รอให้แม่นมฉินจากไปแล้ว หวงกุ้ยเฟยก็พูดกับหยวนชิงหลิงว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าอยู่นอกวังเคลื่อนไหวได้สะดวก ให้คนไปหาพ่อค้าทาสซื้อตัวบ่าวไพร่เข้าไปให้แม่นมสี่สั่งสอนสักสองเดือนค่อยส่งไปทางเจ้าเก้า ตอนนี้ในวังมีคนให้คัดเลือกออกไปได้ไม่มาก ก่อนหน้านี้สองปีฮ่องเต้ได้ทรงจัดการให้คนกลุ่มหนึ่งออกจากวังไป และเพราะเรื่องการแต่งตั้งอ๋องและแบ่งจวนค่อนข้างเร่งรีบ ข้าไม่ทันได้เตรียมการ ให้ทางกรมวังส่งคนมากลุ่มหนึ่ง เลือกคนที่มีความชำนาญแปดเก้าคน ใช้งานแก้ขัดไปก่อน รอให้ทางเจ้าอบรมคนออกมาแล้ว ค่อยส่งไปที่จวนอ๋องชุน แม่นมฉินคนนี้ไร้ประโยชน์แล้ว ข้าค่อยคัดเลือกแม่นมในตำหนักของข้าออกไปคนหนึ่ง จะได้ช่วยเหลือกันได้”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “เรื่องนี้ข้าจัดการเอง ท่านอย่ากังวลใจไปเลย แม่นมฉินคนนี้ท่านให้คนคอยจับตาดูต่อไป ดูสิว่าทำไมนางถึงไม่ยินดีจะออกจากวัง”
หวงกุ้ยเฟยก็มีแผนอยู่ในใจ รู้ว่าเจ้าห้าตามหาแม่นมฉินคนนี้คงไม่ใช่เพราะต้องการให้นางเข้าไปรับใช้ในจวนของเจ้าเก้าเท่านั้น แล้วก็ได้ยินหยวนชิงหลิงพูดเช่นนี้ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ได้ เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะให้คนจับตาดูเอาไว้”
หยวนชิงหลิงกล่าวขอบคุณและออกจากวังไป พูดเรื่องที่ได้พบกับแม่นมฉินให้เจ้าห้าฟัง “ข้าดูอย่างไร ก็ไม่รู้สึกว่าแม่นมฉินคนนี้จะคล้ายกับหมันเอ๋อ นางแก่มากแล้ว ดูแล้วเหมือนอายุหกสิบกว่า แต่นางบอกว่าเพิ่งจะสี่สิบปี ”
หยู่เหวินเห้ากลับขมวดคิ้วขึ้นมา “แก่ขนาดนั้นเชียว อีกอย่าง เจ้าว่าไม่เหมือน แต่พอข้านึกถึงหน้าตาของนางแล้ว ดูคล้ายกันอยู่บ้างจริงๆ ”
“นานขนาดนี้แล้ว ท่านยังจำได้หรือ”หยวนชิงหลิงไม่ค่อยเชื่อใจในความทรงจำของเขา
“เดิมทีก็ไม่มีความทรงจำอะไร และจำคนคนนี้ไม่ได้ แต่วันนั้นน้องเก้าพูดขึ้นมา พอข้านึกดูก็จดจำได้บ้าง เจ้าดูนางแล้วไม่มีตรงไหนเหมือนกับหมันเอ๋อสักนิดเลยหรือ”
“ไม่มีจริงๆ”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “เช่นนั้นบางทีอาจเป็นเพราะว่าเป็นคนหนานเจียงเหมือนกัน หน้าตาค่อนข้างโดดเด่น ฉะนั้นจึงรู้สึกคล้ายคลึงกัน แต่ว่าท่าทีของนางค่อนข้างประหลาดมาก ยอมจะหลบซ่อนอยู่ในวังเพื่อทำงานที่ยากลำบากก็ไม่ยินดีจะออกมารับใช้น้องเก้าในจวน คนทั่วไปไม่มีทางเลือกทำเช่นนี้ นอกเสียจากจะมีเหตุผลอะไร”
“ข้าให้หวงกุ้ยเฟยช่วยจับตาดูแล้ว ดูสิว่านางมีความลำบากในใจอะไรหรือไม่ อีกอย่าง ข้าคิดจะคุยกับหมันเอ๋อสักหน่อย ดูสิว่านางยังจำอะไรได้บ้าง”หยวนชิงหลิงพูด
“อืม ก็ดี ข้าเองก็จะรื้อคดีที่อ๋องหนานเจียงถูกฆ่าออกมาตรวจสอบสักหน่อย ชวนจิ้งเหยียนกับโสวฝู่มาแล้ว ประเดี๋ยวพวกเขาคงมาถึง เรื่องนี้ พวกเขาค่อนข้างรู้ดี ข้าเองก็เอาม้วนคดีความกลับมาบางส่วน แต่ว่า ที่สามารถจดบันทึกไว้ได้อาจไม่ใช่เรื่องจริง”
“ใช่แล้ว ช่วงนี้ร่างกายของโสวฝู่เป็นอย่างไรบ้าง”หยวนชิงหลิงถาม
“ดีขึ้นบ้างแล้ว ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากแม่นม เขาจะไม่ดีขึ้นได้อย่างไร”หยู่เหวินเห้าพูดล้อเล่น
หยวนชิงหลิงยิ้มอบอุ่นขึ้นมา “เช่นนั้นก็ดีจริงๆ คนแก่สามารถอยู่เป็นเพื่อนกันได้ ”
หยู่เหวินเห้ามองนางด้วยสายตาที่เป็นประกาย “ยายหยวน เจ้ายิ้มเช่นนี้ ช่างทำให้รู้สึกสบายมาก”
“ทุกคนเมื่อยิ้มก็ล้วนทำให้คนอื่นรู้สึกสบาย”หยวนชิงหลิงเข้าใกล้เขา ถอนหายใจอย่างสบายอกสบายใจ “ท่านยิ้มก็ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจเช่นกัน อีกอย่างเวลาท่านยิ้มดูดีมาก ข้าชอบดูเวลาท่านยิ้มที่สุดแล้ว”
หยู่เหวินเห้าเผลอจับไปที่ใบหน้า “จริงหรือ”
“ใช่ ต้องยิ้มมากๆ ปล่อยความปรารถนาดี”หยวนชิงหลิงดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ มุมปากโค้งขึ้น ราวกับดอกท้อที่เบ่งบาน
ทั้งสองคนอิงแอบอย่างอบอุ่นอยู่ชั่วครู่ สวีอีก็เข้ามารายงานว่าโสวฝู่กับใต้เท้าเหลิ่งได้มาถึงแล้ว
หยู่เหวินเห้าจูบหยวนชิงหลิงทีหนึ่ง “เช่นนั้นข้าจะไปห้องหนังสือ เจ้าก็คุยกับหมันเอ๋อ”
เขาเดินออกไปด้วยจิตใจที่รื่นรมย์ นึกถึงคำพูดของหยวนชิงหลิง ก็เผยรอยยิ้มกว้างให้กับสวีอีจากนั้นก็เดินลงบันไดหินไป สวีอีนิ่งอึ้งไป รีบตามไปและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านอ๋อง เงินเดือนก็ยังต้องให้นะพ่ะย่ะค่ะ จะไม่ให้เงินเดือนเพียงเพราะได้รับเงินรางวัลไม่ได้”
สีหน้าของหยู่เหวินเห้าขรึมลงทันที มีคนบางคน ไม่คู่ควร
หยวนชิงหลิงเรียกตัวหมันเอ๋อเข้ามา พูดว่า “เจ้านั่งลงก่อน พวกเรามาคุยกัน”
หมันเอ๋ออึ้งไปชั่วครู่ “พระชายารัชทายาท ใช่ข้าน้อยทำงานได้ไม่ดีหรือไม่ ”
“ไม่ใช่ เป็นแค่การคุยธรรมดากับเจ้าเท่านั้น ”หยวนชิงหลิงยิ้มมองท่าทีตื่นเต้นของเนาง “เจ้าทำงานได้ดีมาก แม่นมสี่กับแม่นมฉีต่างก็ชมเจ้าไม่ขาดปาก นั่งเถอะ”
หมันเอ๋อค่อยผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง นั่งลงไป ถามอย่างเด๋อด๋าว่า “พระชายารัชทายาทอยากจะคุยอะไร”
“หมันเอ๋อ เจ้ามาถึงเมืองหลวงได้อย่างไร”หยวนชิงหลิงถาม
หมันเอ๋อพูดว่า “ท่านยายพาข้ามา”
“ท่านยายของเจ้าเล่า”
“ท่านยายทั้งสองต่างก็ตายไปแล้ว พวกเรามาถึงเมืองหลวงไม่นาน พวกนางก็จากข้าไปอย่างต่อเนื่องกัน ”หมันเอ๋อพูดถึงพวกนางสองคนขึ้นมา สีหน้ามีความเสียใจอยู่บ้าง
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ “ทำให้เจ้าลำบากใจจริงๆ”
หมันเอ๋อสายตาซึมเศร้า “ตอนที่มาพวกท่านยายก็มีโรคติดตัวมาด้วย ตอนนั้นพวกเราไม่มีเงิน ใช้ชีวิตลำบากมาก แม้แต่ของกินยังไม่มี จะไปรักษาโรคได้อย่างไร ข้าเองก็อายุยังน้อย ยังไม่รู้จักการหาเงิน”
หยวนชิงหลิงตบมือของนางเบาๆ ปลอบใจอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ถามขึ้นอีกว่า “ตอนที่เจ้ามาถึงเมืองหลวงเจ้าอายุเท่าไหร่”
หมันเอ๋อใช้ความคิด ”อายุเท่าไหร่หรือ ข้าน้อยก็จำไม่ค่อยได้แล้ว เหมือนจะห้าหกขวบหรือไม่ก็แปดเก้าขวบกระมัง”
