ตอนที่ 490 สอบถาม
ดวงตาหงส์ของเซียงฉือเบิ่งโตมองฮ่องเต้อย่างไม่เชื่อหู ชะงักอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า
“ฝ่าบาทจะพระราชทานสมรสแก่หม่อมฉันหรือเพคะ”
หรงจิงหยุดยิ้ม มองดูเซียงฉือแล้วหยิบผิงกั่วในมือนางขึ้นเบาๆ ส่งไปที่ข้างริมฝีปากกัดลงไปคำหนึ่ง
เสียงกัดดังขึ้นทำให้ประสาทเซียงฉือสะท้าน รีบก้มหน้าลง
หรงจิงกัดคำหนึ่งแล้ววางกลับลงไปในมือของเซียงฉือ
“เจ้ามีคนรักแล้วหรือ”
เซียงฉือเงยหน้ามองหรงจิงอย่างรวดเร็ว ลมหายใจค่อยๆ ชะงัก
เห็นริมฝีปากบนล่างของหรงจิงหุบๆ อ้าๆ พูดว่า
“หากข้าพระราชทานสมรสให้ ต่อไปเจ้าก็จะไม่ได้รับผิงกั่วที่ข้าโยนไปให้อีก เจ้าจะเลือกอย่างไร”
เซียงฉือเข้าใจคำพูดฮ่องเต้อย่างรวดเร็วจึงคุกเข่าลง
“หม่อมฉันชอบผิงกั่วพระราชทานจากฝ่าบาทที่สุดเพคะ ฝ่าบาทมิทรงทราบหรือเพคะ”
หรงจิงฟังคำนางแล้วท่าทีก็ผ่อนคลายลง สายตาที่มองดูนางก็อ่อนโยนขึ้น เขายื่นมือทำท่าประคองนาง
“ข้าเคยพูดไว้แล้วว่าเจ้าเป็นคนของข้า ข้าจะปกป้องเจ้า ให้เจ้าได้กินผิงกั่วที่เจ้าชอบ”
เซียงฉือยิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะยอมรับแล้วจึงพูดต่อ
“เรื่องที่หม่อมฉันรับพระบัญชาให้ตราวจสอบมีความคืบหน้าแล้วเพคะ แต่ว่าตอนนี้มีหลักฐานบางอย่างชี้ไปที่ซูเฟย…”
หรงจิงสะบัดมือ ห้ามมิให้เซียงฉือพูดต่อ
เดิมทีเซียงฉือเตรียมสำนวนที่จะพูดไว้แล้ว ถึงตอนนี้ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ พอเห็นมือใหญ่โตของหรงจิงสะบัดจึงหุบปากอย่างว่าง่าย ยืนไม่เข้าใจอยู่กับที่
หรงจิงเขียนรายงานต่อ ซึ่งควรเป็นงานที่เซียงฉือต้องทำให้เสร็จ แต่ตอนนี้เขาลงมือจับพู่กันเอง
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร”
หรงจิงพูดแล้วก็มองดูเซียงฉือ ออกแรงที่มือเล็กน้อยแล้วจบขีดสุดท้าย คงเป็นเพราะใจกระเพื่อมจึงทำให้มีน้ำหมึกหยดลงตรงปลายนิ้วหยดหนึ่ง เขายื่นมือออกมองดู จากนั้นจู่ๆ ก็ใช้นิ้วนั้นแตะลงตรงปลายจมูกเซียงฉือ
“เจ้าลูกแมวลาย”
เซียงฉือตกใจ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มขี้เล่นแบบเด็กๆ ของหรงจิงแล้วหัวเราะไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ จึงยื่นมือน้อยๆ ออกกำหมัดแตะอยู่ข้างริมฝีปาก
“เมี้ยว…”
หรงจิงอึ้งไปก่อนที่จะหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง
“ฟังเอ๋อร์ชอบลูกแมวที่สุด แต่นางยังเด็กเกินไป ข้ามอบลูกแมวให้นางตัวหนึ่งนางชอบมาก แต่ถูกเจ้าลูกแมวข่วนเข้าที่แขน ได้ยินว่าซูเฟยต้องปวดหัวไม่น้อย”
เซียงฉืออึ้งไป คลำจมูกอย่างไม่รู้ตัว สายตาฉายความสงสัย หรงจิงพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
