อ๋องเว่ยไม่ได้โต้แย้งกับเขา ดื่มชาพื้นบ้านที่คนรับใช้ส่งให้ ชารสเข้ม แต่เขาดื่มมาแล้วระยะเวลาหนึ่ง ก็คุ้นชินแล้ว
อ๋องอานชิมไปคำหนึ่งก็โยนแก้วแตกแล้ว ของอะไร!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หมอออกมารายงานแล้ว “ท่านอ๋อง อาการบาดเจ็บของพระชายาอานตอนนี้ยังไม่ได้มีอาการเป็นหนอง แต่นางก็มีไข้ต่ำๆ หากว่ายังจัดการบาดแผลไม่ดี เกรงว่าจะมีความเกี่ยวเนื่องถึงชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่ออ๋องอานได้ฟัง กล่าวอย่างเย็นชา: “สาหัสขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ท่านอ๋อง” หมอทำมือเคารพ “ท่านไม่เห็นว่าหน้าผากของพระชายาบวมเป็นแผ่นใหญ่แล้วหรือขอรับ? ขอบๆของบาดแผลเป็นหนองแล้ว บวมออกมาด้านข้าง สถานการณ์ค่อนข้างไม่ดี เมื่อครู่ข้าน้อยล้างแผลให้พระชายาแล้ว ใส่ยาผงให้แล้ว ยาผงเหล่านี้มีฤทธิ์ในการกำจัดผิวที่เน่าเปื่อย ใช้ร่วมกับยาต้ม อย่างน้อยต้องรักษามากกว่าครึ่งเดือน จึงสามารถเห็นว่าดีขึ้นได้พ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องอานเม้มปากไม่พูดจา สีหน้าเคร่งขรึม
อ๋องเว่ยเอ่ยถาม: “ตอนนี้ความตระหนักรู้ของนางชัดเจนใช่หรือไม่? ข้าต้องพูดกับนางสองสามคำ”
“ตอบท่านอ๋อง พระชายามีสติอยู่พ่ะย่ะค่ะ” หมอกล่าว
อ๋องเว่ยยืนขึ้น “งั้นดี เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าอีกรอบ เรียกสาวรับใช้สองคนไปปรนนิบัติด้านใน”
อ๋องอานยืนขึ้นในพริบตาคิดอยากจะหยุดยั้ง ดวงตาที่เย็นยะเยือกของอ๋องเว่ยกวาดมา “ข้าไม่ได้มีความคิดจะทำร้ายนาง เจ้าร้อนใจอะไร?”
พูดจบ จึงเดินไปทางด้านนอก
อ๋องอานโมโหจนหน้าเขียว คิดแล้วคิดอีกก็ยังติดตามไปแล้ว เพียงแค่ ถึงประตูเขาก็ไม่เข้าไปแล้ว หยุดพักอยู่ด้านนอกประตูเท่านั้น สีหน้าดูซับซ้อน
พระชายาอานนั่งบนเก้าอี้ เมื่อครู่หมอได้ใส่ยาให้นางแล้ว สาวใช้เกลี้ยกล่อมให้นางนอนลงพักผ่อน นางไม่ยอม ก็นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ เห็นอ๋องเว่ยเข้ามา นางรีบลุกขึ้นถอนสายบัว “คารวะท่านพี่สาม!”
“ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตอง นั่งเถอะ!” อ๋องเว่ยมองดูบาดแผลของนาง สาหัสมากจริงๆ ทั้งหน้าผากบวมเป็นก้อนใหญ่ เหมือนซิ่วแชกง บวมแดงทำให้คนตกใจเป็นอย่างมาก
แล้วมองดูนางทั้งคนที่ผอมลงไปมาก สีหน้าซีดขาว ดวงตาแดงก่ำ เหมือนร้องไห้อยู่ตลอดเช่นนั้น
“รักษาเนื้อรักษาตัวมากๆนะ จวนเจียงเป่ยนี้เทียบกับเมืองหลวงไม่ได้ หากว่าป่วยหนักจริงๆ ร่างกายบาดเจ็บ ไม่มียาดีๆที่สามารถรักษาได้” อ๋องเว่ยกล่าวด้วยเสียงที่นุ่มนวล
พระชายาอานดวงตาแดง กล่าวสะอึกสะอื้น: “ขอบพระทัยท่านพี่สามที่เป็นห่วงเพคะ ข้า……ไม่เป็นไร ถูกแล้ว จำไม่ได้แล้วว่าต้องขอบคุณท่านพี่สามที่ส่งหมอมาอีก”
“เป็นน้องห้าบอกให้คนส่งมา” อ๋องเว่ยกล่าว
พระชายาอานเงยหน้าขึ้นทันที รีบก้าวเท้าขึ้นไปมองดูอ๋องเว่ยด้วยความร้อนใจ “ตอนนี้พระชายารัชทายาทเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? ดีขึ้นมารึยังเพคะ?”