“อายุเท่าไหร่ก็จำไม่ได้หรือ แล้วเจ้าจำพ่อแม่ได้หรือไม่”หยวนชิงหลิงจำได้ว่าแต่ก่อนนางเคยเอ่ยถึงคนในบ้านเกิด และได้เอ่ยถึงพ่อแม่ขึ้นมาด้วย เพียงแต่ตอนนั้นนางเองก็ไม่ได้ใส่ใจ จำไม่ได้แล้วว่านางพูดว่าอย่างไร
หมันเอ๋อรู้สึกงงงวย “พ่อแม่ พ่อแม่ข้าตายไปตั้งนานแล้วกระมัง”
“ตายแล้วกระมัง”หยวนชิงหลิงมองสีหน้าลังเลของนาง “เจ้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินเจ้าพูดถึงเรื่องที่บ้าน เหมือนจะเคยเอ่ยถึงพ่อแม่หรือคนในบ้านด้วย ”
“จริงหรือ ”หมันเอ๋อนิ่งอึ้ง ยื่นมือออกไปกดที่ศีรษะทีหนึ่ง “แต่ข้าจำไม่ค่อยได้แล้ว”
“เจ้าลืมเรื่องราวบ่อยๆหรือ”หยวนชิงหลิงทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา ความจำของนางมีปัญหาอยู่บ้างจริงๆ บางทีก็จำเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน บางทีก็ลืมไปจนหมดสิ้น คงไม่ใช่ว่าเป็นโรคอะไรหรอกนะ
หมันเอ๋อพูดอย่างเจ็บปวดใจว่า “ก็ไม่ใช่จะลืมตลอด ก็แค่ ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ก็คือในสมองรู้สึกวุ่นวายอยู่บ้าง และรู้สึกว่างเปล่าอยู่บ้าง เหมือนกับว่าในสมองมีหินก้อนหนึ่งอุดกั้นเอาไว้ในบางพื้นที่ สถานที่แห่งนั้นเข้าไปไม่ได้”
หยวนชิงหลิงมองนางด้วยความตกตะลึง “เจ้าถูกคนอื่นสาปอะไรไว้หรือเปล่า จำพวกวิชาเสน่ห์ยาแฝด ก็คือพวกคาถาสาปแช่งของหนานเจียงของพวกเจ้า”
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ข้าน้อยก็รู้เรื่องการสาปแช่งคน ถ้าหากถูกคนสาปแช่งต้องรู้ตัวแน่ ”หมันเอ๋อพูดอย่างมั่นใจมาก ชะงักไปชั่วครู่ นางก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ใช่แล้ว เมื่อก่อนข้าน้อยเคยหกล้มจนได้รับบาดเจ็บที่หัว ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุนี้หรือไม่”
“เจ้าได้รับบาดเจ็บเมื่อไหร่”
“ท่านยายบอก แต่จำไม่ได้ว่าหกล้มจนได้รับบาดเจ็บตั้งแต่กี่ขวบ”หมันเอ๋อพูด
“เป็นท่านยายที่บอก เช่นนั้นก็นานมากแล้ว ท่านยายของเจ้าก็ตายไปตั้งนานแล้ว แล้วเจ้าเรียนรู้วิชาคำสาปของหนานเจียงตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้ารู้หรือไม่ ”
หมันเอ๋อครุ่นคิด “น่าจะตอนที่เพิ่งจะไม่กี่ขวบกระมัง แต่คนหนานเจียงเราต่างก็เริ่มเรียนตั้งแต่เด็ก ได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินอยู่เป็นประจำ จึงสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมาก”
“แล้วเจ้ารู้เรื่องสาวหมอผีและหมอผีของเจียงเป่ย มากแค่ไหน”หยวนชิงหลิงถามขึ้นอีก
หมันเอ๋อพูดว่า “รู้บ้างเล็กน้อย พระชายารัชทายาทอยากจะถามอะไรหรือ”
“เจียงเป่ยมีสาวหมอผีสองคน คนหนึ่งคือกู้จือ อีกคนหนึ่งเป็นใคร เจ้ารู้หรือไม่”
“อีกคนน่ะหรือ……”หมันเอ๋อใช้ความคิดอีกครั้ง “อีกคนหนึ่งได้หายตัวไปนานแล้ว จึงหาหมอผีสาวคนที่สอง ข้าจำได้ว่าท่านยายเคยบอกไว้ สาวหมอผีคนนั้นชื่อมู่ชิงชิง”
“มู่ชิงชิง ”หยวนชิงหลิงมองนาง “คำถามสุดท้าย หมันเอ๋อ เจ้ารู้จักคนคนหนึ่งที่ชื่อว่าแม่นมฉินหรือไม่”