“ฟังเอ๋อร์ก็ชอบเลียนแบบเสียงร้องแมวลาย น่ารักเหลือเกิน”
เซียงฉือไม่กล้าซักถามข้อสงสัย จึงเพียงรอฟังคำพูดต่อไปของหรงจิง
“ฟังเอ๋อร์เป็นลูกคนเล็กสุดของข้า ช่างน่ารักนักและยังไร้เดียงสา จำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากข้า เซียงฉือ เจ้ายังไม่ได้แต่งงานและยังไม่มีลูก คงจะไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกนึกคิดนี้”
เซียงฉือยังเฉยอยู่ หรงจิงวางพู่กันลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า
“วันนี้ข้ายังมีรายงานที่ยังไม่ได้อ่านมากมาย แต่คืนนี้ข้าต้องไปตำหนักจู้เซียง ซูเฟยส่งคนมาบอกว่าองค์หญิงน้อยไม่เห็นข้าก็จะร้องไห้ไม่หยุด เด็กคนนี้ไม่มีพ่อคอยปกป้องก็จะหวาดกลัว หากขาดความเอาใจใส่ของแม่ก็จะอ่อนแอ”
“ถึงข้าจะเป็นฮ่องเต้ แต่ก็มีใจสงสารลูก ทนไม่ได้ที่จะให้นางต้องกังวลเป็นทุกข์”
เซียงฉือค้อมกายน้อยๆ นางเข้าใจความหมายของหรงจิงแล้ว
หรงจิงลุกขึ้นเตรียมจะออกไป
เซียงฉือถึงจะไม่สู้ยินยอมพร้อมใจแต่ไม่กล้าแสดงออกมา หรงจิงเดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะยืนอยู่เบื้องหน้าเซียงฉือแล้วพูดว่า
“ถ้าหากเจ้ามีคนรักก็บอกให้ข้ารู้ หากข้ารู้สึกว่าใช้ได้ก็จะพระราชทานสมรสให้เจ้า ข้าพูดได้ก็ทำได้”
จู่ๆ หรงจิงพูดขึ้นเช่นนี้ เซียงฉือตกตะลึง แต่พอคิดจะพูดอะไรหรงจิงก็เดินออกไปไกลแล้ว
ตอนที่ 491 หน่วยข่าวกรองมังกรเหิน
ยามค่ำคืน เซียงฉือนั่งอยู่ในตำหนักฉินเจิ้งของตำหนักเจิ้งหยางเพียงลำพัง นางนำรายงานที่หรงจิงยังอ่านไม่จบออกมาอ่าน
นางอ่านไปทีละตัวทีละประโยค ในหูแว่วคำพูดประโยคสุดท้ายของหรงจิงขึ้นเนืองๆ
นางไม่รู้เจตนา ไม่รู้เป็นการลองใจของหรงจิงหรือเป็นคำสัญญาของเขา
นางไม่ยอมเชื่อง่ายๆ หรงจิงเป็นฮ่องเต้ เขาเผด็จการออกเช่นนั้นจะยอมปล่อยนางได้อย่างไร นั่นต้องไม่ใช่หรงจิง เขาคงไปได้ข่าวลืออะไรมาเป็นแน่
หรือว่าจากเย่ว์เอ๋อร์ หรือจะเป็นหมิงอวี้
เพราะเวลาที่เซียงฉือพบเหอเจี่ยนสุยทั้งสองคนต่างมองเห็น องค์หญิงทั้งสอง คนหนึ่งอ่อนต่อโลก ส่วนอีกคนก็ไร้เดียงสา
เซียงฉือจินตนาการไม่ได้เลยว่าหากหรงจิงตั้งใจถามอะไรพวกนางแล้ว พวกนางจะสามารถเก็บเรื่องนี้ไว้ได้ ดังนี้แล้วเซียงฉือจึงขมวดคิ้ว
แม้นางจะรู้ว่าฮ่องเต้ไม่ต้องการตรวจสอบดำเนินการกับซูเฟย แต่เรื่องนี้ทำให้ใจของเซียงฉือกระเพื่อมน้อยๆ เป็นเพราะพวกเขามีบุตรสาวที่ชื่อฟังเอ๋อร์ด้วยกัน นางยังเด็กนัก หากอยู่ในวังจำเป็นต้องมีมารดาคอยดูแล มิฉะนั้นจะถูกผู้อื่นรังแกได้ หรงจิงรักบุตรสาวมาก ดังนั้นจึงเอาใจใส่ต่อซูเฟย
แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ควรกราบทูลเช่นนั้นหรือ
