ตอนที่ 382 เหอเจี่ยนสุยเข้าวัง
เซียงฉือออกจากตำหนักฉินเจิ้งกลับไปยังหนิงอวี้เก๋อห้องของตน นางหอบเสื้อผ้าออกมาเลือก นานมากแล้วที่นางไม่เคยคิดจะแต่งตัวขึ้นมาเช่นนี้
เมื่อก่อนไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะพวกนางพบกันเสมอๆ ท่านปู่ถึงจะเข้มงวดกวดขันในการอบรมสั่งสอนนางเสมอมา แต่สำหรับเหอเจี่ยนสุยที่ไปพบนางกลับไว้วางใจ
ยามที่ท่านปู่พบเหอเจี่ยนสุย ใบหน้าจะเปี่ยมรอยยิ้มแล้วถามปัญหาทางวิชาการ เหอเจี่ยนสุยสามารถตอบได้คล่องแคล่วจึงได้รับการปล่อยตัวให้ไปพบกับเซียงฉือ
และก็มีเพียงเวลาเช่นนั้นเท่านั้นที่ท่านปู่จะยิ้มหนวดกระดกเมื่อเห็นเซียงฉือ
เซียงฉือจำได้ตลอดมาว่าท่านปู่นิยมชมชอบจากใจจริงยามได้เห็นหน้าเหอเจี่ยนสุยซึ่งเป็นหลานของสหายเก่า ท่านได้ทุ่มเทแรงใจอย่างมากในการปลูกฝังอบรมทั้งยังรักใคร่จริงใจ
เมื่อหวนคิดถึงวันเวลาในช่วงนั้น เซียงฉือเผลอลูบข้อมือ กำไลไม่อยู่แล้ว…
เซียงฉือทิ้งร่างลงกับพนักเก้าอี้แรงๆ นางสงบลงแล้ว วันนี้นางดีใจจนลืมตัวไปมาก
นางเป็นข้าราชสำนักสตรี เป็นผู้หญิงของฝ่าบาท พรุ่งนี้ถึงจะได้พบกับเหอเจี่ยนสุยก็ไม่อาจกระทำละเมิดกฎระเบียบได้แม้แต่น้อย มิเช่นนั้นนางจะต้องทำร้ายเหอเจี่ยนสุยแน่นอน
บ่อยครั้งที่นางหวนคิดถึงวันที่เซียงซือตบตีนางด้วยความเจ็บช้ำใจ กับคำพูดที่ว่าล้วนเป็นเพราะนาง เป็นเพราะนางจึงทำให้เกิดคราะห์ร้ายเช่นนั้นขึ้น เพราะว่านางโอ้อวดความสามารถจึงทำให้ผู้อื่นประสบเคราะห์ถึงแก่ชีวิต
ถึงแม้ตลอดมานางพยายามที่จะลืม เพื่อที่ตนเองจะได้อยู่อย่างโปร่งเบาขึ้น แต่ทว่าอย่างไรก็มิอาจลืมลง อย่างไรก็ลืมไม่ได้
เซียงฉือเตรียมชุดที่จะสวมใส่วันพรุ่งนี้แล้วก็เข้านอนอย่างสงบ ลมด้านนอกพัดแรงอย่างน่ากลัว ใบไม้ยิ่งร่วงมากขึ้นทุกที บรรดาสาวๆ ที่มากวาดลานทุกวันจะกวาดได้ใบไม้กองใหญ่ ขนออกจากตำหนักเจิ้งหยางไปเป็นกระบุงๆ
เซียงฉือนึกภาพพวกนางทำงานกันวุ่นวาย แล้วค่อยๆ เข้าสู่ความหลับใหล
เช้าวันรุ่งขึ้นฮ่องเต้ยังไม่ตื่นบรรทมเซียงฉือก็ลืมตาขึ้นแล้ว นางสวมชุดสตรีสีชมพูอ่อนงดงาม และเหมือนเช่นทุกวันเพียงปักปิ่นหยกขาวอันหนึ่งลงบนเส้นผมยาวดำสนิทที่มุ่นอยู่ในที่ครอบ
นางตื่นแต่เช้าแล้วรีบเร่งมารับใช้ฮ่องเต้ ถึงหรงจิงจะสงสัยว่าเหอเจียนสุยเป็นคนแบบไหน แต่อย่างไรก็เป็นเพียงหัวหน้าสำนักศึกษาขั้นที่ห้า ทว่ายังไม่เคยพบหน้ามาก่อน
เขาได้แต่รอให้การประชุมเช้าเสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงจะไปพบกับคนคนนี้
เหอเจี่ยนสุยได้รับแจ้งข่าวก่อนหนึ่งวัน ปฏิกิริยาของเขาสุขุมกว่าเซียงฉือมาก เขาตอบรับอย่างนอบน้อมและส่งขันทีที่มาส่งข่าวจากไป ทว่าในใจนั้นกระวนกระวายราวกวางน้อยกระโดดโลดเต้น
เขาเป็นคนสุขุมหนักแน่น แต่ไม่ได้พบกับเซียงฉือมาปีกว่าแล้ว เขาคิดถึงนางเป็นอันมาก เป็นห่วงว่านางจะอยู่ดีหรือไม่ จะผอมไปมากไหม เมื่อได้พบนางแล้วควรพูดเช่นไรและจะพูดอะไร
ใจของเขาสับสนอลหม่าน เขาประสบความสำเร็จตั้งแต่วัยหนุ่ม มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ มีเพียงเซียงฉือที่ทำให้เขาเป็นห่วง ทำให้เขาขาดสติสัมปชัญญะได้
เขาก็ตื่นแต่เช้าเช่นกัน เขาลืมว่าตนเองไม่ต้องเข้าประชุมราชสำนักเช้าจึงนั่งอยู่ในบ้านทบทวนฝึกหัดคำพูดที่ตนควรพูด
แม้แต่คำพูดแสดงความเกรงใจยามพบหน้าก็ยังพูดบ่นอยู่คนเดียวหลายหน
จนกระทั่งหรงเฉิงเยี่ยมาเคาะประตูเขา
“เหวินเซวียน เจ้าเตรียมตัวเสร็จหรือยัง”
เมื่อเหอเจี่ยนสุยเปิดประตูก็เห็นหรงเฉิงเยี่ยในชุดสีครามพญางูของชินอ๋องยืนอยู่ที่หน้าประตูและพิจารณาเขาอยู่
หรงเฉิงเยี่ยพิงวงกบประตูด้วยท่าทางเยาะเย้ยถากถางสังคม ริมฝีปากมีรอยยิ้มที่เหมือนไม่มี
เหอเจี่ยนสุยเห็นท่าทีเขาแล้วรู้สึกขวยเขินจึงเอ่ยปากพูดขึ้นเรียบๆ ว่า
“แน่นอนว่าเตรียมตัวเสร็จแล้ว แต่พอจะได้พบกับนางกลับหวั่นๆ คงเหมือนดั่งคำที่ว่ายิ่งใกล้ถึงบ้านยิ่งหวั่นเกรงกระมัง”
ตอนที่ 383 พบหน้า
พอเซียงฉือได้ยินว่าฝ่าบาทกำลังจะเลิกประชุมเท่านั้นใจก็กระโดดขึ้นไปถึงคอหอย นางยืนอยู่บนระเบียงประตู รออยู่นานจนกระทั่งเห็นเงาร่างเล็กๆ สองร่างเข้ามาใกล้
คนคนนั้นมาแล้ว
เซียงฉือยืนพิงข้างประตู นางอยากจะวิ่งเข้าไป ไปให้ถึงเบื้องหน้าเขา เข้าสู่อ้อมอกเขา บอกกับเขาว่าในวังนี้ไม่ได้สนุกเลยสักนิดเดียว ขอให้เขาพานางออกไปเหมือนกับสมัยก่อนที่ถูกท่านปู่ลงโทษให้คัดหนังสือแล้วเขาพานางหลบหนีออกไปเช่นนั้น
ทว่านางหักห้ามความหุนหันเหล่านั้นเสีย แหงนหน้าขึ้นฟ้าค่อยๆ เก็บน้ำตาที่กำลังจะเอ่อท้นออกมา นางต้องฝึกยิ้มเป็นนานจึงจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกได้ แล้วยืนอยู่หน้าประตู มองดูเขาย่างเท้าเข้ามา
เมื่อคืนหรงจิงมีคำสั่งเรียกเหอเจี่ยนสุยเข้าเฝ้าและพลันคิดถึงหรงเฉิงเยี่ยขึ้นมา จึงมีคำสั่งให้เขาเข้าเฝ้าด้วยเช่นกัน
หรงเฉิงเยี่ยเข้าวังอยู่บ่อย หากไม่ใช่เพราะวันนี้เหอเจี่ยนสุยอยากจะรีบเข้าวังมาพบเซียงฉือจนคอที่อยู่นอกเมืองแทบจะยื่นเข้าไปในรั้ววังแล้วละก็ เขาคงจะไม่มาที่นี่เช้าขนาดนี้
แต่พอคิดว่าทั้งคู่ไม่ได้พบกันนานแล้วก็ใจอ่อน จึงพาเขามาให้เร็วขึ้น
เพื่อทั้งคู่จะได้พูดคุยกันได้มากขึ้น
แล้วพวกเขาก็มาเร็วกว่าจริงๆ ฝ่าบาทยังไม่เลิกประชุมเลย
พวกเขาเดิมมาแต่ไกลมองเห็นเซียงฉือที่ข้างประตูกำลังแหงนศีรษะเงยหน้าอย่างรอคอย
หรงเฉิงเยี่ยเดินรั้งอยู่ก้าวหนึ่ง วันนี้เหอเจี่ยนสุยแต่งชุดราชสำนักสีเขียว ผิวพรรณเขาขาวไปหน่อย ผมดำยาวมุ่นไว้ด้วยปิ่นหยกขาวอันหนึ่งที่หลังศีรษะอย่างเรียบร้อย
เขายืนอยู่บนบันไดหยกขาวขั้นสุดท้าย มองสบตากับเซียงฉือ
ดวงตาเขาเต็มเปี่ยมด้วยความคิดถึงและความสุข ซึ่งหรงเฉิงเยี่ยเห็นดังนั้นจึงร่นถอยออกไป มองเห็นอวิ๋นเซียงฉือที่อยู่ห่างออกไปใช้มือข้างหนึ่งยึดเกาะประตูไว้ แต่ความอยากถลาออกไปนั้นเหมือนกำลังจะระเบิดออกจากร่างนาง
นางขบริมฝีปากไม่ขยับเขยื้อน ได้แต่เมียงมอง เป็นกิริยาที่งดงามอ่อนหวาน
เหอเจี่ยนสุยยืนนิ่งสายตามองดูเซียงฉือ เขาเพียงยิ้มบางๆ เหมือนกับพวกเขาเพิ่งจะไม่ได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่วัน และเขาก็มาเยี่ยมเซียงฉือที่ถูกขังไว้เพราะความซุกซน
แววตาเขายังคงอ่อนโยนเหมือนแอ่งน้ำใส เซียงฉือปล่อยมือออกจากกรอบประตูแล้วคำนับหรงเฉิงเยี่ยกับเหอเจี่ยนสุย
เหอเจี่ยนสุยคำนับตอบ คิดคำพูดไว้มากมาย แต่ขณะได้พบพลันพูดอะไรไม่ออก ทว่าเพียงได้เห็นนางก็ดีใจมากแล้ว
เหอเจี่ยนสุยเดินใกล้เข้าไปแล้วยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน เขาเพียงมองดูเซียงฉือโดยไม่เข้าไป เซียงฉือยังคงยืนอยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง เพียงยืนอยู่ในนั้นไม่ได้ออกไป ทั้งสองคนต่างมองสบตากันและกันอยู่เช่นนั้น
หรงเฉิงเยี่ยเป็นแขกประจำของตำหนักเจิ้งหยาง จึงเดินไปหาที่ทางนั่งอย่างคุ้นที่คุ้นทาง เขาเป็นชินอ๋องที่ฮ่องเต้โปรดปราน ดังนั้นเขาจะทำอะไรจึงไม่มีใครขัดขวาง แต่เหอเจี่ยนสุยเป็นขุนนางภายนอก หากหรงจิงไม่เรียกให้เข้าเฝ้า เขาไม่สามารถเข้าไปในตำหนักเจิ้งหยางได้แม้แต่ครึ่งก้าว
“เซียงฉือ เจ้าสบายดีไหม”
เหอเจี่ยสุยเดินไปถึงเบื้องหน้าเซียงฉือ ถามขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า
พอนางได้ยินน้ำตาก็ไหลพราก นางฝืนอั้นไว้นานแล้ว แต่สุดท้ายพอได้ยินคำทักทายเรียบๆ ของเขาเท่านั้นก็ร่วงพรูออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
“ข้าสบายดีทุกอย่าง ไม่กล้าทำให้ตัวเองไม่สบาย…”
เหอเจี่ยนสุยอยากจะกอดนาง โอบนางไว้ในอ้อมอกเพื่อปลอบขวัญ แต่เขาทำไม่ได้ เขาเป็นขุนนางคนนอกไม่อาจก้าวข้าม ที่นี่เป็นพระราชฐาน ไม่ใช่บ้านสกุลอวิ๋นหรือสกุลเหอ
เขาจึงได้แต่เพียงมองดูเซียงฉือเช่นนี้ เขาพยายามสงบเมื่ออยู่ต่อหน้านางและยิ้มอย่างอาลัยรัก
ราวกับแสงอาทิตย์อ่อนๆ ในยามเช้า ทำให้เซียงฉือยิ้มตามขึ้นในใจ