บุตรอสูรบรรพกาล – บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 450 เชิญตัว

ตอนที่ 450

เชิญตัว

“อากก”ขณะที่จูล่งกำลังเดินออกมาจากบ่อน อยู่ๆที่ด้านหน้าจูล่งก็ปรากฏร่างของคนๆหนึ่งลอยหวือเข้ามาหาอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตกใจของชาวบ้าน

วูบ…จูล่งยื่นมือออกไปรับร่างของชายคนนั้นเอาไว้ ก่อนจะพามันลงมายืนกับพื้นอย่างรวดเร็วทำเอาชายคนนั้นได้แต่กะพริบตาปริบๆด้วยความตกใจ

“ขะ ขอบใจเจ้ามาก”ชายคนนั้นว่าพลางหายใจเข้าลึกๆ เรียกได้ว่ารอดไปทีที่จูล่งมาช่วยรับเอาไว้

“ไม่เป็นไรขอรับพี่ชาย ท่าน…..”

“ยากกกก”ไป๋จูล่งยังไม่ทันพูดจบชายคนนั้นก็หันหลังวิ่งเข้าไปทางที่เดิมเสียแล้ว ตรงกันข้ามชาวบ้านรอบๆกลับกำลังวิ่งออกมาด้วยความตกใจเหมือนตรงที่ชายคนนั้นกำลังวิ่งไปมีเรื่องเกิดขึ้นไม่มีผิด

“พี่ชาย มีเรื่องอะไรกันงั้นหรือ”ไป๋จูล่งถามพลางวิ่งตามชายคนนั้นไป ไม่ใช่ว่าไป๋จูล่งอยากยุ่งเรื่องชาวบ้านหรอกนะ แต่มันจำได้ต่างหากว่าชายที่ตนพึ่งรับตัวมาเมื่อครู่เป็นคนที่ทำการแสดงดนตรีก่อนหน้านี้ ซึ่งมันก็ประทับใจกับการแสดงมากเสียด้วย

“พวกเราต้องหยุดเจ้านั่นให้ได้”ชายคนนั้นว่าพลางพุ่งวาบเข้าไปหาชายอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่กลางถนน เมื่อตามมาถึงจูล่งถึงพบว่าเหล่านักดนตรีที่คอยบรรเลงเพลงก่อนหน้านี้กำลังรุมล้อมชายคนหนึ่งเอาไว้ เพียงแต่พลังวิญญาณของทั้งสองฝ่ายนั้นต่างกันเกินไป เพียงฝ่ามือเดียวก็ทำเอานักดนตรีทั้งหลายลอยเป็นว่าวสายขาดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“หยุดนะ”ชายที่ชื่ออี้เผิงเข้ามาขวางชายที่กำลังโดนล้อมเอาไว้ด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ ดูเหมือนชายที่โดนล้อมเอาไว้จะกำลังมีเรื่องกับพวกกลุ่มคณะดนตรีเข้ากระมัง

“เจ้าคืออี้เผิงสินะ”ชายที่อยู่กลางวงล้อมพูดพลางยิ้มออกมา ตัวมันนั้นเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณระดับเทียนเซียนขั้นที่ 8 มีพลังเหนือกว่าคนรอบๆมาก แถมร่างกายของมันยังใหญ่โตและดูดุดันอย่างมากทำเอาเหล่านักดนตรีที่มีพลังวิญญาณกันระดับกลางๆดูด้อยกว่าไปถนัดตา แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ยังไม่มีท่าทีจะถอยนับว่าน่าประหลาดใจจริงๆ

“เจ้านายของข้าบอกว่าให้พาตัวนักร้องของพวกเจ้าไปพบท่านเสียหน่อย”ชายกลางวงล้อมพูดพลางชี้ไปที่ด้านหลังของอี้เผิง ที่ด้านหลังของมันนั้นปรากฏร่างของหญิงสาวผู้เป็นนักร้องนำของการแสดงก่อนหน้านี้นั่นเอง

