหยู่เหวินเห้าที่หาหัวข้อสนทนา แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถพูดด้วยกันได้ สุดท้ายฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกว่าเพราะตัวเองอยู่ในสถานการณ์เป็นเหตุ อ้างเหตุผลแล้วจากไป เหลือเพียงปู่และหลานสองคน บรรยากาศจึงได้เปลี่ยนเป็นอบอุ่นเล็กน้อย
หยู่เหวินเห้าปลอบโยนไท่ซ่างหวง “ฉางกงกงไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ไม่จำเป็นต้องกังวลพระทัยมากนัก”
ไท่ซ่างหวงพยักหน้าเงียบๆ “ก็ดี ในที่สุดเขาก็ได้พักผ่อนครู่หนึ่ง ปรนนิบัติดูแลข้ามาครึ่งชีวิตแล้ว เหนื่อยยากลำบากมาก”
เขาถามถึงสถานการณ์ของหยวนชิงหลิง ได้ยินว่าไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย ใบหน้าก็ยิ่งโศกสลด
หยู่เหวินเห้าอยู่เป็นเพื่อนครู่หนึ่งก็ออกจากวังกลับจวนแล้ว กลับถึงจวน เหลิ่งจิ้งเหยียนก็มาถึงแล้ว สนทนากับเขาในห้องหนังสือครู่หนึ่ง
“สาสน์ที่ยื่นเมื่อวาน ฮ่องเต้ทรงอนุมัติลงมาแล้ว กรมอาญาทางนั้นคนของเจ้าสี่ถูกสั่งย้ายออกหมด ในใจของฮ่องเต้ก็ยังรู้สภาพดี แต่ ต้องการจัดการเรื่องนี้ก็ต้องค่อยๆจัดการ ไม่สามารถตีคนของเจ้าสี่ให้จมลงไปได้ในทันที เช่นนี้จะได้รับความเสียหายมาก”
“ข้าเข้าใจ” หยู่เหวินเห้ากล่าวเบาๆ ตอนนี้เขากลับไม่ได้ร้อนใจต่อเรื่องนี้มากนัก
“ยังมี พระชายาอานทางนั้น ได้ยินว่าสถานการณ์ก็ไม่ค่อยดีนัก ตอนที่ตกลงมาศีรษะได้รับบาดเจ็บ บาดแผลกำเริบซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะตลอดการเดินทาง ไม่มีหมอดีๆ ก็ค่อนข้างลำบาก” เหลิ่งจิ้งเหยียนกล่าวต่อ
หยู่เหวินเห้ามองดูเขา “เจ้าส่งคนไปสืบข่าวอยู่ตลอดหรือ?”
“เป็นฮ่องเต้ที่จัดคนออกไป ดังนั้นทุกวันจะมีจดหมายร่อนกลับมา”
“จวนในเมืองระหว่างทางก็มีหมอที่มีชื่อเสียง ทำไมไม่หยุดพักรักษา?”
“รักษาแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า ก็ไม่รู้ว่าเพราะเร่งเดินทางโดยตลอดหรือว่าอย่างอื่นเป็นเหตุ กล่าวโดยสรุปรายงานในจดหมายที่กลับมาบอกว่าถึงตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้ากล่าว: “เจ้ารับผิดชอบจับตาดูให้มากหน่อย มีข่าวคราวอะไรกลับมาก็รีบบอกข้าทันที”
“ได้ ท่านวางใจ อยู่ในจวนเป็นเพื่อนพระชายารัชทายาทให้ดีๆพ่ะย่ะค่ะ” เหลิ่งจิ้งเหยียนลุกขึ้นแล้วจากไป
เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว สภาพอากาศค่อยๆเย็น ลมฤดูใบไม้ผลิพาสีสันของฤดูใบไม้ผลิมาเต็มสวน ในลานใบไม้สีเหลืองร่วงปลิวเหมือนดั่งทองบางๆเช่นนั้น งดงามจนหาที่เปรียบไม่ได้
ในใจของหยู่เหวินเห้าไม่เคยเดียวดายขนาดนี้มาก่อน เหมือนไท่ซ่างหวงที่นั่งอยู่บนบันไดหินมองดูประตูลานเช่นนั้น มองดูใบไม้ถูกลมพัดร่วงหล่นหมุนวนอยู่บนพื้น แทบอยากจะให้ช่วงเวลาเช่นนี้สิ้นสุดไปเร็วๆหน่อย
ตอนนี้ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทุกวันของเขา ก็คือซาลาเปากลับมาพูดคุยกับเขา เขาได้ฟังแล้วประหลาดใจที่สุดคือซาลาเปากลับมาบอกเขาว่า ได้เห็นยายหยวนในอีกโลกหนึ่งแล้ว ถูกน้ำแข็งปกคลุมไว้ ทำได้เพียงมองผ่านเข้าไปด้านในกล่องใสๆ ดูแล้วไม่เหมือนจริงมากนัก แต่หน้าตาสวยงามมาก เหมือนกับท่านแม่ที่อยู่ที่นี่เป็นอย่างมาก
เขาก็อยากไปดูมากๆเช่นกัน เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าด้านนอกของโลกใบนี้ยังมีอีกโลกหนึ่ง ก่อนหน้านี้มักจะรู้สึกว่าความรู้ของตัวเองกว้างขวาง ตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าแม้กระทั่งวิสัยทัศน์ก็ยังดีไม่เท่ากับลูกชายอายุสามขวบของตัวเอง