อ๋องเว่ยส่ายหน้า “เขาบอกให้คนส่งหมอมา ก็ได้บอกถึงสถานการณ์ของพระชายารัชทายาทเล็กน้อย นางยังอยู่ในความสลบไสล ยังไม่ฟื้น”
เมื่อพระชายาอานปิดตาลง น้ำตาใสๆไหลลงสองแถว กล่าวพึมพำ: “ยังสลบอยู่หรือ? สวรรค์ นี่กี่วันแล้ว?”
อ๋องเว่ยกล่าวปลอบโยน: “เจ้าอย่าได้เป็นกังวลมากนัก ในเมืองหลวงมีหมอดีๆมากมายขนาดนี้ ยังมีหมอหลวงดูแลอยู่ในจวนอีก นางจะต้องดีขึ้น”
“แต่นาง……ในท้องของนางยังมีลูกนะเพคะ เด็กปลอดภัยสินะเพคะ?” พระชายาอานนึกขึ้นมาแล้วทั้งใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดและความละอายใจ
“นี่ก็ไม่รู้แล้ว”
พระชายาอานค้ำที่เท้ามือของเก้าอี้ นั่งลงไปอย่างอ่อนแรง ร้องไห้พลางแล้วกล่าวว่า: “นี่จะทำอย่างไรดีเพคะ? จะทำอย่างไรดี?”
อ๋องเว่ยกล่าว: “เจ้าอย่าเพิ่งร้องไห้ ข้ามีคำพูดจะถามเจ้า ประเดี๋ยวยังต้องบอกให้คนถ่ายทอดกลับไปที่เมืองหลวง”
พระชายาอานเช็ดน้ำตา “ขอโทษเพคะ ข้าระงับอารมณ์ไม่อยู่ ท่านพี่สามต้องการจะถามอะไรก็ถามได้เต็มที่เพคะ”
อ๋องเว่ยมองดูนาง “เป็นเจ้ากระโดดลงมาเองหรือว่าเจ้าสี่ผลักเจ้า?”
พระชายาอานตะลึง “ผู้ใดให้ท่านถามเพคะ?”
“น้องห้าถาม ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น ก็แค่เกรงว่าเจ้าจะถูกคนรังแก เจ้าอย่าคิดมากกับสิ่งที่ว่ามีหรือไม่มี” อ๋องเว่ยกล่าว
พระชายาอานกระซิบกล่าว: “ข้าไม่ได้คิดมากเพคะ หากว่ารัชทายาทต้องการจะต่อกรกับเขาจริงๆ มีวิธีการมากมาย ไม่ถึงกับต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกทุบตีอยู่ตลอด เพียงแต่ว่า ครั้งนี้เป็นข้าที่กระโดดลงมาเองจริงๆเพคะ ไม่เกี่ยวข้องกับเขา”
“จริงหรือ?” อ๋องเว่ยโล่งอกเล็กน้อย
“เพคะ จริงที่สุด เขา……เป็นคนอย่างไรจะไม่พูด ต่อข้าคือดีเพคะ” พระชายาอานกล่าวด้วยแววตาที่ซับซ้อน
อ๋องเว่ยพยักหน้า “งั้นก็ได้ ข้าก็จะไม่ถามรายละเอียดแล้ว เจ้าพักผ่อนให้ดีๆ ข้าไปก่อน”
“ส่งท่านพี่สามเพคะ!” พระชายาอานรีบยืนขึ้น
“ไม่ต้องส่ง พักผ่อน!” อ๋องเว่ยหมุนตัวสาวเท้าก้าวใหญ่ออกไป
เมื่อเปิดประตู ก็เห็นอ๋องอันหมุนตัวอย่างรวดเร็ว หันไปทางระเบียงทางนั้น อ๋องเว่ยเพ่งมองพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมชาตินั่นของเขา หัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง จึงจากไปแล้ว
เมื่ออ๋องเว่ยจากไป อ๋องอานก็ค่อยๆเดินกลับมา ลังเลอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังหันกลับไป
“ท่านอ๋องในเมื่อมาแล้ว ก็เข้ามาเถอะเพคะ” เสียงพระชายาอานดังออกมาจากด้านใน
อ๋องอานตั้งสติอยู่หลายวินาที ก็หมุนตัวเข้าไปแล้ว
นางยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในมือม้วนหนังสือขึ้นมาอีกรอบ ใบหน้าซีดเซียว สีหน้าซีดขาว บาดแผลแดงและเป็นหนองจริงๆ หลบเลี่ยงมาหลายวัน ฉับพลันนั้นจิตใจที่เย็นยะเยือกก็อ่อนลงมาแล้ว
“ยังคุ้นชินหรือไม่?” เขาถามเรียบๆประโยคหนึ่ง
พระชายาอานมองเขา ถอนใจเบาๆ “ที่นี่เทียบไม่ได้กับเมืองหลวง แต่ว่าจิตใจสงบ”
“เจ้าไม่ต้องกังวล ไม่ต้องอยู่ที่นี่นาน ข้ามีวิธีกลับไป”
พระชายาอานส่ายศีรษะเบาๆ “อยู่ที่นี่ไม่ดีหรือเพคะ? ข้ากลับหวังว่าจะสามารถอยู่ที่นี่ได้ทั้งชีวิต”
อ๋องอานกล่าวอย่างเฉยชา: “ดังนั้น ว่าไม่อย่างไรเจ้าก็เป็นเช่นนั้น ช่วยคนนอกมากล่าวโทษข้า”
พระชายาอานวางหนังสือลงยืนขึ้นแล้วเดินมาด้านหน้าของเขา จับมือของเขาขึ้นมามองดู “เช่นนี้ดีหรือไม่? พวกเราไม่กลับไปแล้ว เรื่องราวทั้งหมดในเมืองหลงพวกเราลืมให้หมด พวกเราไม่ต้องทะเลาะกัน ไม่ต้องทำสงครามเย็น ไม่เอาอำนาจ ไม่ต้องการความเฟื่องฟู เพียงแค่พวกเราสองคนอยู่ดูแลกันเท่านั้น ดีหรือไม่เพคะ?”