“เสียใจด้วย พวกเราต้องออกเดินทางไปแสดงที่เมืองถัดไปแล้ว ไม่มีเวลาไปพบเจ้านายของเจ้าหรอก”อี้เผิงว่าพลางยกแขนขึ้นบังหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังเอาไว้

“ท่านจอมยุทธ โปรดกลับไปบอกเจ้านายของท่านเถิดว่าข้าชางซีไม่อาจไปพบเจ้านายของท่านได้จริงๆ”หญิงสาวว่าพลางเดินออกมายืนข้างๆอี้เผิงช้าๆตัวนานนั้นดูไม่ได้หวาดกลัวเสียเท่าไหร่เลย

“ข้าไม่ได้มาเพื่อชักชวน”ชายที่อยู่กลางวงล้อมพูดพลางเดินเข้าไปหาชางซีด้วยท่าทีน่ากลัว ด้วยพลังของมันเหล่านักดนตรีรอบๆไม่อาจหยุดมันได้อยู่แล้ว อย่างมากก็แค่เกาะร่างของมันเอาไว้แล้วโดนลากไปด้วยเท่านั้นเอง

“…..”ชางซีจ้องมองไปที่เท้าของฝ่ายตรงข้ามพลางล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อช้าๆ ท่วงท่าของนางนั้นดูเหมือนกำลังหวาดกลัวอีกฝ่าย แต่นางกลับชิงหยิบอาวุธออกมาอย่างใจเย็นมากทีเดียว

ฟุบ…มีดในมือของชางซีพุ่งวาบเข้าไปที่ร่างของชายตรงหน้า กระบวนท่าของนางดูไม่เหมือนคนไร้พลังวิญญาณเลย

กึก! แม้นางจะโจมตีได้รวดเร็วแค่ไหน แต่น่าเสียดายที่กำลังของนางก็เท่าๆกับคนธรรมดาทำให้มีดของนางหยุดอยู่ที่ผิวหนังของชายยตรงหน้าเท่านั้น

“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านายของข้าสั่งเอาไว้ ข้าคงต้องหักแขนเจ้าเพื่อสั่งสอนไปแล้ว”ชายคนนั้นว่าพลางจับไปที่มีดของชางซี ตอนแรกมันก็แอบตกใจอยู่นิดหน่อยเพราะวิชาของนางดูเร็วมาก แต่เมื่อโดนโจมตีก็พบว่านางไร้พลังจนน่าขำ ท่าทางความเร็วของนางจะมาจากการฝึกฝนแสดงละครกระมัง

หมับ…ชายตรงหน้าชางซียิ้มออกมาพลางเลื่อนมือไปจับแขนของชางซีเอาไว้ มันเพียงบีบเบาๆทีหนึ่งมีดของชางซีก็หลุดออกจากมืออย่างง่ายดาย

“เจ้านายของเข้าอยากจะรู้จริงๆว่าภายใต้หน้ากากของเจ้าจะซ่อนความงามเอาไว้ขนาดไหน”ชายตรงหน้าว่าพลางมองไปที่หน้ากากของชางซี ไม่ทราบทำไมนางถึงต้องใส่หน้ากากเอาไว้ตลอด แต่เพราะได้ฟังเสียงที่งดงามถึงเพียงนั้นเจ้านายของมันถึงเชื่อว่าหญิงสาวภายใต้หน้ากากจะต้องงดงามไม่ต่างจากเสียงแน่นอน ทำให้ตัวมันเองก็เริ่มสงสัยก็เลยอยากจะกระชากหน้ากากของนางออกเพื่อเชยชมความงามก่อนจะส่งให้เจ้านายเสียหน่อย