เซียงฉือคิดถึงคำพูดของหรงจิง ทบทวนคิดพิจารณาก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งนางพลิกไปถึงคำสั่งลับสุดท้ายของหรงจิงคำสั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคำสั่งที่เขียนโดยหรงจิงอีกทั้งยังมีตราประทับส่วนตัวลับที่สุดของเขา ขณะที่นางแลเห็น ทำให้สั่นไปทั้งร่าง
‘สั่งการหน่วยข่าวกรองมังกรเหินให้ตรวจสอบเรื่องราวซูเฟยเต็มกำลัง’
เซียงฉือตระหนักขึ้นมาในทันที เหงื่อเย็นท่วมท้นขึ้นกลางแผ่นหลัง
หน่วยข่าวกรองมังกรเหิน องค์กรที่ลับที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในแคว้นเซียวจิ่งที่ฮ่องเต้ควบคุมสั่งการด้วยตนเอง เซียงฉือเคยได้ยินสวี่อี้พูดขึ้นครั้งหนึ่งโดยบังเอิญ
นางรีบเก็บรายงานนั้นเข้าที่แล้วกลับไปนั่งที่เดิมอย่างลนลาน นิ่งครุ่นคิดถึงจุดประสงค์ของหรงจิงไม่ขยับเขยื้อน
หรงจิงมอบภารกิจหนักให้นาง ถึงจะให้ร่วมมือกับสวี่อี้และฉู่อวิ๋นเซียวทำให้ลุล่วง แต่เมื่อเกี่ยวพันถึงซูเฟย ฮ่องเต้ย่อมต้องมีความกังวลและต้องครุ่นคิดพิจารณาเป็นการส่วนตัว ดังนั้นจึงไม่ให้ทั้งสามคนติดตามสืบสวนในทางแจ้ง
แต่ใครๆ ก็รู้ว่าฝ่าบาทมีหน่วยงานลับหน่วยหนึ่ง เพียงไม่รู้ว่าหัวหน้าเป็นใครและมีใครบ้าง แต่เคยได้ยินสวี่อี้พูดว่า ‘หน่วยงานนี้มีชื่อว่ามังกรเหิน เป็นหน่วยงานข่าวกรองของฝ่าบาท พวกเขาเร้นตัวอยู่ในที่มืด แทรกซึมไปทั่วทุกที่ในแคว้นเซียวจิ่ง’
‘คนในมังกรเหินอาจจะเป็นแพทย์คนหนึ่ง คนเร่ร่อนคนหนึ่งหรือแม้กระทั่งขอทานคนหนึ่ง พวกเขาเป็นดั่งพระเนตรของฝ่าบาท สอดส่องมองดูไปทั่วทุกมุมในโลกนี้แทนฝ่าบาท และยังช่วยให้ฝ่าบาททรงทราบถึงความทุกข์ยากของราษฎรอีกทั้งทุกเรื่องราวของมนุษย์ที่ไม่ปรากฏอยู่บนรายงาน’
เซียงฉือรู้แล้ว หากเพียงหรงจิงต้องการรู้ ก็จะสั่งการมังกรเหินให้ไปสืบสาวเรื่องราว และนางเป็นข้าราชสำนักสตรีของเขา สะท้อนภาพลักษณ์ของเขา เมื่อเขายังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด จึงไม่ต้องการทำร้ายบุตรสาวตนเอง
ดังนั้นจึงให้นางวางมือจากการตรวจสอบ
เซียงฉือคิดประเด็นสำคัญในการนี้ได้แล้ว แต่ก็เกิดความสนใจในมังกรเหินนี้ขึ้น อีกทั้งยังหวั่นเกรงอีกด้วย เพราะนางใช่ว่าจะเป็นคนที่ไม่มีความลับเสียเมื่อไร
จากที่ได้ยินถึงความไม่ธรรมดาของหน่วยข่าวกรองมังกรเหินจากสวี่อี้ ถึงขนาดว่าหากฮ่องเต้ต้องการรู้เรื่องใครสักคนไม่ว่าอาหารเช้าของคนคนนั้นคืออะไร ผมร่วงไปกี่เส้น สายตามองไปยังที่ใดก็จะไปปรากฏอยู่บนโต๊ะทำงานฮ่องเต้อย่างไม่ผิดพลาดตกหล่น และเพราะเหตุนี้ เซียงฉือจึงได้กังวล
ความลับของนางไปอยู่ใต้หนังตาหรงจิงมาแต่แรกแล้วหรือไม่
หรงจิงเพียงแสร้งทำเหลวไหล เซียงฉือหนาวสะท้านขึ้นอีกครั้ง โรคเหน็บหนาวของนางคงจะไม่สามารถหายได้อย่างง่ายดายเสียแล้ว