อ๋องอานมองดูนาง แววตาซับซ้อน “ข้าไม่รู้ ไม่กล้ารับปากเจ้าอย่างง่ายดาย”
น้ำตาของนางออกมาจากเบ้าตา “ตำแหน่งฮ่องเต้สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ?”
“นั่นคือสิ่งที่คนมากมายแสวงหามาทั้งชีวิต คนมากมายไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด แต่ข้ากลับอยู่ห่างจากตำแหน่งนั่นแค่ก้าวเดียว”
“หากว่าเหลือเพียงตัวคนเดียว ท่านเป็นฮ่องเต้แล้วจะอย่างไรเพคะ?”
อ๋องอานหัวเราะเยาะเย้ย “การถกกันของภรรยาและเด็ก เลี่ยงไม่ได้ที่จะดูถูกตำแหน่งที่สูงส่งของฮ่องเต้”
พระชายาอานปล่อยมือของเขาช้าๆ ถอยหลังไปสองก้าว น้ำตาไหลพราก “ข้ารู้ ข้าไม่ได้สำคัญเท่าตำแหน่งนั่น แต่อยู่กับข้า ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่จำเป็นต้องเสียสละไม่จำเป็นต้องทรยศ ไม่จำเป็นต้องเตรียมรบอาบเลือด ไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้ง ทุกวันตื่นมาตอนเช้าสนใจเพียงแค่กินอะไร ใส่อะไร ผ่านไปเช่นนั้นวันแล้ววันเล่า จูงมือกันไปทั้งชีวิต”
“ข้าไม่ได้พูดว่าเจ้าไม่สำคัญ” แววตาอ๋องอานเจ็บปวด “เพียงแต่นี่ทำไมถึงต้องเลือก? ทำไมถึงไม่รับไว้ทั้งสองอย่าง?”
“เป็นคนไม่สามารถโลภได้เพคะ”
“เช่นนั้นน้องห้าล่ะ?” อ๋องอานถามกลับ “หลังจากที่เขาได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ก็ไม่สามารถอยู่กับหยวนชิงหลิงได้แล้วใช่หรือไม่? ทำไมเขาถึงได้ทั้งสองอย่างแต่ข้าไม่ได้? พูดถึงอายุมากน้อย พูดถึงความอาวุโส พูดถึงความสามารถ อย่างไหนที่ข้าด้อยกว่าเขา? ไม่ใช่แค่ไม่ได้ให้กำเนิดลูกชายหรอกหรือ?”
สีหน้าของพระชายาอานเปลี่ยนเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กล่าวพึมพำ: “ดังนั้น ความจริงแล้วท่านก็โทษข้า”
เขาส่ายหน้า “ข้าไม่ได้โทษเจ้า ข้าหวังเพียงแค่เจ้าจะสนับสนุนข้า นี่ไม่เกินไป เจ้าเป็นพระชายาของข้า ข้าทำอะไร เจ้าก็ควรยืนอยู่ฝั่งข้าโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าอนาคตของข้าความเฟื่องฟูทั้งหมด ล้วนมีเจ้า สามีรุ่งเรืองภรรยาสูงส่ง ก็แค่หลักการธรรมดาๆข้อหนึ่ง เจ้าดูน้องห้าทำอะไร หยวนชิงหลิงก็สนับสนุนเขาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นไม่ใช่หรือ?”
เขากล่าวต่อ: “เจ้าเป็นห่วงเป็นใยความสัมพันธ์ของพี่น้องสะใภ้ หยวนชิงหลิงนางก็ควรเป็นห่วงด้วยสิ เจ้าโน้มน้าวข้าให้สละตำแหน่งรัชทายาท ก็ถึงคราวที่จะให้หยวนชิงหลิงบอกให้น้องห้าสละตำแหน่งรัชทายาทเพื่อช่วยให้ข้าสมหวังและสนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องสะใภ้ของพวกเจ้าไม่ใช่หรือ?”
พระชายาอานหมดคำจะเอ่ย มองดูเขาพูดหลักการมั่วซั่วออกมาอย่างผ่าเผยตรงไปตรงมา นางนิ่งเงียบแล้ว ส่ายศีรษะ