หมับ…อยู่ๆมือของมันก็โดนใครบางคนจับเอาไว้ คราแรกมันคิดว่าเป็นพวกนักดนตรีที่พยายามกระเสือกกระสนช่วยเหลือนางผู้นี้ เพียงแต่แขนของมันกลับไม่สามารถขยับไปหาหน้ากากของชางซีได้อีกทำให้มันรู้ทันทีว่าไม่ใช่เจ้าพวกนักดนตรีแต่อย่างไร

“พี่ชาย ข้าว่าพี่ชายกำลังทำไม่ดีอยู่นะขอรับ”จูล่งว่าพลางเดินเข้ามาจับแขนของชายคนนั้นเอาไว้ ไม่ทราบผู้อื่นจะสังเกตเห็นหรือไม่ แต่ชางซีมีท่าทีขัดขืนอย่างมากตอนนางจะโดนถอดหน้ากาก ลำพังแค่เรื่องชายหนุ่มกำลังรังแกหญิงสาวก็สมควรช่วยมากพอแล้ว หญิงสาวยังเป็นคนที่จูล่งค่อนข้างชื่นชมทีเดียว เสียงเพลงของนางนั้นยังแว่วอยู่ในหูของจูล่งอยู่เลย

“อะไรของเจ้า”ชายตรงหน้าจูล่งพูดพลางมองมาทางจูล่งด้วยท่าทีประหลาดใจ อีกฝ่ายไร้พลังวิญญาณเหตุใดถึงขวางมันเอาไว้ได้

“พี่ชายปล่อยมือก่อนดีกว่านะขอรับ”ไป๋จูล่งว่าพลางจับไปที่มือของชายตรงหน้า เพียงออกแรงเล็กน้อยมือของมันก็โดนง้างออกทำให้มือของชางซีเป็นอิสระทันที

“เจ้า”ชายตรงหน้าจูล่งแสดงความงุนงงออกมาเป็นอย่างมาก เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าเด็กคนนี้ถึงกางมือมันออกได้ง่ายดายนัก

เปรี้ยง! เห็นจูล่งเข้ามาขวางอีกฝ่ายก็ไม่คิดอะไรมาก มันกำหมัดอีกข้างก่อนจะต่อยเข้าที่ร่างของจูล่งอย่างจัง น่าเสียดายแม้จูล่งจะหลบไม่ได้เพราะมีชางซีอยู่ข้างหลัง แต่กำลังของชายตรงหน้าก็น้อยเกินกว่าจะทำอะไรจูล่งได้

“นี่มันอะไรกัน”ชายหนุ่มว่าพลางมองไปที่จูล่งด้วยสายตาไม่เข้าใจ แต่พริบตาต่อมามันก็เลื่อนสายตาไปมองที่รอยแผลเล็กๆที่ไหล่ของมัน รอยแผลที่ชางซีแทงมันก่อนหน้านี้นั่นเอง

“……..”พริบตานั้นมันถึงเข้าใจทันที การที่มันทำอะไรจูล่งไม่ได้เลยเป็นเพราะมันกำลังโดนพิษอยู่นั่นเอง ยามนี้ที่ไหล่ของมันผิวหนังแทบจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงไปทั้งหมดแล้ว แถมมันยังเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกต่างหาก

“เจ้า…..”ชายคนนั้นว่าพลางมองมาทางชางซี ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะใช้อาวุธอาบยาพิษกับตนเอง แถมพิษพวกนี้ยังรุนแรงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณระดับเทียนเซียนหมดแรงอีกต่างหาก

“ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ”ชายคนนั้นว่าพลางหันหลังกระโจนหนีไป กำลังของมันยามนี้โดนเด็กหนุ่มไร้พลังคนหนึ่งขวางเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย หากโดนพวกนักดนตรีเข้ามารุมละก็มันอาจจะพ่ายแพ้เลยก็เป็นได้

“ขอบใจเจ้ามาก”อี้เผิงเดินเข้ามาหาจูล่งพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ไม่หรอกขอรับ ข้าแทบไม่ได้ทำอะไรเลย”จูล่งตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ มันแค่เข้ามาขวางนิดหน่อยเท่านั้นอีกฝ่ายก็ถอยกลับไปเอง

“หัวหน้า พวกเราคงต้องรีบย้ายแล้วล่ะ”ชางซีว่าพลางกุมข้อมือตัวเองเอาไว้ ข้อมือของนางโดนอีกฝ่ายบีบทำให้เกิดรอยช้ำอย่างเห็นได้ชัด

“ช่วยไม่ได้ พวกเราเก็บของ”อี้เผิงว่าพลางสั่งให้นักดนตรีกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยมใกล้ๆเพื่อเก็บข้าวของเตรียมจะหนี น่าแปลกพวกมันดูเคยชินอย่างประหลาดราวกับต้องเก็บของหนีแบบนี้บ่อยๆ

“น้องชาย วันนี้ได้เจ้าช่วยเอาไว้จริงๆ ข้าขอบใจเจ้ามาก”ชางซีว่าพลางเดินเข้ามาหาไป๋จูล่งช้าๆ ความจริงแล้วพิษที่นางทาบนมีดไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น อย่างมากก็ช่วยลดกำลังของอีกฝ่ายได้มามาก หากไม่ใช่จูล่งก็คงไม่สามารถง้างมือมันออกง่ายๆแบบนั้นได้แน่ๆ

“ไม่เป็นไรขอรับ”จูล่งว่าพลางยิ้มออกมา มันเพียงทำตามที่ชิงชิวทำเท่านั้น ช่วยเหลือผู้อื่นยามที่ผู้อื่นลำบาก และอย่างที่บอกก่อนหน้านี้ จูล่งชอบเพลงของชางซีไม่น้อยเลย หากเป็นไปได้ก็อยากจะฟังอีกสักครั้ง

“จริงสิพี่สาว”จูล่งว่านำขวดกระเบื้องขวดหนึ่งออกมาจากมิติของตน

“ท่าทางพี่สาวจะได้รับบาดเจ็บหนักทีเดียว ยานี่น่าจะช่วยได้นะขอรับ”จูล่งว่าพลางนำยาสีขาวออกมาเม็ดหนึ่ง มันคือยาของน้าราชสีห์นั่นเอง น่าเสียดายที่จูล่งแทบจะไม่เคยบาดเจ็บเลยต่อให้น้าราชสีห์ทำให้มากเท่าไหร่จูล่งก็ไม่เคยใช้เลย

“ขอบใจจ่ะ”ชางซีตอบพลางมองไปที่ข้อมือของตนเอง ท่าทางจูล่งจะเห็นแผลที่ข้อมือของนางเลยมอบยาให้ จะว่าเป็นเด็กหนุ่มที่จิตใจดีก็คงได้กระมัง

“เช่นนั้นถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วข้าขอตัวก่อนนะขอรับ ข้าแยกจากพวกท่านลุงนานแล้วกลัวว่าพวกท่านจะเป็นห่วง”จูล่งว่าพลางขอตัวลาจากชางซีไป ทำให้ชางซีอดที่จะมองตามไป๋จูล่งไปไม่ได้ ไม่ใช่ว่านางจะไม่เคยได้รับการช่วยเหลือจากชายหนุ่ม แต่นางก็พึ่งเคยเห็นเด็กท่าทางใสซื่อแบบนั้นเป็นครั้งแรก ปกติคนที่ช่วยนางจะช่วยเพราะหวังอะไรบางอย่างอยู่ทั้งนั้น แต่ไป๋จูล่งกลับดูต่างออกไป

“มีอะไรหรือชางซี”อี้เผิงถามพลางมองชางซีที่กำลังยืนมองทางที่จูล่งวิ่งหายไปช้าๆ

“เด็กคนนั้นน่ารักดี”ชางซียิ้มพลางเดินกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยมพร้อมกับอี้เผิง

“อะไรกัน นี่เจ้ามีรสนิยมอย่างนี้หรอกหรือ”อี้เผิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าชางซีจะมีนิสัยชมชอบเด็กหนุ่ม

“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นสักหน่อย”ชางซีว่าพลางยิ้มออกมา นางเพียงเห็นว่าจูล่งดูเป็นคนดีต่างหาก

“เจ้าเองก็รีบเก็บของเถอะ เราต้องไปหาเงินที่เมืองต่อไปแล้ว”อี้เผิงว่าพลางเดินกลับเข้าไปที่ห้องของตนเอง ปล่อยให้ชางซีเดินเข้าไปในห้องของตนเองเงียบๆ เรื่องในวันนี้ไม่ได้สร้างความแตกตื่นให้คณะดนตรีมากเท่าไหร่ เพราะเรื่องอย่างคนใหญ่คนโตมาบังคับให้ชางซีเข้าไปพบหรือตั้งใจจะเอาไปเป็นเมียเก็บก็มีอยู่บ่อยๆ

“ทำไมทุกคนถึงติดใจหน้ากากนี่กันนะ”ชางซีว่าพลางถอนหายใจออกมา นางเดินไปนั่งลงที่หน้ากระจกช้าๆก่อนจะเลื่อนมือไปจับที่หน้ากากของตน หากใต้หน้ากากนี้นางงดงามจริง นางคงไม่ต้องปกปิดหรอก อาชีพของนางคือการขายเสียง ยิ่งมีใบหน้าที่งดงามย่อมส่งผลดีไม่ใช่หรือ

กึก…หน้ากากของชางซีถูกถอดออกช้าๆ ใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้นต่างกับคำว่างดงามไปมาก ไม่ใช่ว่านางไม่ใช่คนสวย แต่เพราะบนใบหน้าของนางนั้นมีบาดแผลสีดำแดงปรากฏขึ้นเต็มหน้า อันเป็นผลมาจากการฝึกฝนวิชาผิดพลาดก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้นางคงสามารถล้มเจ้าคนเสียมารยาทนั่นได้โดยไม่ต้องใช้พิษเสียด้วยซ้ำ

อย่างที่บอกเหตุการณ์เช่นนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นก่อน และก็ไม่ใช่ว่าทุกครั้งจะมีคนมาช่วยเสมอไป เพียงแต่พวกเจ้านาย เถ้าแก่ หรือเจ้าเมืองที่ส่งคนมาชิงตัวนางไปพอได้เห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากนี้ก็พากันหน้าเสียส่งตัวนางกลับกันถ้วนหน้า ในบางครั้งก็มีคนช่วยนางแบบไป๋จูล่งเช่นกัน แน่นอนว่าพวกมันต่างก็เป็นคนที่ได้ฟังการแสดงของนางมาแล้ว พวกมันจึงพยายามทำความรู้จักกับนาง และแน่นอนเมื่อได้เห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากของนางแล้วพวกมันก็พากันหายหนีไปเช่นกัน ทำให้ชางซีไม่คิดว่าใครจะรับใบหน้านี้ได้แน่ๆ นางจึงพยายามหาทางรักษาเพียงแต่สมุนไพรหายากก็ต้องใช้เงินจำนวนมากหาซื้อมา นางถึงได้ต้องมาเป็นนักร้องรับจ้างอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ

“……”ชางซีมองเม็ดยาสีขาวที่จูล่งมอบให้พลางยิ้มออกมาน้อยๆ เด็กคนนั้นท่าทางใสซื่อดี พอช่วยนางไว้ก็จากไปไม่ได้ทวงบุญคุณอะไร นับเป็นคนที่หายากไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นชางซีก็ยังสงสัยว่าหากเด็กคนนั้นเห็นใบหน้าของนางแล้วมันจะยังช่วยเหลือแบบนี้หรือไม่

กึก…ชางซีเอาเม็ดยาสีขาวเข้าปากพลางกลืนมันลงไปช้าๆ นางเป็นผู้ใช้พิษที่มีฝีมือเก่งกาจอย่างมาก แม้จะอยู่ในสภาพไร้พลังวิญญาณเช่นนี้ก็ไม่มีพิษใดสามารถทำอะไรร่างกายนางได้ แม้ไม่ทราบที่มาของยาที่เด็กหนุ่มให้มา แต่นางก็อยากจะกินเพื่อรักษาน้ำใจเด็กหนุ่มเสียหน่อย เพียงแต่….

วูบ…อยู่ๆร่างกายของนางก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาแทบจะทันทีที่กลืนยาเข้าไป หลังจากนั้นความรู้สึกเจ็บที่ข้อมือของนางก็จางหายไปแทบจะทันที ทำเอาชางซีตกใจเป็นอย่างมาก เพราะรอยแดงที่ข้อมือของนางหายไปแล้ว แถมไม่ใช่แค่นั้น นางยังรู้สึกแปลกๆที่ใบหน้าอีกต่างหากทำให้นางรีบเข้าไปส่องกระจกทันที

“นี่มันอะไรกัน”ชางซีเบิกตากว้างมองภาพตนเองด้วยความตกใจ บาดแผลบนใบหน้าของนางหายไปช้าๆ แม้จะไม่หมดสิ้นแต่ก็เหลือรอยแดงน้อยๆเท่านั้น ทำเอาชางซีไม่ทราบจะหาคำพูดใดมาอธิบายความรู้สึกนี้ดี หรือว่ายาที่เด็กคนนั้นให้มาจะมีสมุนไพรที่นางกำลังพยายามตามหาผสมอยู่ด้วย…..

แล้วเหตุใดเด็กคนนั้นถึงมอบยาล้ำค่าเช่นนี้ให้นางกัน… พริบตานั้นนางก็นึกถึงคำพูดของจูล่งที่บอกว่านางท่าทางจะบาดเจ็บหนักทีเดียวขึ้นมา เพียงแค่โดนบีบข้อมือจนช้ำนิดๆหน่อยๆสมควรเรียกว่าบาดเจ็บหนักได้อย่างไร หรือว่าเด็กคนนั้นมองเห็นใบหน้าของนางจึงมอบยาให้กัน?

วูบ…ชางซีคว้าหน้ากากกลับขึ้นมาสวมก่อนจะวิ่งออกไปนอกโรงเตี๊ยม แต่น่าเสียดายนางคงไม่สามารถหาตัวจูล่งได้เจอเสียแล้ว

บุตรอสูรบรรพกาล

บุตรอสูรบรรพกาล

Status: Ongoing
บุตรอสูรบรรพกาล ไป๋จูเหวิน เด็กหนุ่มผู้ถูกเลี้ยงดูโดย อสูรแมงมุม ที่มีอายุมายาวนานนับหมื่นๆปี มันดูแลเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่ไม่ทราบมาจากที่ใดดั่งบุตรของตนเอง แต่เด็กมนุษย์เพียงคนเดียวไม่อาจอยู่ในแดนอสูรที่มีแต่อสูรได้ มันจึงเดินทางมายังแดนมนุษย์อีกครั้ง ระดับของอสูร -ทองแดง -เงิน -ทอง -หยก -หยกขาว -ตำนาน -มายา -บรรพกาล ระดับของมนุษย์ (มีเพิ่มภายหลัง) -มนุษย์ -ก่อกำเนิด -ผลึกวิญญาณ -หลอมรวมปฐพี -หลอมรวมนภา -หลอมรวมวิญญาณ -ชำระกล้ามเนื้อ -ชำระกระดูก -ชำระเส้นเอ็น -ชำระวิญญาณ -ก่อกำเนิดพลังเซียน -เหรินเซียน -ตี้เซียน -เสินเซียน -เทียนเซียน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset