บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 492 ปิดคดีในสามวัน / ตอนที่ 493 หมิงอวี้ฟื้นแล้ว

ตอนที่ 492 ปิดคดีในสามวัน

 

 

วันรุ่งขึ้นเซียงฉือลุกไปกองคดีแต่เช้า เล่าเรื่องความต้องการของฮ่องเต้ให้สวี่อี้ฟัง สวี่อี้พยักหน้า

 

 

จากนั้นส่งข่าวให้ซู่เวิ่นกับฉู่อวิ๋นเซียว แล้วนำพวกหมัวหมัวกับกงกงเหล่านั้นมาสอบสวนพร้อมกัน เตรียมการเรื่องคำรับสารภาพและพยานบุคคล

 

 

จากนั้นให้พวกเขาลงนามคำรับสารภาพ ซู่เวิ่นเขียนเรื่องเกี่ยวกับหมีเตี๋ยเซียงว่าสามารถครอบงำจิตวิญญาณของคนทำให้สติปัญญาเลอะเลือนได้อย่างแม่นยำน่ากลัว สำหรับคดีนี้เริ่มตรวจสอบกันอย่างเกริกก้องแต่สุดท้ายปิดลงแบบให้จบๆ ไป

 

 

เซียงฉือบันทึกเรื่องวั่นกวงเสพย์หมีเตี๋ยเซียงลงในรายงานด้วย

 

 

เพราะสวี่อี้บอกว่าเรื่องนี้ไม่อาจปกปิด หากวันใดวั่นกวงเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา พวกนางทั้งหลายก็ต้องถูกดึงเข้าไปด้วยถึงตอนนั้นหากเขาทำเรื่องที่ไม่อาจแก้ไขขึ้นมา

 

 

พวกนางคงไม่อยากต้องตกเป็นแพะรับบาป

 

 

ดังนั้น พวกสวี่อี้ทั้งสี่คนจึงสามารถปิดคดีใหญ่ได้อย่างรวดเร็วมหัศจรรย์ภายในเวลาเพียงสามวัน องค์หญิงยังไม่ทันฟื้นเป็นปกติ พวกนางก็ปิดคดีลงได้แล้ว

 

 

แต่สวี่อี้ยังไม่อยากรีบส่งรายงานขึ้นไป

 

 

เหตุผลง่ายดายเพราะองค์หญิงยังไม่ฟื้นคืนสติ หากว่าถึงตอนนั้นองค์หญิงพลิกคำให้การ จะไม่กลายเป็นว่าพวกนางตบหน้าตัวเองหรอกหรือ

 

 

สวี่อี้ยิ้มแล้วพูดกับเซียงฉือว่า

 

 

“เซียงฉือ งานนี้ข้าทุ่มเทขัดเกลาสำนวนปิดคดีอย่างถี่ถ้วนลำบาก ใช้ภาษาสวยหรูแต่ไม่ขัดหูใคร แม่นยำแต่อาจมีขยายความบ้าง รอเพียงองค์หญิงฟื้นขึ้นมาก่อน ขอเพียงองค์หญิงไม่ทรงเอ่ยถึงใครที่นอกเหนือสวีหมิ่นก็ถือว่าจบเรื่องส่วนเจ้าพวกเดียวกันที่ยังจับตัวไม่ได้นั้น พวกเราได้แต่ให้หมัวหมัวพวกนั้นรับโทษแทนไป”

 

 

เซียงฉือนิ่งงันส่ายหน้าน้อยๆ สวี่อี้ไม่เข้าใจว่าทำไม

 

 

“ใต้เท้าฉู่ตามจับเจ้านักฆ่าที่ยังหลบหนีอยู่มาตลอดแต่ทำไมไม่มีข่าวคราวอะไรเลย ข่าวว่านักฆ่าได้รับบาดเจ็บมิใช่หรือ แล้วทำไมจับพวกขันทีได้มากมาย สุดท้ายกลับให้หมัวหมัวในสำนักอักษรซื่อคู่เป็นคนรับโทษแทนเล่า”

