บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 384 ปฏิเสธ / ตอนที่ 385 วางหมาก

ตอนที่ 384 ปฏิเสธ

 

 

เหอเจี่ยนสุยหยิบกำไลที่ห่ออย่างบรรจงออกมาจากในอกส่งให้เซียงฉือ เซียงฉือลังเลใม่กล้ารับมาเพราะนางรู้ว่าข้างในคืออะไร

 

 

นางไม่กล้ายื่นมือออกไป ของสิ่งนั้นดึงดูดใจนางเหลือเกิน นั่นเป็นคำมั่นสัญญาที่เหอเจี่ยนสุยมอบแก่นาง แต่ว่านางอยู่ข้างกายฮ่องเต้ทุกวัน อยู่ใกล้ฮ่องเต้ไม่ต่างกับอยู่ข้างเสือ นางไม่รู้ว่าตนเองจะเคราะห์ร้ายไม่อาจฟื้นตัวได้ในวันไหน

 

 

นางรับไว้ไม่ได้

 

 

แต่นางก็ตัดใจปฏิเสธเหอเจี่ยนสุยไม่ลง ผู้ชายที่สะอาดโปร่งใสเช่นนี้ ตัวตนของเขาก็เหมือนกับชีวิตเซียงฉือในวัยสิบหกปีตอนนั้น งดงามไร้ตำหนิ ปราศจากมลทิน ซึ่งเป็นทุกสิ่งที่ควรค่าต่อการคิดถึงสำหรับนาง และเพราะเหตุนี้ นางจึงไม่ต้องการจะทำลายมันลง

 

 

นางไม่หวังให้ชีวิตที่ดีพร้อมของเขาต้องเปลี่ยนไปเพียงเพราะผู้หญิงที่ไม่รู้อนาคตอย่างนาง นางไม่มีคุณค่าพอจะให้เขารอคอยตลอดกาล

 

 

นางไม่ต้องการทำร้ายเหอเจี่ยนสุย ซึ่งสำหรับเซียงฉือแล้ว เขาเป็นคนสนิทที่สุดของนาง

 

 

เซียงฉือยื่นมือออกไปแต่แล้วชักกลับคืน

 

 

“เจี่ยนสุย ชีวิตนี้ข้าคงไม่สามารถบินออกจากวังนี้ได้แล้ว อย่ารอข้าเลยนะ การรอคอยของเจ้าจะกลายเป็นความรับผิดชอบของข้า”

 

 

“เจ้าก็รู้ว่าข้าออกไปไม่ได้แล้ว อย่าได้ให้ความหวังกับข้าเลย ชีวิตที่ดีงามเช่นนั้นสำหรับข้าแล้ว เป็นได้ก็แต่เพียงความเพ้อฝันเท่านั้นเอง”

 

 

ตาของเซียงฉือหลั่งไหลออกมาอีก ความจริงนางเตรียมคำพูดไว้มากมายแต่นางไม่อยากพูดออกมา พลันนางรู้สึกว่าหรงเฉิงเยี่ยพูดไว้ถูกต้องว่านางเป็นสตรีในวัง เป็นผู้หญิงของฮ่องเต้ นางไม่กล้าจะมีใจเป็นอื่นไปจากฮ่องเต้

 

 

ซึ่งนั่นไม่ใช่ความรัก แต่เป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ทั้งยังจะเผาคนรักของนางให้ตายไปด้วยได้

 

 

ดังนั้นนางยอมถอย เพราะว่านางไม่ใช่อวิ๋นเซียงฉือที่ไม่กลัวอะไรเลยอย่างสมัยก่อนอีกแล้ว

 

 

เซียงฉือถอยหลัง เหอเจี่ยนสุยยื่นมือคิดจะก้าวขึ้นหน้าไป แต่ว่าธรณีประตูนั้นสลักลึกลงไปในใจเขา

 

 

เขายกเท้าขึ้นแต่ก็วางลงบนที่เดิม เขาเป็นผู้ชายดื้อรั้นที่หมายว่าเซียงฉือคือว่าคู่หมั้นหมายของเขาตลอดไป และการปกป้องดูแลนางเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเขา

 

 

จนกระทั่งวันนี้ที่เขามาถึงหน้าประตูตำหนักเจิ้งหยาง ถึงบ้านสกุลอวิ๋นจะตกยากก็ไม่ได้ทำให้เขาเปลี่ยนใจ แม้เซียงฉือกลายเป็นสาวใช้เขาก็ไม่ยอมทิ้งขว้าง แต่กลับเป็นธรณีประตูเล็กๆ นี้ที่สั่นคลอนเขา ทำให้เขาเข้าใจว่ามีเรื่องบางอย่างที่อยู่เหนือความสามารถของเขาจริงๆ

 

 

เขาเป็นนักศึกษาที่เล่าเรียนศึกษาตำราปราชญ์  ได้รับการปลูกฝังตลอดจนความประพฤติของเขาถูกสลักลึกลงในกระดูกไปแล้ว

 

 

เขาไม่สามารถทรยศต่อใจตนเองเช่นเดียวกับไม่อาจต่อต้านการอบรมปลูกฝังที่ตนได้รับมาได้

 

 

ขณะเขากำลังสองจิตสองใจเซียงฉือได้วิ่งกลับเข้าไปข้างในแล้ว หรงจิงก็เลิกจากประชุมกลับเข้าตำหนักเจิ้งหยางเช่นกัน

 

 

เหอเจี่ยนสุยคุกเข่าน้อมรับเสด็จอยู่หน้าประตู เซียงฉือกับหรงเฉิงเยี่ยคอยรับเสด็จอยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง หรงจิงลงจากเกี้ยวเดินเข้าไปในตำหนักเจิ้งหยาง เมื่อเปลี่ยนชุดคลุมตัวนอกออกแล้วจึงเรียกให้เหอเจี่ยนสุยเข้าไป

 

 

หรงจิงเห็นเหอเจี่ยนสุยยืนอยู่หน้าประตูโดยที่ไม่ได้เข้าไปในตำหนักเจิ้งหยางก็พึงพอใจ อย่างน้อยเขาก็เป็นชายหนุ่มที่รู้กาลเทศะไม่บุ่มบ่าม

 

 

ส่วนเซียงฉือก็ไม่ได้ออกมาพบกับเขาทำให้หรงจิงพอใจเช่นกัน กระทั่งมีความยินดีอีกด้วย เขาไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ว่ามาได้อย่างไร แต่ทว่าเขาชอบ กระทั่งมุมปากผุดรอยยิ้มที่หายากยิ่งออกมา

 

 

เหอเจี่ยนสุยเข้าพบ เขาประสานมือน้อมกายถวายบังคม แสดงถึงความเคารพต่อฮ่องเต้

 

 

เซียงฉือยืนอยู่ข้างกายหรงจิง มองดูเหอเจี่ยนสุยราวกับขุนนางราชสำนักทั่วไปคนหนึ่ง เพียงแต่สีหน้านางนิ่งเฉยไปบ้าง

 

 

หรงจิงดีใจมากเรียกให้เหอเจี่ยนสุยลุกขึ้น

 

 

แล้วจึงถามขึ้นเป็นงานเป็นการ

 

 

“ข้าได้ยินจากเซียงฉือว่าฝีมือการเดินมากของเจ้าไม่เลว ช่วงนี้ข้าก็คันไม้คันมือ เหวินเซวียนเจ้าก็เล่นกับข้าสักกระดานเถอะ”

 

 

 

 

ตอนที่ 385 วางหมาก

 

 

คำพูดประโยคหนึ่งของหรงจิงทำให้คนมากมายในห้องต่างประเมินกันไปด้วยความประหลาดใจ หรงจิงรู้จักชื่อทางการของเหอเจี่ยนสุยได้อย่างไร อีกทั้งยังเรียกอย่างคล่องปากเช่นนี้อีกด้วย

 

 

หรงจิงไม่พูด ส่วนเหอเจี่ยนสุยกับหรงเฉิงเยี่ยมองสบตากันแล้วเดินตามฮ่องเต้ไปทางที่กระดานหมากตั้งอยู่

 

 

เซียงฉือยกน้ำชามาแล้วยกออกวางให้กับคนทั้งสามตามตำแหน่งที่นั่ง ขณะกำลังจะถอยออกไป หรงจิงเรียกนางไว้

 

 

“จะเรียนรู้การเดินหมากมิใช่หรือ มาดูอยู่ที่ข้างกายข้านี่”

 

 

แขนของเซียงฉือถูกหรงจิงรั้งไว้ นางชะงักงันหมุนกายกลับอย่างกระอักกระอ่วนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงหลายครั้ง แล้วจึงตอบว่า

 

 

“เป็นพระกรุณาเพคะ”

 

 

เซียงฉือจึงยืนกอดถาดน้ำชาอยู่ด้านหลังหรงจิง ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าขยับหรือพูดอะไรมาก

 

 

เหอเจี่ยนสุยมองนางอีกครั้งก่อนละสายตา มีหรงจิงอยู่ข้างตัวนางย่อมไม่กล้าล่วงเกิน นี่เป็นครั้งแรกที่เหอเจี่ยนสุยได้เห็นหรงจิงในระยะใกล้เช่นนี้

 

 

ก่อนหน้านี้เขาได้ฟังหรงเฉิงเยี่ยพูดถึงมาหลายครั้งแล้ว ในใจหรงเฉิงเยี่ยพี่ชายคนนี้เป็นคนที่เขาเคารพยกย่อง

 

 

เซียงฉือเพียงยืนเฉยอยู่อย่างนั้นทว่าในใจถูกคลื่นถาโถม แต่ไม่ได้แสดงออกบนใบหน้าแม้แต่น้อย

 

 

นางฝืนหน้ายิ้มแย้มไม่ได้ แต่วันนี้ได้พบเหอเจี่ยนสุยนางก็ดีใจอย่างจริงใจแล้ว น่าจะเป็นวันที่นางเบิกบานใจที่สุดตั้งแต่เข้าวังมา

 

 

ราวกับได้กลับคืนสู่วันเวลาในอดีต เพียงแต่นางไม่กล้าแสดงความรู้สึกดีใจของนางออกมา เพราะขณะนี้หรงจิงคอยพิจารณานางอยู่

 

 

เหอเจี่ยนสุยประสานมือคารวะหรงจิง พูดขึ้น

 

 

“ฝ่าบาททรงเมตตา ฝีมือการเล่นหมากรุกของกระหม่อมด้อยนัก ถึงจะได้รับการชี้แนะจากอาจารย์หลายวัน แต่เพราะสติปัญญาโง่เขลาจึงไม่อาจฝึกให้ดีได้ ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้มีฝีมือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หรงจิงรู้ว่าเขากำลังถ่อมตัว เป็นข้อบกพร่องทั่วไปที่ผู้มีการศึกษาทั้งหลายมักเป็นกัน เขาไม่ว่าอะไรแล้ววางหมากตัวหนึ่งลงบนกระดาน พูดยิ้มๆ ว่า

 

 

“ข้ารับปากเซียงฉือไว้ว่าหากเดินหมากกระดานนี้ชนะได้ ข้าก็จะยกกระดานหมากนี้แก่นาง ข้าสอนนางเดินไปได้ครึ่งเกม แต่เจ้าเด็กผีนี่ฉลาดนักรู้ว่าตัวเองจะต้องแพ้แน่นอนก็เลยจะให้เหวินเซวียนมาช่วยนาง”

 

 

“ตาเจ้าแล้ว”

 

 

หรงจิงไม่ปล่อยให้เขามีเวลามานอบน้อมถ่อมตนจึงรีบวางหมากลงตัวหนึ่ง เหอเจี่ยนสุยอึ้งไปกับสภาพในตอนนี้ และเมื่อฟังคำพูดหรงจิงแล้วก็สงสัยว่าเขามีเจตนาอย่างไร

 

 

แต่เขาไม่อาจคิดนาน เมื่อมองดูกระดานหมากแล้วเห็นหรงจิงเดินหมากด้วยความรอบคอบ แต่คิดว่าเดินหมากกับเซียงฉือก็เพียงเดินตามอำเภอใจ กลับเป็นเซียงฉือที่ถึงแม้ตลอดมาฝีมือการเดินหมากจะไม่ลึกล้ำ แต่นางก็มักมีรูปแบบการเดินของนางเอง

 

 

ดูอย่างไรการจะบุกเมืองยึดพื้นที่มีแต่ต้องพ่ายแพ้ถอยร่น เกมนี้คิดจะแก้เกมช่างยากยิ่งนัก

 

 

แต่เหอเจี่ยนสุยเดินหมากกับนางมาหลายปี รู้ว่านางมักมีวิธีใหม่ๆ ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทั่วไปและมักจะมีแผนการวิเศษซุกซ่อนอยู่ เขามองดูเกมหมากแล้วยิ้มจากนั้นหยิบหมากออกมาตัวหนึ่งวางลงในตรงกลางพื้นที่ของหรงจิง

 

 

หมากล้อม สิ่งสำคัญที่สุดก็คือคำว่าล้อม แผนการนี้ของเซียงฉือหากสำเร็จก็จะสามารถพลิกเกมได้จริงๆ แต่โอกาสเดียวที่จะเป็นไปได้ขึ้นอยู่กับความหละหลวมไม่ใส่ใจของหรงจิง

 

 

แต่ว่าหรงจิงเป็นคนมีความคิดอ่านรอบคอบ เหตุใดจึงยังยอมปล่อยให้วิกฤตที่ซุ่มซ่อนอยู่คอยขุดรากถอนโคนเล่า

 

 

เหอเจี่ยนสุยมองดูหรงจิง แต่ยังคงไม่เข้าใจเจตนา

 

 

เขาเข้าใจในตัวฮ่องเต้องค์นี้ไม่มากนัก เขามองดูเกมหมากแล้วเงยหน้าคิดจะมองดูหรงจิง ทำให้สายตาของคนทั้งสองประสานกัน เหอเจี่ยนสุยตกตะลึง เขาไม่ใช่คนโง่ ความพินิจพิเคราะห์ ความสงสัยในดวงตาของหรงจิงทำให้เขาเย็นสันหลังวาบ

 

 

หากทำให้ฮ่องเต้คนหนึ่งสนใจในความสามารถนั่นเป็นโอกาสที่จะได้เลื่อนตำแหน่งร่ำรวยเงินทอง แต่หากทำให้ฮ่องเต้สนใจในตัวท่าน และท่านก็เป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่ง อย่างนั้นชายผู้นี้ก็จะมีอันตรายแล้ว

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset