บทที่ 225 อันดับหนึ่งในรอบหมื่นปี บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์
บนเวทีประลองเทพสงคราม หญิงสวมชุดสีสันห้าสีขยับประกายแสงคล่องแคล่วว่องไว
ตัวนางถูกคลุมด้วยแสงสีทองสว่าง ความสูงศักดิ์และงดงาม ทุกสิ่งสรรพสิ่งไม่ปนเปื้อนกาย
ใช่ หญิงคนนี้คือข่งเมิ่ง
นางเอาชนะร่างเงาโอรสสวรรค์สี่ดาวในหอคอยเทพสงครามไม่หยุด ความชำนาญในแสงเทพห้าสีเพิ่มขึ้นอย่างมาก กระทั่งแม้แต่ศิลาเทพสงครามยังยอมรับในศักยภาพแฝงของนาง ส่งนางไปติดอันดับโอรสสวรรค์ห้าดาวอย่างเป็นทางการ
แต่สิ่งที่ทำให้ข่งเมิ่งไม่พอใจคือ นางท้าสู้กับโอรสสวรรค์ห้าดาวครั้งหนึ่ง แต่กลับถูกกดดันในการประลองมาตลอด ยากจะสวนกลับได้
ข่งเมิ่งไม่ใช่ผู้อ่อนแอที่จะพ่ายแพ้ไม่เป็น นางรู้ว่าตนกับโอรสสวรรค์ห้าดาวจากโลกเซียนมีความต่างกันอยู่บ้าง อีกทั้งบนศิลาเทพสงคราม ตอนนี้นางอยู่เพียงอันดับสิบสอง
หรือก็คือคนที่เข้ามาในหอคอยเทพสงครามตลอดหมื่นปีมานี้มีคนที่แกร่งกว่านางในระดับเดียวกันไม่น้อย
“ไร้พ่ายในดินแดนทักษิณยังไม่พอจริงๆ เหนือฟ้ายังมีฟ้า!”
ข่งเมิ่งสาดแสงเทพห้าสีเป็นดาบสวรรค์ตัดโอรสสวรรค์สี่ดาวตรงหน้ากลายเป็นเงา
‘ถึงการร่ายดาบแสงเทพจะเร็ว แต่ก็ยังไม่พอ ข้าน่าจะทำได้เร็วกว่านี้! ไม่รู้ว่าหลายวันมานี้เหตุใดสหายเสิ่นถึงยังไม่เริ่มฝึกฝน เราเข้ามาในหอคอยเทพสงครามพร้อมกันชัดๆ’
ไม่มีใครรู้จักพรสวรรค์ของเสิ่นเทียนดีไปกว่าข่งเมิ่งแล้ว
ต้องรู้ว่าแม้แต่ข่งเมิ่งยังใช้ระดับพลังสร้างฐานกดดันมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณได้แค่ตัวเดียว แต่เสิ่นเทียนใช้พลังระดับสร้างฐานสังหารมารโลหิตห้าตัวได้ในเวลาอันสั้น
ถึงจะบอกว่าฉวยโอกาสจู่โจมช่องโหว่ แต่ข่งเมิ่งรู้ดีว่าพรสวรรค์ของเสิ่นเทียนอยู่เหนือกว่าตนอย่างแน่นอน
ในมุมมองข่งเมิ่ง บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เสิ่นเทียนต้องติดอันดับศิลาเทพสงครามอย่างน้อยสามอันดับแรก!
นางเพิ่งคิดได้ดังนั้น ดวงตาพลันเป็นสมาธิเล็กน้อย เพราะนางพบว่าอันดับของตนขยับแล้ว
ไม่ได้ขึ้น แต่ลดลง
อันดับของนางจากสิบสองกลายเป็นสิบสาม นี่หมายความว่ามีคนแซงหน้านาง
‘เป็นสหายเสิ่น นอกจากเขาแล้วไม่มีใครในกลุ่มที่มีคุณสมบัติอยู่หน้าข้าได้’
ดวงตาข่งเมิ่งขยับประกายวาว ก่อนจะมองไปบนศิลาเทพสงครามอย่างเฝ้ารอคอย ‘ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่อันดับที่เท่าไร’
อันดับที่สิบสอง ไม่ใช่
อันดับที่สิบเอ็ด ไม่ใช่
อันดับที่สิบ ไม่ใช่
อันดับที่เก้า ไม่ใช่
……
อันดับที่สาม ก็ยังไม่ใช่!
ข่งเมิ่งมองอันดับสองบนศิลาเทพสงครามด้วยความตื่นตกใจ
พบว่าบนนั้นแกะสลักนามสีทองอร่าม ‘สอง เสิ่นเทียน โอรสสวรรค์ห้าดาว’
กลายเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มโอรสสวรรค์ห้าดาว เป็นรองเพียงฮวงสือโอรสสวรรค์หกดาวเพียงคนเดียวในรอบหมื่นปี
สมกับเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เสิ่นเทียน สมกับเป็นบุรุษที่ข้าข่งเมิ่งยอมรับ!
ข่งเมิ่งยิ้มพอใจ ‘พรสวรรค์เช่นนี้ ผู้อาวุโสในเผ่าไม่น่าจะคัดค้านแล้ว’
ภายใต้สภาวะสภาพจิตใจใสสะอาด ข่งเมิ่งรู้สึกว่าระดับความเข้าใจในแสงเทพห้าสีของตนเหมือนจะพัฒนาขึ้นอีกเล็กน้อย ขึ้นไปอีกขั้นแล้ว
หลังจากนั่งสมาธิชั่วครู่ นางก็ลืมตาขึ้นช้าๆ “ดวงจิตหอคอย จับคู่โอรสสวรรค์ห้าดาวให้ข้าต่อเถอะ! ในเมื่อสหายเสิ่นเป็นโอรสสวรรค์อันดับสองแล้ว ข้าก็จะล้าหลังมากไม่ได้!”
เพิ่งพูดจบก็พบว่านามอันดับสองในตอนแรกขยับแสงอีกครั้ง
ใช่ นามของเสิ่นเทียนขึ้นมาอันดับหนึ่งบนศิลาเทพสงคราม
หนึ่ง เสิ่นเทียน โอรสสวรรค์เจ็ดดาว!
ขนาดข่งเมิ่งประเมินเสิ่นเทียนไว้สูงสุดแล้ว ตอนนี้ก็ยังตกใจจนพูดไม่ออก
โอรสสวรรค์เจ็ดดาวหรือ
นี่หมายความว่าอย่างไรกัน
ต้องรู้ว่าหอคอยเทพสงครามค่อนข้างมีชื่อเสียงในดินแดนบูรพา
ปกติการฝึกฝนในสนามรบบรรพกาลทุกๆ ห้าปีจะมีศิษย์ฝ่ายเซียนจำนวนมากตามหาหอคอยเทพสงคราม กระทั่งดินแดนทักษิณ ทะเลอุดร ทะเลทรายประจิมและทวีปกลาง บางครั้งก็ยังมีโอรสสวรรค์บางส่วนมาร่วมตามหาหอคอยเทพสงครามด้วย
ก็เหมือน ‘ฮวงสือ’ อันดับหนึ่งหอคอยเทพสงครามคนก่อน ก็เป็นสุดยอดโอรสสวรรค์จากทวีปกลางเมื่อแปดพันปีก่อน เขาเป็นคนเดียวที่หอคอยเทพสงครามจัดให้เป็นโอรสสวรรค์หกดาว นำหน้าอยู่เหนือทุกคนไปไกลโข
และแปดพันปีมานี้เขาก็ไม่ได้ทำให้หอคอยเทพสงครามผิดหวัง เพราะเขาไร้พ่ายในห้าดินแดนจริงๆ
แต่ตอนนี้ตำนานของฮวงสือถูกทำลายแล้ว
เขาไม่ใช่อันดับหนึ่งบนศิลาเทพสงครามอีก แต่โดนเสิ่นเทียนเขี่ยลงมา
นี่หมายความว่าอะไร
หมายความว่าเสิ่นเทียนมีศักยภาพที่จะกลายเป็นฮวงสือคนที่สอง กระทั่งเหนือกว่าฮวงสือ
หากข่าวนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าห้าดินแดนได้สั่นสะเทือนเพราะเรื่องนี้อย่างแน่นอน ถึงอย่างไรฮวงสือก็มีอิทธิพลมากมายเหลือเกิน!
แปดพันปีมานี้ อย่าว่าแต่ตัวฮวงสือเองเลย แม้แต่ลูกหลานของเขายังเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในหนึ่งดินแดน ถ้าปุถุชนรู้เข้าว่าเสิ่นเทียนเหนือกว่าฮวงสือในหอคอยเทพสงคราม
เสิ่นเทียนจะกลายเป็นดาวเด่นของทั้งห้าดินแดน มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้า!
ข่งเมิ่งตาเป็นประกายระยิบระยับ “สมกับเป็นเจ้า!”
…….
อีกบนเวทีประลอง เสี่ยวหลิงเซียนกำลังย่างก้าวช้าๆ
ทุกย่างก้าวของนางจะรวมเป็นดอกบัวพลังวิญญาณบนเวทีประลอง เกิดดอกบัวทุกก้าว
ศัตรูกวัดแกว่งดาบยาวโจมตีใส่เซียวหลิงไม่หยุด แต่ก็ไม่อาจทำอะไรนางได้
จนเมื่อเสี่ยวหลิงเซียนเดินก้าวที่สามสิบหก ดอกบัวสามสิบหกดอกบนเวทีประลองก็เปล่งแสงสว่าง รวมเป็นค่ายกลรางๆ
ดอกบัวสีเขียวเปล่งแสงดอกหนึ่งบานบนเวที กลีบดอกไม้ไร้ที่สิ้นสุดโปรยปราย
ปิ่นปักผมบนศีรษะนางพลันเปล่งแสงสว่างจ้า ก่อนจะมีหงส์เพลิงตัวหนึ่งพุ่งออกไป
โอรสสวรรค์ที่อยู่ตรงข้ามถูกจู่โจมด้วยกลีบดอกไม้ดั่งคมกระบี่กับหงส์เพลิง ทำให้กลายเป็นเศษเงาสลายไป
ฟู่ว~!
เสี่ยวหลิงเซียนหอบหายใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
อยู่บนสนามรบมาเก้าวันเก้าคืน ในที่สุดก็เอาชนะโอรสสวรรค์สามดาวได้สำเร็จ
ถึงครั้งนี้จะโชคดีเอาชนะมาได้เพราะนางชนะทางรูปแบบการต่อสู้ของอีกฝ่าย อีกทั้งยังใช้ชีพจรวิญญาณในเคล็ดมองลอดวิญญาณสวรรค์เร่งรัดใช้วิชาลับ ถึงได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบได้ แต่ก็ยังเอาชนะโอรสสวรรค์สามดาวได้ยากมาก
อย่างน้อย แม้แต่อินทรีทองบางตัวก็ยังทำไม่ได้ขนาดนี้
อย่าพูดว่าดวงดีดวงไม่ดี แพ้ทางหรือไม่แพ้ทางอะไรเลย ดวงชะตาก็เป็นส่วนหนึ่งของศักยภาพเช่นกัน!
เซียวหลิงยิ้ม การต่อสู้ที่รู้สึกว่าตัวเองแกร่งขึ้นอย่างชัดเจนแบบนี้ทำให้คนเสพติดดีจริงๆ
ตอนนี้เอง นางชำเลืองตาไปมองศิลาเทพสงครามอีกด้านของเวทีประลอง
ตอนที่เห็นนามของเสิ่นเทียนอยู่อันดับหนึ่งบนศิลาเทพสงครามนั้น ร่างที่ตอนแรกเบาสบายของเซียวหลิงก็ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้า ยังแกร่งไม่พอ! มีเพียงแกร่งขึ้นเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เคียงข้างพี่เสิ่นเทียน!”
……..
บนเวทีประลองที่สาม กุ้ยกงกงกลายร่างเป็นเศษเงา ในมือถือกระบี่อ่อนเล่มหนึ่ง บนตัวมีสายฟ้าสีเขียวขยับแสง นั่นคืออัสนีเทพหกประสานธาตุไม้ลำดับสอง
เขาในตอนนี้ผสมผสานอัสนีเทพหกประสานกับพลังของคัมภีร์มารสู่สุริยันเข้ากันได้แล้ว ทำให้ความเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
ตอนนี้เขาแทงกระบี่ออกไป ทั่วทั้งฟ้าดินกลายเป็นเงากระบี่ มากพอจะทำให้ศัตรูระดับเดียวกันตาลาย ก่อนจะถูกสังหารทั้งๆ อย่างนั้น
ชิ้ง!
กระบี่วิญญาณเข้าฝัก โอรสสวรรค์สองดาวตรงข้ามค่อยๆ หายไป
เก้าวันมานี้กุ้ยกงกงอาศัยโชคลิขิตที่เสิ่นเทียนมอบให้รวมถึงฝึกฝนด้วยตัวเองอย่างหนักไม่หยุด ทำให้ศักยภาพของเขาพุ่งขึ้นอย่างมาก!
อาจจะพูดได้ว่าทุกคนข้างกายเสิ่นเทียนมีศักยภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก!
ตอนนี้เอง กุ้ยกงกงก็มองศิลาเทพสงครามข้างเวทีประลองเช่นกัน เมื่อเห็นนามเปล่งแสงตรงอันดับหนึ่งแล้ว เขาก็ยิ้มปลื้มใจ
‘สมกับเป็นองค์ชาย ไม่อยากเชื่อว่าจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในโอรสสวรรค์ทั้งหมดที่มาในรอบหมื่นปีนี้ องค์ชายก้าวหน้าเช่นนี้ หากพระสนมหลานในแดนปรโลกรู้เข้า ก็คงจะตายตาหลับแล้ว’
………..
ตอนนี้ในหอคอยเทพสงคราม ทุกคนกำลังตกใจกับการเปลี่ยนแปลงบนศิลาเทพสงคราม
ในมุมมองพวกเขา เสิ่นเทียนใช้ศักยภาพไร้พ่ายในระดับเดียวกันอยู่เหนือโอรสสวรรค์ทั้งหมดในรอบหมื่นปีมานี้ได้
พวกเขาก็จะมีเกียรติร่วมด้วย!
ทว่าตอนนี้บนชั้นเจ็ดของหอคอยเทพสงคราม เสิ่นเทียนกลับอึดอัดใจเสียจนปวดไข่
“ผู้อาวุโส นี่หมายความว่าอย่างไรกัน!”
อันดับหนึ่งในศิลาเทพสงครามอะไรนี่ เหตุใดเจ้าจัดอันดับเช่นนี้
ไหนบอกว่ายุติธรรมตรงไปตรงมาไม่มีเส้นสายไง!
ข้าเอาชนะซินชิงอีโอรสสวรรค์สี่ดาว เจ้าก็ส่งโอรสสวรรค์ระดับห้าดาวมาให้ข้านั่นไม่เท่าไร ถึงอย่างไรข้าก็สังหารซินชิงอีได้ในพริบตา อนุญาตให้เจ้าประเมินข้าสูงขึ้นได้หน่อย
แต่เจ้าส่งข้าไปอันดับสองในโอรสสวรรค์ห้าดาวทันที กดอาจารย์ข้ากับอาจารย์ลุงข้าลงไป
ทำไม อยากให้ข้าโดนผู้อาวุโสกลั่นแกล้งหรือ!
นี่ไม่เท่าไร
ตอนประลองครั้งที่สอง ตอนข้าดวลกับอาจารย์สมัยหนุ่ม
ข้ายอมแพ้ไม่ใช่รึ ข้าโดนอาจารย์อัดเสียจนไม่มีแรงสู้กลับ เจ้ามองไม่ออกรึไง
ข้าเอาชนะแม้แต่โอรสสวรรค์ห้าดาวอย่างอาจารย์เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ เหตุใดเจ้าถึงส่งข้าไปเป็นโอรสสวรรค์เจ็ดดาวกัน
เจ้าจัดอันดับเช่นนี้ คงจะจัดแบบวงการบันเทิงล่ะสิ!
ทั้งยังกดฮวงสือไว้ใต้ก้นข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เจ้าฮวงสือนั่นสุดยอดขนาดไหนแล้ว
ถ้าเกิดลูกหลานเขารู้เรื่องนี้ก็คงจะพากันมาหาเรื่อง
แล้วข้าจะใช้ชีวิตสงบๆ ต่อไปได้อย่างไร
เมื่อสัมผัสได้ถึงความคับแค้นใจในน้ำเสียงของเสิ่นเทียนแล้ว ชายชราชุดคลุมม่วงเยี่ยฉิงชางลูบเครา ก่อนจะยิ้มพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อ
ศิลาโบราณสีดำลอยขึ้นตรงหน้าเสิ่นเทียน
เยี่ยฉิงชางชี้ไปที่มุมขวาใต้ศิลาโบราณ พบว่าตรงมุมขวาใต้ศิลาโบราณนั้นแกะสลักอักษรแถวเล็ก
‘จัดอันดับจากการประเมินและสรุปผล อำนาจการตีความสุดท้ายเป็นของหอคอยเทพทั้งหมด’
เสิ่นเทียนงุนงง
อะไรคืออำนาจการตีความสุดท้ายเป็นของหอคอยเทพทั้งหมด
เจ้าทำเช่นนี้ยังมีหน้ามาพูดว่าตัวเองยุติธรรมตรงไปตรงมาอีกรึ
เสิ่นเทียนพูดอย่างจนปัญญา “ผู้อาวุโส ท่านเห็นพรสวรรค์ของผู้เยาว์ตรงไหนกัน คู่ควรให้เรียกว่า ‘โอรสสวรรค์เจ็ดดาว’ หรือ”
เยี่ยฉิงชางตอบอย่างมีเหตุผล “เจ้ามีหน้าตาแทบจะหล่อเหลาเหมือนกับข้าตอนหนุ่ม พรสวรรค์จะไม่แกร่งได้อย่างไร”
เสิ่นเทียน “หรือว่าการจัดอันดับศิลาเทพสงครามไม่มีหลักการวิเคราะห์อะไร ท่านจะจัดอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือ”
เยี่ยฉิงชางพยักหน้า “ข้าเป็นแขกจากโลกเซียน หรือไม่มีอำนาจโน้มน้าวพอกัน”
เสิ่นเทียนมุมปากกระตุก “จัดอันดับเช่นนี้มีคนเชื่อจริงๆ หรือ”
เยี่ยฉิงชางยิ้มทีเล่นทีจริง “เชื่อหรือไม่เจ้าไม่รู้หรือ”
เสิ่นเทียนพูดไม่ออกแล้ว
เยี่ยฉิงชางรู้สึกเหมือนมีอารมณ์ขึ้นตามบ้างแล้ว จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเองก็ไม่ต้องร้อนใจไป ใต้ศิลาเทพสงครามนี่ก็บอกไว้แล้วไม่ใช่รึ ว่าอำนาจการตีความสุดท้ายในการจัดอันดับเป็นของหอคอยเทพสงครามทั้งหมด
หรือก็คือขอแค่เจ้ารับหอคอยเทพสงครามไป เป็นเจ้านายของหอคอยเทพสงคราม เจ้าก็จะจัดอันดับได้เองตามใจไม่ใช่รึ ถึงตอนนั้นเจ้าอยากจัดอันดับตัวเองอยู่ที่เท่าไรก็เอาเลย กระทั่งไม่ต้องจัดอันดับก็ได้ แบบนี้จะได้ไม่ต้องกังวล”
เมื่อเห็นเยี่ยฉิงชางยิ้มเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์แล้ว เสิ่นเทียนกัดฟันกรอด
ตาแก่นี่ ขุดหลุมให้ข้ากระโดดลงไปชัดๆ!
ข้าว่านะดีเลวอย่างไรหอคอยนี่ก็เป็นของวิเศษเซียนอันยิ่งใหญ่ จำเป็นต้องรีบร้อนให้ข้ารับเป็นนายขนาดนี้เชียวหรือ เห็นๆ อยู่ว่าวงรัศมีเหนือศีรษะข้าเป็นแค่สีเขียวจุดแดงเท่านั้น!
นี่มัน…เวรกรรมจริงๆ!
……………………………………