 

 

“เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่สมเหตุสมผล ใต้เท้าพวกนั้นใช่ว่าจะตบตาได้ง่ายๆ หากถูกขุนนางตรวจสอบทัดทานพวกนั้นจับจุดอ่อนได้ละก็ เจ้ากับข้าคงไม่เป็นไร แต่ใต้เท้าฉู่คงยากจะรอดพ้นคำคน ทั้งฝ่าบาทก็จะคลางแคลงในความสามารถของเขาอีกด้วย”

 

 

สวี่อี้ฟังแล้วก็ส่ายหน้าพูดว่า

 

 

“ในเมื่อฝ่าบาทรับสั่งแล้วว่าต้องปกป้องซูเฟย พวกเราย่อมไม่มีปัญหาแล้ว ส่วนใต้เท้าฉู่เป็นนักรบไม่ได้มีหน้าที่ตรวจสอบคดี การจับคนไม่ได้เป็นความผิดเขา ทำให้คดีตรวจสอบได้ไม่กระจ่างเช่นนี้ เหล่าขุนนางก็ว่าอะไรไม่ได้”

 

 

“และหากวันใดใต้เท้าฉู่สามารถตรวจสอบได้แม่นยำกว่าข้าที่เป็นเฟิ่งเอินของกองคดีคนนี้ละก็ ตอนนั้นฝ่าบาทคงต้องทรงสงสัยเขาจริงๆ แล้ว”

 

 

เซียงฉือคิดแล้วก็ผงกศีรษะน้อยๆ นางเข้าใจแล้วว่าสวี่อี้พูดถูก ความประสงค์ของฝ่าบาทในครั้งนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง ในเมื่อเข้าใจพระประสงค์แล้วขอเพียงไม่เกิดความวุ่นวายขึ้นทางองค์หญิง ทุกคนก็สามารถปิดๆ บังๆ ให้ผ่านไปได้

 

 

แต่เซียงฉือยังสงสัยว่า นักฆ่าที่จะลอบปลงพระชนม์องค์หญิงคนนั้น หรงจิงจะยอมปล่อยไปหรือไม่

 

 

“ใต้เท้าฉู่ยังตรวจไม่พบร่องรอยของนักฆ่าคนนั้นจริงๆ หรือ”

 

 

เซียงฉือถามขึ้นมาอย่างไม่สู้ยินยอมพร้อมใจนัก สวี่อี้ถอนใจแล้วจึงตอบว่า

 

 

“โถ เจ้าน้องโง่เอ๋ย ที่ไม่บอกเจ้าเพราะไม่อยากให้เจ้าคิดมาก แต่เจ้าก็ช่างดันทุรังจะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนให้ได้”

 

 

สวี่อี้มองเซียงฉือแล้วส่ายหน้าตบแขนนาง ผินหน้าไปกระซิบข้างหูเซียงฉือพูดเสียงเบายิ่ง

 

 

“จับคนได้แล้วแต่ถูกฝ่าบาททรงยับยั้งไว้ไม่ให้ใต้เท้าฉู่พูดออกมา ข้าเห็นท่าทางเขาเหมือนกับกินแมลงวันเข้าไปแบบนั้นจึงสอบถามเพิ่มเติม เขาจึงได้หลุดปากว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับโหรวผิน”

 

 

เซียงฉือฟังดังนั้นแล้วก็สูดหายใจเอาไอเย็นเข้าไป โหรวผินรับหน้าที่ดูแลหมิงอวี้ ตอนเกิดเรื่องกับหมิงอวี้นางไม่อยู่ในเหตุการณ์ จากนั้นนางกำนัลของหมิงอวี้ก็ถูกคนแขวนไว้ใต้ระเบียง พฤติกรรมนี้สร้างความสงสัยให้เซียงฉือเป็นนาน

 

 

ถึงแม้ตอนนี้หรงจิงจะไม่อนุญาตให้ทำการสืบต่อแต่เซียงฉือยังต้องการสืบเรื่องราวต่อไป นอกจากเพราะนางละอายต่อเถียนซินแล้ว ยิ่งละอายต่อหมิงอวี้มากกว่า เพราะความหุนหันของนาง จึงทำให้หมิงอวี้ได้รับผลกระทบและถูกทำร้ายเช่นนี้

 

 

นางคิดตำหนิตนเอง

 

 

 

 

ตอนที่ 493 หมิงอวี้ฟื้นแล้ว

 

 

 ภายหลังจากพิจารณาปิดคดีใหญ่หรือจะเรียกว่าปิดการพิจารณาอย่างเปิดเผยไปแล้ว เซียงฉือก็ว่าง

 

 

นางจึงเข้ารับช่วงดูแลหมิงอวี้ต่อจากองค์หญิงฉี่เหวิน

 

 

เซียงฉือไม่ได้พบกับองค์หญิงฉี่เหวินผู้เป็นที่กล่าวขานกันว่าสวมชุดเกราะเข้าสมรภูมิเฉกเช่นขุนพลก็รู้สึกเสียดาย ได้องค์หญิงฉี่เหวินช่วยดูแลแทนหลายวันนางรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

 

 

จึงได้แต่รอคอยเพื่อจะได้พบในโอกาสหน้า นางรออยู่หนึ่งวันหมิงอวี้จึงฟื้นขึ้นมา

 

 

ขณะที่เห็นเซียงฉือ น้ำตานางหลั่งไหลดุจสายฝน นางขยับปาก

 

 

“หมิงอวี้ หม่อมฉันเซียงฉือนะเพคะ ไม่ต้องทรงหวาดกลัว หม่อมฉันจะปกป้ององค์หญิงเองเพคะ”

 

 

เซียงฉือกอดหมิงอวี้แนบอกพูดปลอบใจนางเบาๆ แต่หมิงอวี้ที่ออดอ้อนเก่งไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียว

 

 

เซียงฉือรู้สึกแปลกใจ นางมองตาหมิงอวี้ เห็นแต่เพียงน้ำตารื้นอยู่ในดวงตา นางขยับปากอีกแต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากลำคอแม้แต่น้อย

 

 

เซียงฉือรู้สึกหวาดหวั่น นางเขย่าตัวหมิงอวี้

 

 

“องค์หญิง หมิงอวี้ ตรัสอะไรหน่อยสิเพคะ แค่คำเดียวก็พอ”

 

 

เซียงฉือพูดอย่างอ้อนวอนอีกทั้งหวั่นเกรง หมิงอวี้ขยับปากอีกแต่ก็ยังไม่มีคำพูดออกมา เซียงฉือลนลานเรียกนางกำนัลข้างๆ ให้ไปเรียกหมอหญิงมา

 

 

แต่นางครุ่นคิดแล้วพูดขึ้นอีก

 

 

“เด็กๆ ไปเชิญใต้เท้าซู่เวิ่นที่กองโอสถให้มาที่นี่ที”

 

 

เมื่อเซียงฉือพูดเช่นนี้จึงมีนางกำนัลออกไปอีกคนหนึ่ง แต่หมิงอวี้มองเซียงฉือแล้วส่ายหน้า อิงแนบอยู่บนไหล่นางไม่พูดจา มีเพียงน้ำตาที่ไหลซึมเสื้อเซียงฉือจนเปียกชื้น

 

 

เซียงฉือคิดว่านางคงหวาดกลัวว่าจะพูดไม่ได้อีกต่อไป จึงรีบปลอบนาง

 

 

“หมิงอวี้ไม่ต้องกลัว ใต้เท้าซู่เวิ่นมีฝีมือในการรักษาเหนือกว่าใคร นางจะต้องรักษาองค์หญิงได้ จะต้องทำให้องค์หญิงกลับเป็นดั่งเดิมได้เพคะ”

 

 

น้ำตาเซียงฉือก็หยดลงอย่างไม่อาจหักห้ามได้เช่นกัน ทำให้เสื้อตนเองเปียก และยังทำให้หัวไหล่หมิงอวี้เปียกชื้นไปเช่นกัน

 

 

หมิงอวี้ขยับออกจากอ้อมอกนาง ดึงมือนางขึ้นแล้วเขียนตัวหนังสือลงไปบนนั้น

 

 

‘ออกไปจากวัง’

 

 

เซียงฉือมองหมิงอวี้ในทันใด หมิงอวี้ชี้ที่หัวใจตนเองแล้วน้ำตาก็พรั่งพรูออกมา เซียงฉือเห็นแล้วทนไม่ได้แต่ก็พยักหน้า

 

 

เซียงฉือรู้ว่าหมิงอวี้ไม่อยากอยู่ในวังอีกต่อไป สถานที่นี้ไม่เหมาะกับนาง ที่นี่มีอันตรายอยู่ทุกแห่งหน นางไม่ควรใช้ชีวิตอยู่ในที่นี้

 

 

ความตั้งใจเดิมของฮ่องเต้คือเห็นว่านางถึงวัยสมควรจะออกเรือนแล้ว จึงต้องเข้ามาฝึกฝนมารยาทในวัง เมื่อถึงเวลาก็จะเลือกครอบครัวที่ดีให้นางได้แต่งออกเรือนไป

 

 

แต่การเรียนเรื่องมารยาทยังไม่จบ นางยังไม่บรรลุนิติภาวะก็เกิดความเบื่อหน่ายราชสำนัก เบื่อหน่ายพระราชวังเสียแล้ว

 

 

นางหวาดกลัวอย่างยิ่ง ไม่กล้าจะอยู่อีกต่อไป ดังนั้นนางจึงต้องการจากไป

 

 

วันที่หรงจิงเฝ้าอยู่ข้างกายหมิงอวี้และนางลุกขึ้นมาพูดเรื่องที่นางรู้ทั้งหมดนั้น หรงจิงจึงรู้ว่าเรื่องนี้พุ่งไปที่เซียงฉือจึงสำนึกเสียใจที่มอบหมายงานนี้ให้แก่นาง ซึ่งเท่ากับเป็นการผลักนางเข้าไปท่ามกลางศัตรู

 

 

สำหรับนางแล้วนับเป็นอันตรายใหญ่หลวง แต่ขณะเดียวกันเขาก็ได้ทำข้อตกลงกับหมิงอวี้

 

 

หมิงอวี้ต้องการจะออกไปจากวัง จึงคิดว่าหลังบรรลุนิติภาวะแล้วจะเลือกครอบครัวขุนนางที่อยู่ห่างไกลออกไปสำหรับให้นางออกเรือนไปอยู่ หรงจิงรับปากเช่นนั้นแต่นางจะต้องทำเป็นใบ้หูหนวกตั้งแต่บัดนั้น จนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลงจึงสามารถพูดได้อีกครั้ง

 

 

หมิงอวี้รู้ว่าหรงจิงทำเช่นนี้เพื่อปกป้องนาง ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกต่อต้านแล้วจึงทำเช่นนี้ เพราะหรงจิงกลัวว่านางจะแสดงได้ไม่ดีจึงได้ให้ฉี่เหวินเข้ามา แม้จะบอกว่าเป็นการเฝ้าไข้ แต่ความจริงเป็นการแอบสอนกลเม็ดอีกทั้งวิธีการป้องกันตัวเอง

 

 

การเตรียมการนี้ของหรงจิงนับเป็นการคิดอ่านที่ลึกซึ้งรอบคอบ

 

 

หมิงอวี้เข้าใจทั้งหมดแต่นางพูดออกมาไม่ได้ เซียงฉือไม่รู้อะไรเลยนางคิดแต่จะช่วยเหลือหมิงอวี้ ดังนั้นพอหมิงอวี้ฟื้นขึ้นมา ทั้งหมอหญิงหมอหลวงพากันมาหลายรอบ แต่ไม่มีใครสักคนที่จะดูอาการป่วยของนางออก ดังนั้นนางจึงได้รับการปลดปล่อยไปตามความปรารถนาของนาง

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset