ตอนที่ 432 ฮ่องเต้พระราชทานเลี้ยง
พอเซียงฉือเข้าประตูไปก็รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ ในตำหนักเจิ้งหยาง เสียงกระพรวนบนศีรษะดังกรุ๋งกริ๋งทำให้นางตื่นขึ้นมาจากฝัน
หรงจิงส่งเสียงตะโกนขึ้นมาจากในตำหนักฉินเจิ้ง
“ได้เวลาอาหารแล้ว ซูกงกงยังไม่รีบไปอีก”
ซูกงกงลอบโอดครวญในใจ เมื่อครู่ก็ได้เตือนท่านว่าถึงเวลาเสวยแล้ว แต่ท่านไม่พูดอะไรพวกเราจึงไม่กล้ายกขึ้นมาเอง
ถึงในใจจะโอดครวญ แต่เท้ากลับว่องไวออกไปเรียกให้ห้องเครื่องขึ้นอาหาร
เซียงฉือได้ยินเสียงของหรงจิงจึงเดินให้เร็วขึ้น รีบเร่งไปถึงเบื้องหน้าหรงจิงค้อมกายทำความเคารพ
“หม่อมฉันอวิ๋นเซียงฉือถวายบังคมฝ่าบาท เรื่องที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ไปทำนั้นหม่อมฉันดำเนินการเรียบร้อยแล้วจึงมาถวายรายงานเพคะ”
เซียงฉือไม่ได้พบหรงจิงมาสามวันแล้ว เมื่อได้มาเห็นท่าทางที่เขานั่งอยู่ริมหน้าต่างเช่นนี้ทำให้นิ่งงันอยู่กับที่ คิ้วยาวกับดวงตามังกรยาวรี อีกทั้งท่าทางเลื่อนลอย
หากวันปกติพบเขาในลักษณะนี้เซียงฉือจะต้องหวาดหวั่นเป็นแน่ แต่วันนี้แม้อยู่ห่างจากเขาหลายช่วง เซียงฉือก็ยังรู้สึกได้ว่าเขาอารมณ์ดียิ่ง
เซียงฉือน้อมกายทำความเคารพศีรษะก้มต่ำไม่กล้ามองเขา หรงจิงไม่พูด เขาลุกขึ้นแล้วเคาะศีรษะนางทีหนึ่ง
“คราวหลังกลับเข้าวังแล้วให้มาคารวะข้าก่อนไปรายงานที่อื่น เข้าใจไหม”
เซียงฉือเงยหน้าขึ้นครึ่งหนึ่งมองดูหรงจิง ท่าทางแบบนั้นถึงจะมองไม่ถนัด แต่ก็สามารถมองเห็นขนตาที่ยาวมากของหรงจิงได้ชัดเจน กะพริบราวปีกของผีเสื้อ
หรงจิงมีใบหน้าละม้ายมารดาของเขา เขาสืบทอดดวงตากระชากวิญญาณน่าดึงดูดคู่นั้นมาจากนาง
เซียงฉือมองจนซึมเซา หรงจิงยื่นมือประคองนางขึ้นมา
“เจ้านี่ออกจากวังไปไม่กี่วัน กลับมาก็โง่งมไปเสียแล้ว”
เซียงฉือสนุกขึ้นมาจึงรับมุกไปด้วย
“หม่อมฉันเซ่อซ่ามาแต่กำเนิดเพคะ พอได้มาอยู่กับฝ่าบาทจึงดีขึ้นบ้าง เรื่องที่ทรงรับสั่งหม่อมฉันจดจำได้แล้ว ต่อไปจะเข้าเฝ้าถวายรายงานก่อน แล้วจึงไปรายงานตัวที่กองราชเลขาเพคะ”
“หม่อมฉันทำเช่นนี้แล้ว ฝ่าบาทจะทรงพอพระทัยใช่ไหมเพคะ”
เซียงฉือเดินตามหลังหรงจิงเข้าไปในห้องเสวย หรงจิงฟังแล้วส่งเสียงรับในลำคอเบาๆ เขานั่งลงเตรียมรับประทานอาหาร เซียงฉือเห็นดังนั้นจึงเตรียมน้อมกายถอยออกไป
“ฝ่าบาทจะเสวยพระกระยาหารแล้ว หม่อมฉันขอออกไปก่อนเพคะ”
พอนางพูดจบหรงจิงก็รับต่อคำทันที
“นั่งลง กินข้าวเป็นเพื่อนข้า”
เซียงฉือตกตะลึง
ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ พระราชทานเลี้ยงอาหารหรือ
เซียงฉืออ้ำอึ้ง สักครู่หนึ่งจึงทำความเคารพสำนึกในพระกรุณา
“เพคะ หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชา”
หลังจากเซียงฉือนั่งลงแล้วหรงจิงจึงพยักหน้า ยกชามข้าวขึ้นมาเริ่มรับประทาน
ฮ่องเต้พระราชทานเลี้ยงไม่อาจปฏิเสธ เป็นการแสดงถึงความใกล้ชิด แต่การได้ร่วมโต๊ะเสวยถึงแม้จะได้กินอาหารมากมายที่ไม่เคยได้กินมาก่อน แต่เซียงฉือรู้สึกทรมาน เพราะหน้าที่คีบอาหารถวายตกอยู่กับนาง
นางแทบจะไม่ได้กินอะไร ตะเกียบคู่นั้นร่อนขึ้นร่อนลงวุ่นวาย คีบส่งอาหารตามที่หรงจิงสั่งลงในจานของเขา
“น้ำแกงนกพิราบไหมทองตรงนี้”
“ลูกชิ้นมรกตตรงนั้น…” เหล่านี้เป็นต้น เซียงฉือไม่ทันจะได้กินคอยแต่คีบอาหารให้หรงจิง เพราะเมื่อเซียงฉือนั่งลงแล้ว หรงจิงก็สั่งคนอื่นๆ ให้ออกไป
นางกำนัลที่มีหน้าที่คอยคีบอาหารจึงได้วางตะเกียบพิสูจน์พิษลงในมือของเซียงฉือ
จากนั้นก็ถอยออกไป เซียงฉือจึงต้องจำทนบริการหรงจิง
อาหารมื้อนั้นหรงจิงกินโดยมีเซียงฉือคอยคีบกับข้าวให้ ด้วยความดีใจจึงกินข้าวเพิ่มขึ้นอีกชามหนึ่ง ขณะกำลังเติมข้าว ซูกงกงยิ้มปากไม่หุบ
“โอ้ ต่อไปฝ่าบาทเสวยพระกระยาหารก็ให้ใต้เท้าอวิ๋นร่วมโต๊ะเสวยนะพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าอวิ๋นช่วยให้ทรงเจริญอาหารดีแท้”
ตอนที่ 433 คัดเลือกสาวงาม
คำพูดซูกงกงทำให้เซียงฉือตกใจแทบสะดุด ดีที่ได้รับการอบรมมานานปีจึงยังบังคับตนเองไว้ได้ นางไม่ต้องการถูกมองแล้วเจริญอาหาร แบบนั้นต่อไปนางคงต้องถูกหรงจิงกลืนกินลงไปแน่
เซียงฉือหน้าแดงขึ้นน้อยๆ แต่หรงจิงไม่ได้รู้สึกอะไร ยังคงกินอย่างสบายใจ
หลังจบการรับประทานอาหารหรงจิงไม่พูดอะไร เขาเคยชินกับการไม่พูดจาในระหว่างรับประทานและไม่เอ่ยวาจาในขณะนอน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาได้รับการอบรมมา
ดังนั้น นอกจากเพียงบอกอาหารที่ตนต้องการทานแล้วก็แทบไม่พูดจา
โต๊ะอาหารเพิ่งจะถูกเก็บก็ได้ยินขันทีที่หน้าประตูมารายงาน
“ฝ่าบาท ซูเฟยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้เป็นเวลาที่หรงจิงจะพักผ่อนสักครู่ด้วยการงีบกลางวัน แต่ไม่รู้ว่าซูเฟยมาด้วยธุระอะไร
เซียงฉือถอยหลัง หรงจิงพยักหน้าให้คนออกไปเรียกมาเข้าเฝ้า เขาต้องตื่นแต่เช้าลำบากไม่น้อย ถึงตอนนี้จึงรู้สึกอ่อนเพลีย
วันนี้จ้าวซูเฟยสวมชุดหรูสีเขียวนกยูงรำแพน ชายกระโปรงลากยาว นางยิ้มอ่อนโยนขณะเข้ามาในตำหนัก
เมื่อเห็นหรงจิงดูอ่อนเพลียจึงพูดอย่างสำนึกผิดว่า
“หม่อมฉันมารบกวนเวลาทรงพักผ่อนของฝ่าบาทแล้ว แต่เพราะหม่อมฉันมีความจำเป็น ฝ่าบาทอย่าทรงลงโทษหม่อมฉันนะเพคะ”
หรงจิงประคองมือนางเบาๆ ฝืนตนเองให้กระชุ่มกระชวย พูดว่า
“ซูเฟยหาข้ามีธุระอะไรหรือ”
ฝ่ายในมีพระชายาอยู่สามองค์ จินกุ้ยเฟย จ้าวซูเฟยและหลิ่วจิ้งเฟย
จิ้งเฟยไม่ชอบยุ่งกับใครแต่ไรมา เป็นคนเก็บตัวที่สุด จินกุ้ยเฟยในวันนี้ยังคงถูกกักบริเวณอยู่ ดังนั้นเรื่องราวใหญ่น้อยทั้งหลายในวังจึงมีเพียงจ้าวซูเฟยเป็นคนจัดการแต่ผู้เดียว
เมื่อนางได้ยินหรงจิงพูดเช่นนั้นจึงนั่งลงข้างกายเขาพูดยิ้มๆ ว่า
“ฝ่าบาท เทศกาลโคมไฟเพิ่งผ่านพ้นไป ในวังก็ควรจะเตรียมเรื่องการคัดเลือกสาวงามได้แล้วนะเพคะ”
“ความตั้งใจของหม่อมฉันคือการปฏิบัติตามธรรมเนียมดั้งเดิม ให้ทุกหัวเมืองคัดเลือกสตรีจากครอบครัวที่ดีส่งเข้าวัง แล้วเลือกวันมงคลเพื่อให้พวกนางเข้าตำหนักมาให้ฝ่าบาททรงคัดเลือกไว้ใช้สอยเพคะ”
“ฝ่าบาททรงเห็นเป็นอย่างไรเพคะ”
เซียงฉือได้ยินจึงรู้ว่าการคัดเลือกสาวงามที่เคยมีมาสามปีครั้งได้มาถึงแล้ว
การคัดเลือกสาวงามสามปีครั้งนี้ ทั้งสิบหกหัวเมืองจะต้องคัดเลือกหญิงสาวอายุเหมาะสมแห่งละสิบคน จะต้องบริสุทธิ์และเป็นหญิงสาวจากครอบครัวขุนนางหรือพ่อค้าวานิช
ทั้งต้องเชี่ยวชาญพิณโบราณ หมากล้อม การเขียนอักษรและวาดพู่กันจีน มีรูปโฉมงดงาม นิสัยนุ่มนวล สุขภาพแข็งแรง จึงจะเลือกเข้าวังได้
หากเป็นเมื่อก่อน ไทเฮากับฮ่องเต้จะเป็นผู้คัดเลือกความเหมาะสมก่อนรับเข้าวัง แต่ไทเฮาสวรรคตแล้ว ดังนั้นจึงเหลือเพียงฮ่องเต้คนเดียวที่จะเป็นผู้คัดเลือก
หรงจิงฟังความแล้วก็ถอนใจยาว
“ไทเฮาเพิ่งสวรรคตไม่นาน ข้าเองก็ไม่สนใจจะรับสนมนางใน ก็คัดเอาคนที่มีความประพฤติดีไว้ใช้สอยสักคนก็แล้วกัน เรื่องนี้ให้ทำตามวิธีการเดิม เจ้ากับจิ้งเฟยปรึกษาและจัดการกันไปก็แล้วกัน”
หรงจิงเข้าฝ่ายในน้อยครั้งนัก พวกสนมเหล่านี้จึงเ**่ยวเฉาเฝ้าคอยน้ำฝน ส่วนพวกหญิงสาวที่เข้าวังมาใหม่ สูงสุดเป็นได้ก็เพียงกุ้ยเหรินเท่านั้น ทั้งยังต้องมีพื้นเพดี เป็นคนดีและหน้าตาดีอีกด้วย
เซียงฉือส่ายหน้าน้อยๆ แต่นอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครแลเห็น ซูเฟยฟังคำพูดนั้นแล้ว สีหน้ายุ่งยากขึ้น
“ฝ่าบาทต้องทรงสงสารหม่อมฉันนะเพคะ พี่หญิงจิ้งเฟยหลายวันก่อนกลับบ้านไปเยี่ยมญาติ พอกลับมาแล้วก็เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก หม่อมฉันต้องดูแลฝ่ายในนี้เพียงลำพัง ถึงงานจะซับซ้อนยุ่งยากก็ไม่สู้กระไร แต่จะหาใครช่วยตัดสินใจอะไรไม่ได้เลยเพคะ”
“อีกประการหนึ่งฝ่าบาททรงยังไม่มีพระโอรส ใต้เท้าทั้งหลายพากันยื่นหนังสือ ทูลขอให้ฝ่าบาทเสด็จฝ่ายในบ่อยขึ้น ทำให้หม่อมฉันลำบากใจมากเพคะ”
“ดังนั้นปีนี้ฝ่าบาทคงจะทรงเลือกเพียงคนเดียวไม่ได้แล้วนะเพคะ เพราะหากเป็นเช่นนั้นหม่อมฉันคงต้องถูกตำหนิ พวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักจะต้องกล่าวหาว่าหม่อมฉันอิจฉาริษยา จงใจเลือกพวกสตรีอัปลักษณ์ถวายฝ่าบาท ทำให้ฝ่าบาทหมดความสนพระทัยต่อฝ่ายในนะเพคะ”
“หม่อมฉันไม่ยอมนะเพคะ ฝ่าบาท…”
ซูเฟยกอดแขนหรงจิงออดอ้อน เซียงฉือค้อมกายเตรียมถอยออกไป
หรงจิงมองดูเซียงฉือ แล้วพูดว่า
“ให้จินกุ้ยเฟยช่วยเจ้าก็แล้วกัน ข้าจะออกราชโองการปล่อยนางจากการกักตัวสำนึกความผิด ถ้าเจ้ามีเรื่องอะไร ปรึกษากับนางก็แล้วกัน”