“สามสิบหกค้อนสวรรค์ร้าง…ค้อนทุบดาว!”
บนเวทีประลองเทพสงคราม เด็กหนุ่มสวมเกราะศักดิ์สิทธิ์สีทองถือค้อนยักษ์สูงหลายจั้งไว้
บนค้อนเคลือบด้วยของเหลวสีขาวเงินหนึ่งชั้น ทำให้ค้อนทั้งอันแผ่แรงกดดันดั่งภูเขาไท่ซานออกมา
เมื่อค้อนทุบลงไป มวลอากาศก็บิดเบี้ยว
การเสียดสีอย่างรุนแรงทำให้มวลอากาศเกิดเป็นสะเก็ดไฟก่อนจะร่วงลงมาเหมือนดาวตก
ทิศทางที่ค้อนโจมตีคือชายวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบคนหนึ่ง ตอนนี้เขามีสีหน้าหลากหลายมาก
เกิดอะไรขึ้น
เจ้านี่ไม่ได้ชำนาญการใช้หมอกวิญญาณอำพรางกายและมุดดินที่สุด จากนั้นก็ใช้เถากลืนกินเซียนลอบจู่โจมหรือ
แต่ละค้อนนี้ทุบจนเจ้ากระบี่ธารนิรันดร์มึนงงไปหมด
ไม่ใช่ว่าวิชากระบี่ของเขาไม่ยอดเยี่ยมพอ และก็ไม่ใช่เพราะเจตจำนงกระบี่ของเขาไม่มั่นคงดีพอ…
เหตุผลง่ายมาก รากฐานของเจ้าหนูเสิ่นเทียนแข็งแกร่งมากจริงๆ กายทองเทพมารแกร่งจนเรียกว่าบ้าคลั่งได้
สิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินห้าชนิดบ่มเพาะทำให้ถึงเขาจะอยู่เพียงครึ่งก้าวกายทองรอบสอง แต่พละกำลัง ความเร็ว และการป้องกันไม่มีข้อบกพร่องเลย
เมื่อเทียบกันจริงๆ แล้ว เพียงแค่กายทองเทพมารของเสิ่นเทียนก็มากพอจะทัดเทียมกับโอรสสวรรค์กายทองสี่ถึงห้ารอบแล้ว จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงยังมีพลังของสิ่งมหัศจรรย์
ทองคำเซียนปีกปักษาเพิ่มความเร็ว เถากลืนกินเซียนเพิ่มพลังฟื้นฟู น้ำมวลหนักปฐมกาลเพิ่มการป้องกัน อัคคีอรุณใต้เสริมการโจมตี ดินบริสุทธิ์วัฏจักรต้านสถานะลบทุกอย่าง
สิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินห้าชนิดเสริมกายทำให้การต่อสู้ของเสิ่นเทียนไม่มีข้อบกพร่องใดๆ การต่อสู้จริงยังพอจะจับโอรสสวรรค์ศาสตร์หลอมกายระดับกายทองหกถึงเจ็ดรอบมาเฆี่ยนตีได้
รากฐานของเขาเหนือกว่าหลี่ชางหลันที่ถูกกดระดับพลังไว้จุดสูงสุดกายทองหนึ่งรอบ นี่คือข้อได้เปรียบที่บดขยี้เขา
ทุกครั้งที่เสิ่นเทียนทุบค้อนนภาม่วงสะท้านฟ้าในมือ หลี่ชางหลันจะต้องใช้พลังทั้งหมดถึงจะต้านไว้ได้
แต่ปราณกระบี่ล้นฟ้าของหลี่ชางหลันก็แทบจะทำลายการป้องกันของเกราะเต่าดำไม่ได้เลย
เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังระดับสุดยอด ทักษะทุกอย่างก็เป็นดั่งเมฆลอย
……
“สารเลว เจ้าสารเลวนี่! เห็นๆ อยู่ว่ามีกายเทพกระบี่ฟ้า แต่กลับไปฝึกค้อน เจ้าคือจุดด่างพร้อยของวิถีกระบี่ ข้าจะต้องสั่งสอนเจ้า!”
เจ้ากระบี่ธารนิรันดร์มีสีหน้าทั้งอับอายและโกรธสลับกัน กระบี่ใหญ่ในมือรวมขึ้นเป็นพลังกระบี่ธารนิรันดร์
เถากลืนกินเซียนทั้งหมดถูกพลังกระบี่ฟันถอยไป ถึงอย่างไรก็เป็นเจ้ากระบี่ดินแดนบูรพา ย่อมจะไม่พลาดในจุดเดิมเป็นครั้งที่สอง
หากเสิ่นเทียนมีเพียงอุบายเถากลืนกินเซียน ตอนนี้อาจจะแพ้หลี่ชางหลันจริงๆ ก็ได้
น่าเสียดายก็แต่เสิ่นเทียนมีกลอุบายเยอะมาก เถากลืนกินเซียนเป็นเพียงแค่ตัวช่วยเท่านั้น
“เทพสงครามเปลี่ยนที่หนึ่ง เปลี่ยนน้ำมวลหนัก!”
ร่างเงากระแทกหลี่ชางหลันถอยไปอีกครั้งแล้วก็เหมือนจะไม่อยากยืดเยื้อต่อไปอีก
ทั้งตัวเขาเริ่มปรากฏแสงสีเงินอ่อนๆ ลอยขึ้นมา อีกทั้งแสงสว่างยังหุบเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่นานพลังทั้งหมดที่แผ่ออกมาจากตัวเสิ่นเทียนก็เหมือนกับหายไป
ราวกับว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหลี่ชางหลันเป็นเพียงคนธรรมดา
เพียงแต่เหนือศีรษะคนธรรมดาผู้นี้ เส้นผมหย่อมหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีขาวเงิน
จากนั้นเส้นผมสีขาวเงินหย่อมนี้ก็ตั้งขึ้นช้าๆ แผ่พลังที่หยั่งลึกแต่ก็ยังสะกดเอาไว้ออกมา
“เสริมวิชาลับหรือ”
หลี่ชางหลันไม่ได้วางใจเพราะผมชี้หย่อมนั้นเหนือศีรษะเสิ่นเทียน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นนักกระบี่ที่ได้มาตรฐาน
ตอนนี้หลี่ชางหลันรู้สึกถึงอันตรายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนจากตัวเสิ่นเทียน
เขาเข้าใจดีว่าตอนนี้เสิ่นเทียนเอาจริงแล้ว
เดิมทีแค่เสิ่นเทียนในสภาวะปกติควงค้อนนภาม่วงสะท้านฟ้า หลี่ชางหลันก็ต้องเผาเลือดลมต่อต้าน
ตอนนี้เสิ่นเทียนฝึกฝนวิชาลับหลอมกายที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งชัดเจน ไม่ใช่แค่ดึงพลังแฝงออกมา แต่ยังอาศัยพลังของสิ่งมหัศจรรย์ด้วย
เสิ่นเทียนในสภาวะเปลี่ยนเทพสงครามแกร่งกว่าสภาวะปกติหนึ่งเท่าตัว
“ถึงเจ้าจะแกร่งมาก แต่ข้าก็ไม่กลัว!”
นัยน์ตาของหลี่ชางหลันเผยประกายเด็ดขาด ข้างหลังเกิดภาพปรากฏการณ์พันหมื่นกระบี่เทพขึ้นมา
สิ่งที่ควรค่าเอ่ยถึงคือตอนนี้กระบี่เทพพวกนั้นกำลังแตกหัก
เมื่อตัวกระบี่แตกหัก เจตจำนงกระบี่ไร้รูปก็แกร่งขึ้น อีกทั้งยังรวมไปที่ตัวหลี่ชางหลันทั้งหมด
“ข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้!”
หลี่ชางหลันตะโกนด้วยความโกรธทีหนึ่งก่อนจะพุ่งเข้าใส่เสิ่นเทียน
ยามนี้เขากวาดกระบี่ยาวในมือไป แม้แต่มวลอากาศยังถูกฉีก
แม้แต่เยี่ยฉิงชางบนชั้นเจ็ดหอคอยเทพสงครามยังแอบพยักหน้า “เป็นหน่ออ่อนที่ดีอีกคน แค่ปากร้ายไปหน่อย มาถึงก็เรียกข้าซากหอคอย ตอนนี้ยังเอาแต่พูดจาร้ายๆ ไม่ประจบเหมือนเจ้าหนูสองคนนั้นเลย
อยากท้าประลองเทียนเอ๋อร์หรือ ทั้งยังอยากจะให้เทียนเอ๋อร์ไปเรียนกระบี่เจ้ากับอีก หึๆ โดนค้อนทุบไปเถอะ!”
หลี่ชางหลันไม่รู้ว่าดวงจิตหอคอยนี่ แท้จริงแล้วเป็นตาลุงพิลึกที่ชอบถ้ำมอง
ตอนนี้ความคิดเพียงหนึ่งเดียวในใจเขาคือเอาชนะร่างเงานี่
เวลานี้หลี่ชางหลันกระตุ้นเจตจำนงกระบี่ของตนถึงจุดสูงสุด กระทั่งเขายังรู้สึกถึงเยื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง หากทะลวงเยื่อบางชั้นนี้ได้ก็จะได้สัมผัสกับขอบเขตใหม่ เป็นขอบเขตที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง!
“ของยักษ์ก็ใช่ว่าจะดี สั้นหนึ่งชุ่นอันตรายหนึ่งชุ่น! จงแหลก!”
หลี่ชางหลันทำเสียงขึ้นจมูก กระบี่ยาวในมือยิงประกายแสงสามชุ่นออกไป
ประกายกระบี่สามชุ่นนี้ดูเหมือนไม่ยิ่งใหญ่ แต่ต้องรวมขึ้นจากปราณกระบี่ที่ถึงจุดสูงสุดเท่านั้น
เทียบกับปราณกระบี่ล้นฟ้านั้น การโจมตีของประกายกระบี่สามชุ่นนี้แกร่งกว่าหลายเท่า มากพอจะตัดสิ่งที่ทั้งมีรูปและไร้รูปทุกสิ่งได้
“ปาอิฐขึ้นฟ้าชัดๆ จงสยบให้ข้าเสีย!”
ร่างเงาเสิ่นเทียนเอ่ยคำด่าจากโลกเก่าตนที่บันทึกไว้ในเวทีประลอง
ขณะเดียวกัน ค้อนนภาม่วงสะท้านฟ้าในมือเขามีความยาวขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นยาวเท่าต้นเสาไฟฟ้า
ขนาดของตัวค้อนก็ใหญ่เท่ารถบรรทุก มีสายฟ้าวนเวียนทุกส่วน ทำให้คนรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
ค้อนเทพยักษ์ก็ยังคงปะทะกับประกายกระบี่สามชุ่นนั้น มวลอากาศตรงจุดที่ปะทะกันระเบิดกระจาย เศษมวลอากาศแตกกระจายไปโดยรอบ
‘เหตุใดถึงแข็งเช่นนี้!’
นัยน์ตาของหลี่ชางหลันฉายประกายเหลือเชื่อ
ประกายกระบี่สามชุ่นของเขาได้รับขนานนามว่า ‘ทำลายได้ทุกสรรพสิ่ง’ แม้แต่เขตแดนอริยะยังผ่าได้
ต่อให้ตอนนี้ลดระดับพลังเหลือกายทองหนึ่งรอบ ก็มีความมั่นใจว่าจะสังหารระดับดวงจิตดรุณได้
ถึงอย่างไรประกายกระบี่สามชุ่นนี้ก็ควบแน่นมากจริงๆ
ทว่าค้อนนภาม่วงสะท้านฟ้าของอีกฝ่ายขยายใหญ่ยักษ์หลายจั้งแล้วแท้ๆ แต่พลังยังคงควบแน่นจนน่ากลัว
ประกายกระบี่สามชุ่นของหลี่ชางหลันทะลวงพลังค้อนไม่ได้ แต่กลับถูกบดทำลายจนแตก!
………
‘เขาทำได้อย่างไร’
แววตาของหลี่ชางหลันเต็มไปด้วยความตกตะลึง เขารู้สึกเหมือนว่าตนคลำเจอเขตแดนใหม่แล้ว
เขาเหมือนจะเข้าไป และก็เหมือนยังไม่ได้เข้าไป!
เขามีลางสังหรณ์เด่นชัดในใจ หากผ่านการตระหนักรู้ในวินาทีเมื่อครู่นี้ได้ วิถีกระบี่ของเขาจะยกระดับขึ้นไปอีกขั้น
น่าเสียดายก็แต่ไม่ได้ให้เวลาหลี่ชางหลันตระหนักรู้มากนัก
เพราะหลังจากทำลายประกายกระบี่สามชุ่นของเขา ค้อนยักษ์อันนั้นก็ทุบลงมา
ร่างหลี่ชางหลันกลายเป็นเศษซากอีกครั้ง
เสียงดวงจิตหอคอยดังขึ้นบนเวทีประลอง “โอรสสวรรค์วัยกลางคนอย่าท้อใจ เชื่อมั่นในตัวเองว่าครั้งต่อไปจะต้องทำได้ดีกว่าเดิม”
หลี่ชางหลันมุมปากกระตุกเบาๆ เขา…ถูกอัดน่วมอีกแล้ว!
ไม่ได้ ข้ายังต้องเติมเงิน!
เอามาอีก!